ขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงเรืองรอง แม่นางน้อยอายุเพียงสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งกำลังยืนเหม่อลอยริมแม่น้ำมองขอบฟ้าที่ยังไม่สว่างเต็มที่
นางก้มมองส่องดูตนเองในแม่น้ำ เห็นเงาตนเองราง ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเรื่องราวคล้ายเป็นดั่งความฝัน ความรักสุขสมหวังในชาติที่แล้วล้วนไม่มีประโยชน์ใด ๆ
หลังจากการตกน้ำคาดว่าจางซูอินจะกลายเป็นวิญญาณไปสู่ภพชาติใหม่แล้วนางจึงได้มาเกิดใหม่แทนที่ ในความทรงจำของเจ้าของร่างทำให้ ซูอินยิ้มมุมปากไม่ได้ เด็กหญิงน้อยผู้นี้นิสัยใจคอคล้ายคลึงนางหลายส่วนทีเดียว
ตอนนี้หลี่ซูอินกลายเป็นจางซูอินแล้ว เมื่อตอนนางสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา กว่าจะทำให้จิตใจสงบก็ใช้เวลามาหลายวัน โชคดีนางฟื้นจากการเจ็บป่วยจากการตกน้ำ ทำให้ครอบครัวจางไม่ทันได้สังเกตการเปลี่ยนแปลง
“ซูเอ๋อร์ เจ้าพึ่งหายป่วยกลับไปพักเถอะ”
จางเจินพี่สาวของจางซูอินเอ่ยพูดขึ้น เมื่อชำเลืองมองมาเห็นน้องสาวยังไม่ตักน้ำ ท่าทางยังเงอะงะ งุ่มง่ามไร้เรี่ยวแรง
“พี่รองน้องนอนพักมาหลายวันแล้ว ถือว่าเป็นการออกกำลังบ้าง”
ซูอินรีบดึงสติตนเอง คว้าถังตักน้ำขึ้นมา จางเจินเมื่อเห็นว่าน้องสาวตักน้ำเพียงครึ่งถังก็ไม่เอ่ยอะไร นิสัยว่านอนสอนง่ายของน้องสาวเช่นนี้นางไม่คุ้นเคยเท่าไรนัก แต่จางเจินไม่ใช่คนคิดซับซ้อนหันหลังสาวเท้าเดินนำหน้ากลับเรือน
เรือนของสกุลจางอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำนัก เดินเพียงสักพักสองพี่น้องก็มาถึง ก็เห็นพี่ชายใหญ่จางซุนกำลังผ่าฟืน มารดากำลังนึ่งขนมอยู่ จางอั่นออกไปรับจ้างก่อสร้างตั้งแต่เช้ามืดแล้ว
สวีซื่อผู้เป็นมารดาเงยหน้ามองเห็นบุตรสาวกลับมาแล้ว ก็เอ่ยถามทันที
“ซูเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าหายดีแล้วไยไม่รีบกลับไปเรียนสถานศึกษาเล่า เรื่องตักน้ำให้พี่ใหญ่เจ้าทำเถอะ”
ถ้อยคำของมารดาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ตั้งแต่ฟื้นจากพิษไข้บุตรสาวก็คล้ายจะเงียบซึมลงไปมาก และยังไม่เอ่ยถึงการกลับไปเล่าเรียนแม้แต่น้อยทั้งที่เมื่อก่อนไม่ว่าจะป่วยเพียงใดก็ดิ้นรนไปสำนักศึกษาให้ได้
ในแผ่นดินต้าเว่ย รัชศกหยวนชิง ฮ่องเต้ต้าหยวนชิง ได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้าถึงการศึกษา หากสามารถสอบผ่านเกณฑ์ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนและทางการยังมีเบี้ยหวัดให้ด้วยทำให้ครอบครัวจางล้วนฝากความหวังไว้กับบุตรสาวคนเล็กจางซูอินว่าจะสามารถสร้างชื่อเสียงนำพาเกียจติยศ
หลี่ซูอินพลางถึงนึกตนเมื่อชาติที่แล้วนางเองก็ไม่ต่างจากจางซูอินผู้นี้เช่นกัน ล้วนแต่วาดฝันถึงอาภรณ์หรูหราและชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ ทว่าในชาตินี้นางตั้งใจว่าจะใช้ความรู้สร้างฐานะดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย และความรู้ที่ก็เพียงพอต่อการสอบเลื่อนขั้นไม่จำเป็นต้องเร่งกลับไปเรียน
“ในสำนักศึกษาล้วนเต็มไปด้วยผู้มีบรรดาศักดิ์ ลูกไม่อยากกลายเป็นผู้แพร่เชื้อเป็นที่น่ารังเกียจ จึงตั้งใจจะพักฟื้นสักหลายวันเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นบุตรสาวตอบเช่นนั้น สวีซื่อก็ไม่สอบถามอีก รีบเร่งให้ทุกคนทานข้าวจะได้รีบออกไปตั้งแผงขายขนม
