อาชีพไหนๆ มันก็เหนื่อยหมดทุกอาชีพนั่นแหละ คนที่ไม่เหนื่อยคือคนไม่ทำงาน ‘หลินหลิน’ ได้ยินคำนี้ออกจากปากใครคนหนึ่งซึ่งเธอเรียกมาตั้งแต่จำความได้ว่า ‘อาม่าเฉิน’ เสียดายที่เวลานี้ท่านเดินทางไปสวรรค์ได้หลายปีแล้วจึงไม่รู้ว่าเด็กกำพร้าตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าใครมาวางลืมไว้ที่หน้าบ้านอาม่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเวลานี้ไม่ได้เป็นเพียงเด็กสาวช่างฝันที่มักจะแต่งนิทานเพื่อนำมาเล่าให้คนสูงวัยอย่างอาม่าฟัง
เวลานี้หลินหลินทำความฝันของเธอสำเร็จแล้วส่วนหนึ่งนั้นหญิงสาวยกให้เป็นความดีของคนติดละครอย่างอาม่า
อาม่าเฉินชอบดูละครเรียกว่าหากเผลอตัวติดตามละครเรื่องไหนแล้วคงถอนตัวได้ยาก ไม่เคยพลาดสักตอน ไม่เพียงแต่ดู แต่อาม่ามักคาดเดาเนื้อหาไปข้างหน้าแล้วมักจะเดาทางถูกเสียด้วย อย่างว่าอาม่าของเธอผ่านโลกมามากจึงมักเดาได้ถูกเสมอ หลายครั้งทำให้หลินหลินที่นั่งดูละครอยู่ใกล้ๆ ต้องหันไปมองพร้อมกับตั้งคำถาม
“ไอหยา หลินเพิ่งรู้ว่าอาม่าแอบไปเขียนบทเอง”
พอถูกสาวน้อยตรงหน้าทักว่าอาม่าเป็นคนเขียนบทเองหรือไง นางฟ้าผู้ใจดีของหลินหลินมักจะมีใบหน้าแต้มรอยยิ้มแห่งความสุขอยู่เป็นนิจแล้วเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงแกมเอ็นดู
“โตขึ้นหลินหลินเขียนบทละครนะ อาม่าจะรอดูละครที่หลินเขียนบทไง”
ดวงตากลมโตสุกใสของสาวน้อยส่งยิ้มหวานไปถึงดวงตา เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นอย่างชอบใจ“แล้วหลินจะทำได้เหรอคะอาม่า”
มือเหี่ยวย่นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนเอื้อมมาจับมือเล็กๆ แล้วบีบกระชับราวกับส่งทอดกำลังใจ
“หลินจำคำของอาม่าไว้นะลูก ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้หรอก หลินมีสองมือเหมือนคนอื่นมี ทำไมถึงทำไม่ได้เชื่ออาม่าสิ ความสำเร็จสวรรค์ไม่ได้มอบให้กับทุกคน แต่สวรรค์มอบให้กับคนที่ก้าวผ่านความพยายามไปได้เท่านั้น”
“ค่ะอาม่า” เด็กหญิงรับคำมันอย่างเรื่อยเปื่อยที่จริงความสนใจอยู่ที่ขนมมากกว่า มือเล็กๆ เอื้อมไปจิ้ม ‘ขนมจุ๊ยก้วย’ ซึ่งเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ใช้แป้งข้าวเจ้าอย่างดีผสมกับน้ำใส่ถ้วยขนาดเล็กแล้วนำไปนึ่งให้สุก ราดหน้าด้วยหัวไชโป๊ผัดตามสูตร เป็นของว่างแสนอร่อยฝีมืออาม่าเฉิน ความอร่อยลิ้นทำให้หลินหลินจิ้มใส่ปากไม่หยุด รอยยิ้มบางๆ คลี่ขึ้นอย่างมีความสุข
“ขนมของอาม่า อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ”
อาม่าเฉินมองต้นกล้าอ่อนที่รดน้ำพรวนดินมาตั้งแต่เล็กจนเวลานี้ต้นกล้านั้นเริ่มเติบใหญ่เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเห็นต้นกล้านี้เติบโตได้อีกยาวนานเท่าไหร่ “หลินโตขึ้นให้ตั้งใจทำงาน ให้เหมือนตั้งใจกินนะ”
เด็กหญิงชะงักค้างเมื่อเห็นขนมเหลือชิ้นเดียวในจานแล้วนึกละอายใจที่กินอยู่คนเดียวจนเหลือชิ้นสุดท้าย อาม่ายิ้มให้เด็กหญิงอย่างปราณีแกมเอ็นดู “ชิ้นสุดท้ายแล้ว ถ้ากินไม่หมด แสดงว่าอาม่าฝีมือตก”
หลินหลินกลัวอาม่าเสียใจหากไม่กินให้หมดอาม่าคงผิดผวังแล้วเข้าใจผิดคิดว่าฝีมือตก มือขาวสะอาดยืดแขนไปตรงหน้าแล้วรีบจิ้มขนมจุ๊ยก้วยชิ้นสุดท้ายส่งเข้าปาก พร้อมับผลิยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่ดวงตาทั้งสองหันกลับไปจ้องที่จอสี่เหลี่ยมหนาทึบไม่ได้แบนเรียบเหมือนทีวีจอแบบนในยุคปัจจุบัน โดยไม่คิดเลยว่านั่นคือแรงบันดาลใจให้เธอเลือกทำอาชีพเขียนบทเมื่อเรียนจบ
