@เช้าวันต่อมา
@ห้องประชุม
วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการพูดคุยธุรกิจระหว่างลอฟท์และหุ้นส่วนต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่สองหนุ่มอย่างนาธานและฟรานเชสโกที่เข้ามาทำธุรกิจพร้อมกัน
เรื่องนำเข้ารถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นหลักแทนการเติมน้ำมัน เป็นธุรกิจล่าสุดที่พวกเขาทั้งสามคนคิดว่าคงไปได้ดีแน่
ได้ข้อสรุปว่า..จะเริ่มดำเนินการในช่วงกลางปีหน้า หลังจากที่ศึกษาเรื่องนี้กันมาถึงสามปี คนที่บุกเบิกมีสิทธิ์ตีตลาดก่อนคู่แข่งที่เพิ่งมาศึกษา และสามารถเป็นที่จดจำของหมู่คนใช้รถยนต์ส่วนใหญ่ ยี่ห้อที่มาก่อนใครย่อมติดปากกว่าเป็นไหนๆ
"เรียบร้อย เสร็จสักที" ร่างสูงใหญ่มีผิวสีเข้มอย่างฟรานเชสโกลุกขึ้นยืนบิดขึ้เกียจหลังจากการประชุมครั้งนี้ผ่านไปกว่าสี่ชั่วโมงเต็ม และตอนนี้เหลือเพียงสามหนุ่มอยู่ในห้องประชุมเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ กลับไปกันหมดแล้ว
"นายจะกลับเลยหรือเปล่าฟราน" หนุ่มผิวขาวมีผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าอย่างนาธานถามเพื่อน เพราะการประชุมจบลงไปแล้วพวกเขาคงจะแยกย้ายกันกลับ แต่ฟรานเชสโกที่บินตรงมาปักหลักอยู่ที่ไทยสามวันติดเพราะหลักๆ ดูแลธุรกิจอยู่ที่ต่างประเทศ เสร็จงานแล้วรีบกลับไปเลยหรือเปล่า
ส่วนนาธานกับลอฟท์มาปักหลักอยู่ที่ไทยนานแล้วหลายปี ทำธุรกิจจนร่ำรวย
"นายมีข้อเสนอดีๆ?" ฟรานเชสโกเลิกคิ้วถามนาธาน ข้อเสนอที่ว่านั้นหมายถึงเรื่องผู้หญิง เพราะนอกจากเรื่องงานที่น่าปวดหัวก็จะมีเรื่องผ่อนคลายประเภทนี้หลังเสร็จจากการทำงาน
"ถามเจ้านั่นดีกว่าไหม" นาธานพยักพเยิดหน้าไปทางลอฟท์เพราะเขาไม่สันทัดกินข้างนอกเท่าไหร่ อีกอย่างเขามีฮาเร็มเป็นส่วนตัวอยู่แล้วกลับไปกินที่บ้านก็ได้ แค่อยากชวนไปนั่งดื่มชนแก้วแล้วดูสองคนนี้เล่นหนังสดให้ดู
จะว่าไปรสนิยมพวกเขาค่อนข้างเหมือนและแตกต่างกันพอสมควร ลอฟท์กับฟรานเชสโกนั้นจะชอบซื้อกินเป็นครั้งคราวอย่างไม่ผูกมัดใช่เหมือนเขา
ฟรานเชสโกเลิกคิ้วถามลอฟท์ "นายว่าไงลอฟท์"
"ตอนนี้เลย?" เพราะตอนนี้เพิ่งเป็นเวลาบ่ายสามโมง อีกอย่างเมื่อคืนเขารู้สึกว่าตัวเองเต็มอิ่มจึงไม่ค่อยมีอาการเท่าไหร่
"แล้วตอนนี้นายไม่สะดวกหรือไง หรือยังไม่อยาก" ฟรานเชสโกถามกลับ