หลังจากเก็บถ้วยชามเรียบร้อยทุกคนก็ออกไปอย่างรีบเร่ง
ด้วยซูอินคนเดิมก็ไม่เคยติดตามออกไปตั้งแผงขายขนม นางจึงทำได้เพียงแต่มองตามแผ่นหลังของทั้งสามด้วยความรู้สึกหลากหลาย หากนางจะติดตามไปตอนนี้ก็จะผิดแปลกนิสัยเดิม 2-3 วันที่ผ่านมานางเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของตนเอง ซูอินได้รับการดูแลอย่างเอาอกเอาใจ เพราะนางเป็นบุตรสาวคนเดียวที่เขียนหนังสือได้ ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก เสื้อผ้า อาหารสิ่งดี ๆ นางล้วนได้รับก่อน พี่สาวและพี่ชายก็ไม่ขัดข้อง ทุกคนล้วนวาดฝันจะได้พึ่งพานาง
เดิมคิดว่าจะตั้งใจและสอบผ่านจนตำแหน่งขุนนางก็พอแล้ว ทว่าอาหารที่มีเพียงแค่ผัก ไข่และข้าวต้ม แม้จะมองว่าไม่อัตคัดแต่นางผู้ที่เคยอยู่ในตำแหน่งกุ้ยเฟยและจวนอ๋อง ก็รู้สึกว่าการกินอยู่เช่นนี้ทำให้ลำบากใจอยู่บ้าง
แม้ชาติที่แล้วนางจะมีฝีมือทำอาหารจนเป็นเลื่องลือ แต่ซูอินคนเดิมไม่เคยแม้กระทั่งก่อไฟต้มข้าว นางจะแสดงฝีมือด้านนี้ไม่ได้เด็ดขาด เมื่อไตร่ตรองจนรอบคอบเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต นางยังมีฝีมือการวาดภาพและปักผ้าที่นางสามารถสร้างรายได้ได้
ซูอินจึงหยิบเงินส่วนตัวออกมา เงินจำนวนนี้เป็นเบี้ยหวัดที่นางได้รับจากสำนักศึกษา ครอบครัวไม่คิดจะแตะต้อง พวกเขาให้ซูอินนำไปซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับ หวังว่าเวลาซูอินไปสำนักศึกษาจะได้ไม่น้อยหน้าผู้ใด
ซูอินส่ายใบหน้าน้อย ๆ เบา ๆ เงินเพียงเท่านี้จะสามารถเทียบเคียงเหล่าคุณหนู องค์หญิงหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ได้อย่างไร มิสู้แต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสมฐานะสะอาดสะอ้านเรียบร้อยก็พอแล้ว
หญิงสาวเดินออกมาตรอกซอยกลางเมืองหลวง ตั้งใจจะไปร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน ทว่าก็อดใจไม่ได้ไม่รู้ตนเองสุดท้ายนางก็มาหยุดที่โรงน้ำชาตระกูลหลี่ หอซูซู แม้จะอยากไปสืบข่าวตอนนี้บิดามารดาของนางเป็นอย่างไรบ้าง ทว่าจิตใจที่สับสนปั่นป่วนอาจจะทำการที่ไร้สติ จึงหมุนฝีเท้าหันหลังเดินกลับไป
ภายในหอน้ำชาห้องรับรองชั้นสอง ปรากฏบุรุษรูปโฉมอาจคมสันกลิ่นอายสูงศักดิ์แฝงความร้ายกาจเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็ง ท่าทางกึ่งนอนกึ่งนั่งเหม่อลอยออกไปข้างนอกระเบียง ทำให้รู้สึกทอดถอนใจ
“ท่านอ๋องขนมได้แล้วขอรับ” จงถังองค์รักษ์ข้างกายเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเพราะกลัวขนมกุ๋ยจะเย็นชืดไป
เฉิงอ๋องเพียงชายตาแลมา นิ้วมือเรียวยาวเอื้อมหยิบขนมขึ้น
ริมฝีปากบางเผยละเมียดชิม พอเข้าปากขนมก็ละลายนุ่มหอมหวาน สีหน้าของบุรุษยังคงเย็นชาเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงแววตาที่ทอประกายอ่อนโยนเจือเศร้าขึ้นมาวูบหนึ่ง
ความนุ่มลิ้นหายไปถึงสามส่วน
วันนี้เป็นวันครบรอบจากไปของนาง มาที่นี่ หอซูซู ตั้งใจจะมาทานขนมสูตรดั้งเดิมของครอบครัวหลี่ ขนมที่นางอวดนักอวดหนาว่าอร่อยที่สุดในใต้หล้า แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวัง สูตรขนมล้วนเป็นสูตรเดียวกัน ทว่ารสชาติกลับไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หลงเหลือร่องรอย นางจากไปแล้ว