ในพระราชวังอันกว้างใหญ่ ยามค่ำคืนที่ทุกตำหนักทั่วทั้งฝ่ายในต่างเงียบสงัดแต่ละตำหนักต่างลุ้นระทึกกันอยู่ว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปตำหนักใดหรือเจ้า ‘เสี่ยวหลงเปา’ จะเลือกวิ่งไปที่ใด
เสี่ยวหลงเปามันไม่ใช่ซาลาเปาสูตรพิเศษที่มีน้ำซึมออกมาให้ดูดได้แต่เป็นเจ้ากระต่ายน้อยขนปุยแสนเชื่องสัตว์เลี้ยงขององค์จักรพรรดิ ร่างกำยำของบุรุษเพศต้องการได้รับความสำราญแต่บางคืนพระองค์ก็นึกสนุกเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะให้นางใดเป็นผู้ปรนนิบัติดังนั้นจึงเป็นภารกิจของเจ้าสัตว์เลี้ยงน่ารักอย่างเสี่ยวหลงเปา มันวิ่งไปตำหนักใด พระองค์ก็จะเลือกเจ้าของตำหนักเป็นผู้ปรนนิบัติในค่ำคืนนั้นๆ
เสียงหัวใจของฮองเฮาจางชิงหลินก็เต้นระส่ำเมื่อคนจากโรงอาภรณ์คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“ทูลฮองเฮาเพคะ ยอดแห่งงานทอดิ้น คือผ้าลายดอกบัวผืนนี้ฝ่าบาทให้นำมาถวายฮองเฮาเพคะ”
สีพระพักตร์บึ้งกรุ่นโกรธ ดวงเนตรงามประดุจนางพญาเข้มขึ้น นางรู้แก่ใจว่าฮ่องเต้ประทานผ้าไหมทอดิ้นผืนงามให้นางเพื่ออะไร
นางยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เสียงฝีเท้าหนักพร้อมเสียงเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่กำลังใกล้เข้ามา คิ้วเรียวสวยเลิกสูงขึ้นอย่างใช้ความคิด
“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีเพคะ” เสียงหวานใสของนางกำนัลในชุดงามแปลกตาหลากสีสันดังกังวานขึ้น จางชิงหลินไม่ต้องหันกลับไปมองก็รับรู้ได้ว่าใครมา หากประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับฮ่องเต้และพิธีในราชสำนักที่มีขั้นตอนมากมายในการปรากฏตัวแต่ละครั้ง นางจะเถียงว่ามันไม่จริงเสมอไปสำหรับฮ่องเต้พระองค์นี้ ‘ฉินซือเฉิง’
‘ฮ่องเต้วิปริต’
‘ฮ่องเต้ไบโพลาร์’
โรคทางจิตที่มีความฟุ้งซ่านและซึมเศร้าปะปนกันไป แม้ได้ยินชื่อของโรคชนิดนี้บ่อยในโลกใบเดิมของนาง แต่จางชิงหลินเชื่อว่าโรคนี้เกิดขึ้นมานานแล้วในยุคประวัติศาสตร์ อย่างน้อยฉินซือเฉิงคือคนหนึ่งที่เป็นโรคนี้เพราะประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย
“พวกเจ้าไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฮองเฮาข้าจะดูแลนางเอง ถึงยามเฉิน (เวลา 07..00 น-08.59 น.)ข้าจะส่งฮองเฮาของพวกเจ้ากลับตำหนัก”
เสียงขานรับและทำความเคารพค่อยๆ ถอยห่างออกไปใครจะกล้าขัดคำสั่งโอรสสวรรค์ คงถูกจักรพรรดิสั่งลากไปตัดคอ
ฮองเฮาในชุดฉลองพระองค์สีทองเหลืองอร่ามกำลังมองที่ครอบนิ้วทำจากทองฉลุลายดอกไม้อย่างพึงพอใจหากนางทำได้จะหันไปตะกุยพระพักตร์ฮ่องเต้ใจร้ายให้เสียโฉมแต่นางเองคงหนีไม่พ้นถูกลากไปประหารอย่างโหดเหี้ยม
“พวกนางกำนัลถูกข้าไล่ไปหมด คราวนี้เจ้าคงถอดชุดออกได้แล้ว เจ้าบอกเองถ้าเจ้าแพ้ข้า จะห่มคลุมด้วยผ้าลายดอกบัวเพียงผืนเดียวยืนกลางอุทยานดอกท้อ”
พระพักตร์ของจางฮองเฮาซีดขาวไม่สู้ดีนัก “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” เมื่อแหงนพระพักตร์งดงามประกอบกับชุดที่สวมใส่ ฉินซือเฉิงอดคิดไม่ได้ร่างอรชรตรงหน้าเป็นฉางเอ๋อเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ในนิทานปรัมปราหรือฮองเฮาคู่บัลลังก์ที่พระองค์พยายามเลื่อยขาเก้าอี้ให้นางตกบัลลังก์ลงมาคอหักตาย
น่าเสียดายรูปโฉมของนางที่งดงามล่มเมืองแต่สติปัญญาโง่เง่าเท่ากับไข่ปลา