"นายบินวันไหนนะ" ไม่ตอบคำถาม แต่ถามฟรานเชสโกกลับแทน ความจริงเขากะมาค้างแค่สองคืนเพื่อการทำงาน แต่อีกคืนเขากะว่าที่พลอยไพลินมาหา เขาจะอยู่พักผ่อนกับเธอต่ออีกวัน แต่เธอคนนั้นกลับไปแล้วมีประโยชน์อะไรให้เขาอยู่ต่อ
"สี่ทุ่ม" เพราะพรุ่งนี้เขาต้องรีบกลับไปทำงานอีกเหมือนกัน
"อืม งั้นไปกันเลย"
พอลอฟท์ตอบตกลง สามหนุ่มก็พากันเคลื่อนย้ายไปยังรถหรูแล้วขับตามกันไป โดยมีลูกน้องตามติดไปอีกกว่าห้าสิบชีวิต ขับนำหน้าและตามท้ายอยู่เป็นขบวน แล่นบนถนนสร้างความแปลกตาให้กับผู้พบเห็นทุกครั้งยามที่พวกเขาเดินทางไปไหน
@สำนักงานทนายความ
พลอยไพลินในชุดสูทสีเทา ปล่อยผมยาวถึงกลางหลัง สวมแว่นตากันแดดสีดำเพื่อบดบังใบหน้าอย่างไม่ต้องการให้มีใครเห็น ไม่อย่างนั้นคงได้เอาไปทำข่าวกันว่าเธอคงกำลังมีประเด็นกับใครถึงขั้นจะฟ้องร้อง
เธอต้องการรู้เพียงว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะเอาผิดคนเจ้าเล่ห์อย่างลอฟท์ วางเอกสารกว่าหลายสิบแผ่นที่เตรียมมาด้วยยื่นให้ทนายความดู
ผ่านมาราวครึ่งชั่วโมงแล้วที่ทนายความชื่อดังนั่งดูเอกสารทุกแผ่นอย่างละเอียด โดยมีพลอยไพลินและผู้จัดการของเธอนั่งอยู่ตรงหน้าด้วยกันอย่างเคร่งเครียด
ไม่นานทนายความก็รวบเอกสารทุกแผ่นเข้าหากันแล้วเคาะลงบนโต๊ะให้เป็นระเบียบก่อนวางลง ประสานมือเพื่อคุยกับคนที่จะเข้ามาเป็นลูกความ มองสบตากับคนทั้งสองสลับกันไปมา
"ผมขอเรียนว่าอย่างนี้นะครับ"
พลอยไพลินและผู้จัดการอย่างวิรันดาตั้งใจรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ลุ้นให้มันเป็นข่าวดี
"ตามที่ผมได้อ่านมาแล้วนั้นทุกบรรทัด หากคุณจะเอาผิดที่เขาร่างสัญญาเหยียดยาวเพื่อให้พวกคุณสับสน ถ้าเป็นทนายความคนอื่นอาจรับว่าความ ส่วนชนะไม่ชนะเขาก็จะได้เงินจากค่าว่าความของพวกคุณอยู่แล้ว"
"แล้วยังไงต่อคะ" วิรันดาถามจี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปพักหนึ่ง
"..แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าดูแล้วไม่น่านำไปสู่การชนะสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์เดียวผมจะไม่แนะนำให้ฟ้องครับ"
"หมายความว่าอย่างไรคะ" พลอยไพลินอยากได้ข้อสรุปชัดๆ สั้นๆ อย่าบอกว่ามันไม่มีทางสักนิดเลยอย่างนั้นเหรอ ทั้งที่เขาจงใจทำให้เราสับสน เขาเล่นแง่กับเธอ
"ฟ้องไปก็ไม่ชนะครับคุณเชื่อผมเถอะ"
สิบนาทีต่อมา..
