12

1292 Words
“หากเจ้าอยากศึกษาธรรมจริงคงปลงผมบวชแล้ว ข้าจึงคิดว่าเรื่องบวชเป็นเรื่องที่เจ้าสร้างขึ้นเพื่อต้องการให้คนในราชสำนักไว้วางใจเจ้า เพื่อที่เจ้าและสกุลหลวนจะได้ปลอดภัยและเจ้าจะได้วางแผนทำอย่างอื่นได้” “ถ้าใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร ทั้งหมดมันก็เรื่องของข้า” นางเบือนหน้าหนีเพราะเกลียดคนรู้ทัน จะแสร้งโง่หน่อยไม่ได้หรือไง จึงไม่ทันเห็นว่าฉินจิ้นเหอเดินเข้ามาใกล้ “เจ้ามีแผนอะไรกันแน่ บอกข้ามา ทำไมจึงส่งคนไปสืบเรื่องที่สกุลหลี่” เขาถามย้ำน้ำเสียงเข้มขึ้น “ข้าไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น” หลินหลินเดินหนี นางกลัวจะเผยพิรุธให้เขาจับได้มากกว่านี้ “ข้าไม่เชื่อ” ครั้งนี้หลินหลินหยุดเดิน ไม่เดินหนีเขาอีกแต่หันหน้ามาเผชิญ นางยิ้มเย็นชาเหมือนหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกตอนนี้แล้วฉุกคิดได้ว่าหรือสวรรค์ส่งนางมาเขย่าบัลลังก์ทรราชชักพาคนฉลาดขึ้นครอบครองบัลลังก์... นางมองจ้องดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า แผนการในหัวเริ่มวางโครงร่างขึ้นมาเป็นฉากๆ “ท่านอ๋องล่ะ มีแผนการอะไร ข้าว่าท่านก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น ถ้าหากว่าท่านบอกข้าว่าท่านมีแผนการอะไร ข้าก็จะบอกท่านเหมือนกัน” จะเป็นไปได้ไหมหากนางจะร่วมมือกับบุรุษผู้นี้โค่นราชบัลลังก์ของผัวชั่ว ฉินจิ้นเหอหัวเราะ “ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” “ท่านอ๋องประเมินข้าต่ำไปแล้ว บางทีข้าอาจเป็นหมากตัวหนึ่งที่ช่วยท่านอ๋องได้ ขอแค่เพียงตอนนี้ท่านอ๋องช่วยเหลือข้าสักเรื่องหนึ่ง อนาคตข้าอาจช่วยท่านอีกหลายเรื่อง” “เจ้าคิดจะทำอะไร” หลินหลินจ้องหน้าเขา นางเห็นมีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าแต่ก็มีข้อห้ามมากมายจนเรียกว่าจำกัดเลยก็ว่าได้ นางรู้ว่าพวกขุนนางมีความละโมบกันทุกคนดังนั้นนางจึงคิดจะใช้จุดอ่อนนี้ทำลายคนที่ทำร้ายครอบครัวนาง “ข้าก็คิดว่าหากตัดกำลังสำคัญของฉินซือเฉิงไปได้ทีละหน่อย อีกหน่อยเขาก็จะอ่อนแอ ลำพังตัวเขาไม่ได้ฉลาดเท่าท่าน จากนั้นท่านก็อาจทำให้ปณิธานที่ท่านมุ่งไว้เป็นจริงได้” ฉินจิ้นเหอหรี่ตามอง นางกล้าเอ่ยนามฉินซือเฉิงออกมาตรงๆ นางไม่ธรรมดาจริงๆ “ข้าไม่ต้องให้เจ้าช่วย ข้าก็ทำสำเร็จ เรื่องนี้ข้าคิดเองได้อยู่แล้ว” “ท่านอ๋องจะไม่ยอมช่วยข้า” “ใช่” หลินหลินสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ แล้วฝืนยิ้มบนใบหน้า “ท่านอ๋องมานานแล้ว ยังไม่ได้ดื่มชาเลย ข้าเป็นเจ้าภาพที่ไม่ดีเอาเสียเลย ลู่เจียวยกชา” สิ้นเสียงนาง ลู่เจียวก็ยกน้ำชามาวาง ฉินจิ้นเหอรู้สึกคอแห้งเหมือนกัน เขามองกาน้ำชาที่ถูกรินใส่ถ้วย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยกขึ้นจิบ พลันใบหน้าก็เบ้น้อยๆ น้ำชาหรือน้ำต้มรากไม้กันแน่ทำไมรสชาติแย่ขนาดนี้ “ข้าหาน้ำชารสเลิศให้ท่านอ๋องได้แค่นี้ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่มีชาดีให้ดื่ม ในเมื่อท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยข้า ข้าก็ไม่มีธุระจะคุยด้วยแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ฉินจิ้นเหอวางถ้วยชาลง นางตอบแทนเขาที่ไม่ช่วยนางด้วยการให้ดื่มน้ำชาที่ถูกที่สุด เขามองร่างอรชรที่อยู่ในชุดสีขาว ผมมวยอย่างเรียบร้อย เขารู้สึกได้ว่าจางชิงหลินคนนี้ไม่ใช่จางชิงหลินคนเดิมที่เขาเคยรู้จักอย่างแน่นอน ‘ร้ายนัก เจ้าถูกปีศาจจิ้งจอกสิงร่างหรืออย่างไร ถึงได้เจ้าเล่ห์’ เมื่อกลับเข้าห้องนอน