พลอยไพลินและผู้จัดการของเธอเดินออกมาจากสำนักงานทนายความ โดยที่พลอยไพลินเอาแต่เดินก้มหน้าไม่พูดไม่จามุ่งไปยังที่จอดรถ
"น้องพลอย.." วิรันดาที่เดินตามหลังมาติดๆ แต่ก็รีบเร่งความเร็วขึ้นเพราะน้องสาวเดินเร็วมาก เธอรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ดูไม่ดี แถมยังทำให้น้องต้องมาเดือดร้อน ขนาดนี้แล้วยังไม่ได้งาน และมีแนวโน้มสูงมากว่าต้องจ่ายค่าชดเชยหากไม่ยินยอมเป็นคู่นอนของเขาหนึ่งเดือนตามสัญญา
"เราค่อยกลับไปคุยกันที่คอนโดนะคะ" ตอนนี้เธออยากพักสมองมาก เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่กลับมา ก็คิดมากว่าจะทำวิธีไหนดีนอกเสียจากคุยกับทนายความ ถ้ากฎหมายเล่นงานเขาไม่ได้เธอจะทำอย่างไรดี แล้วก็ได้มารู้วันนี้แล้วว่ากฎหมายทำอะไรคนอย่างเขาไม่ได้จริงๆ
@คอนโดพลอยไพลิน
หญิงสาวเดินทอดน่องมาตามทาง และมีผู้จัดการเดินตามหลังมาติดๆ พอเข้ามาในห้องพลอยไพลินทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างหมดแรง
"แล้วน้องพลอยจะเอาอย่างไรดีคะ" วิรันดาเดินมานั่งลงโซฟาตัวตรงข้าม ด้านหน้ามีโต๊ะกระจกใสกั้นตรงกลางเอาไว้ ถามคนที่ต้องมารับผิดชอบความผิดที่เธอเป็นคนพลาดเมื่อคุณลอฟท์เขาหมายหัวเอาตัวพลอยไพลินเพียงคนเดียว
"แล้วตอนนี้มันมีทางไหนให้พลอยเลือกอีกเหรอคะพี่วิ" พลอยไพลินเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลงช้าๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียด ไม่งั้นเส้นเลือดในสมองคงได้แตกตายเป็นแน่
"พี่ขอโทษนะคะน้องพลอย.." วิรันดาน้ำตาไหลพรากลงมา ยอมรับว่าสะเพร่าสุดๆ หากน้องไม่ยอมเขาก็คงต้องจ่ายค่าชดเชยอีกสามเท่า รวมแล้วสามสิบล้านบาทจะไปหามาจากที่ไหนดี เพราะพลอยไพลินคือดาราคนเดียวที่เธอปั้นแล้วได้ค่าตัวมากกว่าใคร ส่วนคนอื่นๆ หน้าใหม่รวมๆ กันแล้วเหลือไม่ถึงแสนเลยในเศรษฐกิจแบบนี้
ถ้าจะให้เอาตัวเธอไปแทนน้อง คิดเหรอว่าคุณลอฟท์เขาจะยอม เพราะเธอมันแก่แล้ว อายุสี่สิบขนาดนี้ สวยก็ไม่สวย เขาคงไม่ลดตัวลงมาคุยกับเธอหรอก
พลอยไพลินนิ่ง พยายามใช้ความคิดและไตร่ตรองอย่างดีที่สุด อย่างที่เขาบอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจย่อมรอบคอบ อะไรที่เสียผลประโยชน์เขาจะไม่ทำ
"งั้นพลอยคงต้องยอมแหละค่ะพี่วิ" พลอยไพลินเอ่ยเสียงเนือย เธอคงต้องยอมจริงๆ
"น้องพลอยจะยอมนอนกับเขาหนึ่งเดือนเหรอคะ" ทั้งสงสารทั้งเห็นใจและรู้สึกผิดไปตามๆ กัน เพราะเธอคนเดียวที่ไม่อ่านสัญญาทั้งสิบหน้าให้ชัด บางทีมันอ่านไปเจอหน้าใหม่แล้วก็ลืมหน้าเก่า เพราะตั้งแต่รับงานให้เด็กๆ มาไม่เคยมีบริษัทไหนที่ร่างสัญญาได้ยาวเหยียดขนาดนี้เหมือนกัน
"พลอยจะยอมใช้หนี้สามสิบล้านค่ะ"
@คอนโดลอฟท์
ลอฟท์กลับจากเชียงใหม่มาถึงที่คอนโดในเวลาสองทุ่มของวัน มีมาตินและลูกน้องอีกห้าคนเดินตามหลังมาส่ง ส่วนที่เหลือรออยู่ด้านล่าง
สแกนคีย์การด์ เดินเข้ามาในห้องไฟก็สว่างอัตโนมัติ รีบแกะกระดุมเสื้อแล้วยื่นให้มาตินก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
มาตินที่รู้ใจเจ้านายก็รีบเอาสูทไปเก็บ ก่อนเดินเข้าครัวไปยังตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์เย็นๆ กระป๋องหนึ่งออกไปวางไว้ตรงหน้า
ลอฟท์เปิดฝาจนได้ยินเสียงดังแกร๊กแล้วกระดกลงคอลดลงไปกว่าครึ่งจึงเอ่ยถามลูกน้อง ไม่ปฏิเสธว่าในหัวยังมีเรื่องของใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
"ผู้จัดการพลอยไพลินส่งข่าวมาบ้างไหม" เขาคิดว่าช่วงเวลาที่เธอเงียบไปเธอคงได้กลับไปทบทวนสัญญาใหม่ แล้วคิดว่าจะรับข้อเสนอของเขาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท เพียงแต่แลกแค่ร่างกายอันน่าปรารถนาของเธอ
หรือพลอยไพลินจะยอมหาเงินงกๆ เพื่อมาใช้หนี้ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่เงินสามสิบล้านบาทนะไม่ใช่สามสิบบาท เขาคิดว่าพลอยไพลินไม่น่ามีทางเลือกที่ดีกว่าโทรกลับมาขอโทษเขาแล้ว
"ไม่ครับ เงียบเลย"
ลอฟท์ชะงักแล้วนิ่งคิด ตกลงพลอยไพลินจะยอมจ่ายค่าเสียหายสามสิบล้านบาทจริงๆ น่ะเหรอ เพราะค่าที่เขาจูบเธอนั่นเขาไม่คิดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นความเสน่ห์หาที่เขามีให้เธอ แถมพลอยไพลินยังไม่ได้รับเงินในส่วนนั้นสักบาทด้วยซ้ำ
"งั้นพรุ่งนี้มึงโทรไปถามให้ได้เรื่องชัดๆ" ถือว่าวันนี้ทั้งวันเขาให้เวลาเธอคิดก่อนก็ได้ แต่บอกเลยถ้าจะมาเล่นแง่กับนักธุรกิจอย่างเขาพลอยไพลินคิดผิดไปแล้ว
"ครับนาย"
"ไปพักเถอะ กูก็จะพักผ่อนเหมือนกัน" หวังว่าตื่นมาจะได้รับข่าวดี
"แล้วพรุ่งนี้นายจะเข้าบริษัทตอนไหนครับ คุณเทวาบอกว่ามีเอกสารให้เซ็น" เลขาหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าปีอย่างเทวาส่งรายละเอียดมาทางไลน์ผ่านมาตินเพื่อแจ้งงานของเจ้านาย
"ตอนบ่ายแล้วกัน"
"ครับ" มาตินโค้งศีรษะแล้วเดินออกจากประตูไป
ลอฟท์พาตัวเองเข้าไปอาบน้ำก่อนจะเดินออกมาในร่างเปลือยกายท่อนบน ด้านล่างสวมเป็นกางเกงขายาวสีเทาเข้มบางๆ แล้วเดินมานอนคว่ำหน้าลงบนเตียงขนาดคิงไซซ์ ร่างกายสูงใหญ่พอมาอยู่บนที่นอนแบบนี้ช่างดูพอดิบพอดี
@คอนโดพลอยไพลิน
@21.00 น.
(น้องพลอยจะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอคะ) คนถามมีน้ำเสียงที่เป็นกังวล
พลอยไพลินที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว บนศีรษะมีผ้าโพกผมเพราะสระทำความสะอาด ยืนคุยโทรศัพท์กับผู้จัดการอย่างวิรันดาใบหน้าเครียด
เธอใช้สมองประมวลผลกว่าหลายชั่วโมงว่าแบบนี้มันดีไหม มันจะกระทบต่อเธอแค่ไหนกัน แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจ
พลอยไพลินจึงเลือกที่จะรับงานไปทานข้าวกับไฮโซ ส่วนเงินสามสิบล้านเธอก็จะทยอยคืนให้ เพราะหากเขาฟ้องเธอแล้วเรื่องไปถึงศาลก็ต้องมีไกล่เกลี่ยว่าให้เธอจ่ายได้เดือนละเท่าไหร่ตามกำลังทรัพย์
แต่เธออยากตกลงกับคนที่มาว่าจ้างสักหน่อย "พี่บอกไฮโซพวกนั้นว่าพลอยขอเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนเยอะ ไกลตาผู้คนยิ่งดีค่ะ หรือแบบ..ทำให้นักข่าวไม่สามารถเอาไปทำข่าวได้"
(แล้วเขาจะยอมเหรอคะน้องพลอย) วิรันดากังวลว่าลูกค้าที่จะมาจ้างพลอยไพลินไปทานข้าวด้วย หากลำบากขนาดนั้นเขาจะยอมเหรอ ใครๆ ก็คงอยากให้นักข่าวรู้ว่าตัวเองกำลังควงดาราคนไหนอยู่ ยิ่งเป็นไฮโซ หากมีข่าวกับดาราจะทำให้ธุรกิจของตัวเองมีกราฟที่พุ่งสูงขึ้น
"งั้นพี่ลองถามเขาได้ไหมคะว่าโอเคไหม เน้นเฉพาะคนที่ไม่มีพันธะกับใคร" เพราะเธอไม่ประสงค์ทำร้ายความสัมพันธ์ของครอบครัวใครทั้งนั้น และไม่อยากให้มีเหตุการณ์แฟนหรือเมียเขาตามไปตบ เธอไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร
(แล้วน้องพลอยคิดหรือยังคะว่าจะรับงานละเท่าไหร่)
"พี่วิคิดว่าอย่างไรคะ พลอยน่าจะได้สักเท่าไหร่ดี" เธอออกงานอีเว้นได้ครั้งละห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนบาทสำหรับค่าตัวของนางร้าย ส่วนพวกนางเอกเขาได้สองถึงสามแสนบาทขึ้นไปต่องาน
(ห้าหมื่นดีมั้ยคะ) มันเป็นแค่งานกินข้าวง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไร
"ค่ะ ห้าหมื่น" พลอยไพลินรู้ตัวเองดี ถ้าแพงกว่านี้ไปจ้างดาราแถวหน้าดีกว่า "ตกลงตามนี้นะคะพี่วิ"
พลอยไพลินกดวางสายจากผู้จัดการก่อนพาตัวเองกลับมานั่งลงบนโซฟาด้วยความรู้สึกที่ไม่โอเค เพราะการที่เธอทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนขายตัวนักหรอก แค่เราไม่ได้ไปมีสัมพันธ์กัน
แต่คนอื่นคงไม่คิดแบบนั้น นั่นจึงทำให้เธอประสงค์รับแต่คนที่ไร้พันธะหากเกิดมีภาพหลุดขึ้นมา เธอแค่อยากให้เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมโดนเอาเปรียบ ไม่ใช่ว่าคนที่มีเงินกว่าอย่างเขาจะทำอย่างไรกับเธอก็ได้
บางทีการที่เธอเลือกทำแบบนี้ เขาน่าจะเห็นข้อบกพร่องมากมายในตัวเองแล้วเลิกเอาเปรียบเธอสักที อย่าว่าแต่บทนางร้ายในละครหลังข่าวเลย นอกจอเธอก็จะขอหยิบยืมเอามาใช้ในชีวิตจริงเหมือนกัน