หลินหลินไม่สบายใจเรื่องที่ฉินจิ้นเหอมาหาวันนี้ หากเขานำเรื่องที่คุยกับนางไปบอกกับฮ่องเต้โฉดนั่นเพื่อเอาหน้าจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาคิดจะบอกก็คงบอกไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว นางอาจจะคิดมากไปเอง มาถึงตรงนี้นางก็ต้องลองเสี่ยง ไม่สามารถแก้แค้นให้จางชิงหลินได้ก็ขอให้ตายอย่างมีชื่อ นางประเมินดูแล้วอ๋องเก้าคนนั้นก็มีใจทะยานอยากได้ซ้ำชะตาเขาสูงส่งนักได้นั่งบัลลังก์มังกรในอนาคต ตอนนี้คงหาวิธีที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้อยู่เหมือนกัน “แบบนั้นสิดี แต่ทำไมไม่ร่วมมือกับข้า” ตอนนี้เรื่องของนางยังไม่มีผลดีหรือผลเสียกับเขามาก เขาอาจยังไม่เห็นความจำเป็นต้องบอกเรื่องของนางตอนนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญต้องทำ เมื่อเห็นว่าจิวฮุ่ยบ่าวคนสนิทที่ให้ไปสืบเรื่องกลับมาแล้ว “เจ้าสืบได้เรื่องอะไรมาบ้าง” “เรียนคุณหนู ที่จวนสกุลหลี่จะมีงานมงคลของคุณหนูใหญ่จริงๆเจ้าค่ะ เจ้าบ่าวเป็นท่านอ๋องเจ็ด” หลินหลินยิ้มเย็นชา เมื่อแผนการของนางเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง “ข้าคิดว่าฮ่องเต้ต้องส่งขันทีคนสนิทมาแสดงความยินดีด้วยแน่ พวกเขาจะจัดงานกันวันไหน” “อีกห้าวันข้างหน้าเจ้าค่ะ” “ห้าวัน ยังพอมีเวลา จิวฮุ่ยข้าต้องการให้เจ้าถือจดหมายนี้แล้วนำไปส่งที่จวนว่าการเมืองกวางโจว จากนั้นให้สินบนกับขุนนางที่ดูแลเรื่องการค้าขาย บอกให้มอบจดหมายนี้กับพ่อค้าชาวต่างชาติทุกคน เจ้าทำได้หรือไม่” จิวฮุ่ยแม้ไม่เข้าใจแต่ก็รีบพยักหน้า “คำสั่งของคุณหนูบ่าวทำได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ ว่าแต่จดหมายอยู่ไหนเจ้าคะ” หลินหลินยิ้ม “ข้าจะเขียนขึ้นเดี๋ยวนี้ ต้องลำบากเจ้าแล้ว ต้องรีบเดินทางไปและกลับมาให้ทันวันงานมงคลของคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ให้ได้รู้หรือไม่” “บ่าวจะทำให้สำเร็จเจ้าค่ะ” “ขอบใจเจ้ามาก” หลินหลินบอกจบก็หันไปหยิบพู่กันกับกระดาษขึ้นมา นางรู้สึกปวดหัวกับการเขียนพู่กันนิดหน่อยเพราะร้างมือมานานแต่ก็พอเขียนได้ นางตวัดลายเส้นเป็นภาษาอังกฤษแทนที่จะเป็นภาษาจีน นางเขียนข้อความที่ต้องการครบแล้วก็ยกขึ้นมาเป่าหมึกให้แห้ง จังหวะนั้นเองที่จิวฮุ่ยกับลู่เจียวเห็น “นี่ไม่ใช่ภาษาแมนจูนี่เจ้าคะ” “ใช่ มันเป็นภาษาอังกฤษ” จิวฮุ่ยกับลู่เจียวมองหน้ากัน “ภาษาอังกฤษ” “ใช่ อีกหน่อยไม่กี่ร้อยปีข้างหน้าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลกแต่ภาษาแมนจูก็ไม่หายไปไหนนะ ก็ยังใช้อยู่ ต่อไปผู้คนจะเดินทางไปประเทศไหนก็ได้ไม่ถูกจำกัด โลกจะแคบลง คนจะไปมาหาสู่กันง่ายขึ้น” ครั้งนี้จิวฮุ่ยกับลู่เจียวหน้าเขียวคล้ำสลับซีดเผือด รีบยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากนวลของผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง “สงสัยอาการความจำเสื่อมจะกำเริบ คุณหนูถึงพูดอะไรไม่รู้เรื่อง” จิวฮุ่ยออกความเห็น แล้วสั่งเพื่อน “เจ้าไปต้มยามาให้คุณหนูดื่มเถอะ” “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” แต่ไม่มีใครฟังนางเลย ทุกคนลงความเห็นว่านางพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล หลินหลินถอนใจที่ไม่มีใครเชื่อนางเลย เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ใครฟังว่านางหลงยุคมาจากปี2018 อธิบายไปก็คงไม่เชื่ออยู่ดี งั้นปล่อยให้คิดต่อไปว่านางเริ่มสติไม่ดีก็แล้วกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD