CHAPTER 4

2488 Words
“สำหรับโปรเจคนี้ ดิฉันอยากเสนอให้...” เจนนี่นั่งอยู่ในห้องประชุมของบ่ายวันใหม่ด้วยสภาพจิตใจของเธอที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจนพนักงานหลายคนถึงกับเสียวสันหลังวาบตามไปด้วย เพราะเธอขึ้นชื่อในเรื่องของความเหวี่ยง วีน และเรื่องมากอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่วันนี้บรรยากาศมันกลับยิ่งแย่ไปกันใหญ่เพราะเจ้านายของพวกเขาอย่างเจนนี่ราวกับไม่รู้สึกตัวเลย เธอทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา และมันทำให้พวกเขาต่างก็หวาดกลัวไปตาม ๆ กันจนอยากที่จะปิดประชุมไปให้เสร็จเร็ว ๆ แต่นี่มันพึ่งจะผ่านมาแค่สองเรื่องเอง “ใครกันนะ...” เธอบ่นพึมพำออกมาบางเบาให้พนักงานที่กำลังเสนอรายชื่อพรีเซนเตอร์อยู่ถึงกับหยุดชะงักด้วยความหวาดหวั่นและรีบหันหน้าไปหาเธอโดยเร็วเพราะกลัวว่าตัวเองอาจจะพูดเสียงเบาเกินไปจนเจ้านายอาจจะไม่ได้ยิน “ดิฉันขอเสนอชื่อคุณลลิษากับคุณปราณปรียาที่กำลังเป็นที่โด่งดังอยู่ในขณะนี้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับธนาคารของเราค่ะคุณเจนนี่” “ว่าแต่ทำไมถึงต้องนามสกุลเดียวกันล่ะ หรือว่าจะเป็นแม่หรือว่าพี่น้อง...” และการบ่นพึมพำของเธอไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่อาจจะทำให้พนักงานเข้าใจได้เลยว่าเจ้าหล่อนกำลังหมายถึงสิ่งใดกันแน่ เธอได้สนใจสิ่งที่ลูกน้องกำลังเสนองานอยู่ในตอนนี้หรือเปล่า? และคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ... Rrrrrrrrrrrrrrrr แต่แล้วห้องที่เงียบสงบเพราะบรรยากาศมาคุที่เจ้าหล่อนสร้างขึ้นมาเองกับมือก็กลับมีเสียงโทรศัพท์ของใครบางคนดังขึ้นมาจนพนักงานต่างก็ลนหาเพราะกลัวเหลือเกินว่าคุณเจนนี่จะยิ่งหงุดหงิดคูณสอง แต่ร่างบอบของเธอกลับไม่มีทีท่าเดือดร้อนใด ๆ และก้มลงไปมองโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความตั้งใจก่อนที่บรรยากาศจะกลับกลายเป็นเหรียญด้านที่สองขึ้นมาทันควัน “ติณณ์...” น้ำเสียงหวานถูกส่งไปหาคนปลายสายในทันทีโดยที่เธอก็ไม่ทันได้รู้สึกตัวเหมือนกันว่าตัวเองกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “มี้คะ บี๋กำลังจะไปห้าง JNR กับเพื่อนนะคะ” เสียงปลายสายที่ส่งกลับมาหาเธอยังสดใสเสมอ และมันทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปในทันทีจนพนักงานต่างก็ตกใจกับการเปลี่ยนไปจากเจ้านายของตน ปกติเวลามีประชุมคุณเจนนี่ไม่เคยแม้แต่จะพกโทรศัพท์เข้ามาในห้องเสียด้วยซ้ำเพราะว่ามันรบกวนสมาธิของการทำงาน เคยมีพนักงานคนหนึ่งเผลอลืมปิดเสียงโทรศัพท์เขาแทบจะโดนไล่ออกเลยทันทีโดยฝีมือของคุณเจนนี่เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอไม่ชื่นชอบมันที่สุด แต่ทำไมตอนนี้มันกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ? แถมเจ้านายของพวกหล่อนยังเสียงอ้อนเสียงหวานราวกับคนกำลังมีความรักอย่างไรอย่างนั้น แค่คิดว่าคุณเจนนี่มีแฟนพวกหล่อนก็ขนหัวลุกขึ้นมาแล้วล่ะ... “เธอเลิกเรียนแล้วอย่างนั้นเหรอ?” เจนนี่ถามพลางสายตาของเธอก็เงยขึ้นไปสบกับนาฬิกาบนผนัง บ่งบอกว่าเวลานี้ใกล้จะสามโมงเย็นแล้วเต็มที “อีก 10 นาทีค่ะ แต่ติณณ์อยากโทรมาบอกมี้ก่อน” “อย่างนั้นเหรอ...” เธอกรอกเสียงแผ่วกลับไปอย่างใช้ความคิด “วันนี้ประชุมแค่นี้ก่อน ฉันมีธุระ” ก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดออกไปกับเหล่าพนักงาน พร้อมกับร่างระหงส์ของเธอที่เดินจากออกมาในทันทีโดยไม่ได้สนใจใบหน้าตื่นตระหนกของพนักงานเลย “นี่บี๋โทรมารบกวนมี้ใช่ไหมคะ?” ติณณ์กรอกเสียงกลับไปอย่างรู้สึกผิด พลางโทษตัวเองในใจซ้ำ ๆ ว่าทำไมถึงคิดไม่ได้ว่ามัมมี้ของตนเป็นถึงเจ้านายและอาจจะกำลังไม่ว่าง “ไม่นี่...ฉันกำลังจะออกไปรับเธอ อยู่รอที่นั่นแหละ” ติณณ์นั่งรอการปรากฎตัวของคนที่บอกว่าจะมาได้ราว ๆ เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะรอเจ้าหล่อนไปถึงเมื่อไหร่เพราะสารภาพตามตรงเลยคือเธอไม่รู้ว่ามัมมี้ของตัวเองทำงานอะไรกันแน่ เธอรู้แค่ว่าเจ้าหล่อนรวยมาก ๆ รวยถึงขนาดที่บอกว่าจะให้ค่าใช้จ่ายเธอเดือนละสองแสน แต่จะแบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ งวดละ 15 วัน แต่ถามจริงเถอะว่าคนเราจะต้องใช้เงินหนึ่งแสนหมดภายใน 15 วันเลยอย่างนั้นหรอกหรือ? ไม่นานรถยนต์สัญชาติยุโรปคันหรูก็ขับเข้ามาจอดเทียบที่หน้าคณะให้เธอต้องพลอยหันหน้ากลับไปสบมองพร้อมกับไอรีนที่สะกิดเรียกเธอให้มองดู เจ้าหล่อนลดกระจกลงมาให้เธอพยายามเพ่งดู ก่อนจะพบเห็นว่านี่คือมัมมี้ของเธอเอง และเจ้าหล่อนก็สวมใส่แว่นกันแดดสีดำยี่ห้อหรูทับเอาไว้แต่ตอนนี้หล่อนกำลังเป็นที่สนใจของเด็ก ๆ ในคณะเอามาก ๆ เลยล่ะ ติณณ์ไม่รอช้ารีบลุกจากเก้าอี้โดยไม่วายหันไปสะกิดไอรีนให้ลุกตามมาด้วยเพราะว่าเราทั้งสองตกลงกันแล้วว่าจะไปซื้อของด้วยกัน ทีแรกเธอไม่ได้ตั้งใจอยากจะรบกวนมัมมี้ แต่เพราะว่าหลังจากที่เจ้าหล่อนพูดจบก็ตัดสายไปในทันทีและเธอยังไม่ได้มึโอกาสแม้แต่จะเอ่ยปากท้วงติง “มัมมี้...” เธอเอ่ยเรียกเจ้าหล่อนเสียงหวานพลางขึ้นรถโดยมีไอรีนเดินตามขึ้นมาที่เบาะด้านหลัง เธอแอบสังเกตด้วยว่าหล่อนมองมาที่ไอรีนอย่างสงสัย และมันทำให้เธอพลอยยกยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเธอเองให้เจนนี่ได้รับรู้เอาไว้ว่านี่ไม่ใช่ใครอื่น “นี่ไอรีนนะคะ เพื่อนสนิทของติณณ์เอง ไอรีน...นี่มี้เรานะ” “สวัสดีค่ะ” เจ้าหล่อนคนนั้นยกมือไหว้เธออย่างมีมารยาทและเธอก็พยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจว่าใคร ๆ ก็ควรที่จะมีเพื่อนและเธอไม่ได้คิดมากอะไรเลย “ทำไมวันนี้มี้มารับติณณ์ล่ะคะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบมองมาที่เธอตาใส และมันกลับกลายมาเป็นคำถามที่ย้อนมาถามเธอเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้... “พอดีฉันมีธุระต้องไปที่นั่นพอดี” และเธอก็ตอบกลับไปแค่นั้นก่อนจะกดปิดกระจกจนตอนนี้คนด้านนอกไม่สามารถเห็นเราได้แล้วเนื่องจากเป็นฟิล์มดำหนาพิเศษ “!!!” “บี๋ก็คิดว่ามี้คิดถึงซะอีก...” เธอรีบหันไปสบมองคนเด็กกว่าในทันใดเพราะอยู่ ๆ เขาก็ขยับเข้ามาก่อนจะหอมแก้มเธอโดยที่เธอไม่ทันได้รู้สึกตัว พลางสบมองไปที่กระจกหลังก็เห็นว่าเด็กที่ชื่อไอรีนอะไรนั่นกำลังหันหน้ามองไปทางอื่นราวกับอึดอัดเต็มทีที่ได้อยู่บนรถคันนี้ “ทำไมชอบทำอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยเลย!” เธอเอ็ดไปเบา ๆ เพื่อให้เขาหวังสำนึกเสียบ้างแต่เจ้าตัวกลับยกยิ้มออกมาอย่างมีความสุขโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเลยให้เธอได้แต่ยิ่งหงุดหงิด ก่อนที่เธอจะหมุนพวงมาลัยออกไปจากตรงนี้พร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดที่อยู่ในใจเพราะยัยเด็กนี่ชักจะลามปามกับเธอมากขึ้นไปทุกที! ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้ามายังห้างสรรพสินค้าที่เป็นเครือของ JNR เพราะมันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัยฯ ของพวกเรามาก และวันนี้พวกเราก็โชคดีที่ไม่ต้องเดินทางมาเองเพราะมัมมี้ของเธอมาส่งถึงที่ เราเดินลงจากรถโดยที่เธอก็หันไปเอาใจคนแก่กว่าตลอดทางเพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะหงุดหงิดอะไรบางอย่างและเธอก็ไม่อยากจะใส่ใจเพราะหน้าที่ของเธอคือทำให้มัมมี้มีความสุขก็เพียงแค่นั้น “มัมมี้จะแยกออกไปทำธุระไหมคะ ถ้ามัมมี้มีธุระเดี๋ยวพวกเรากลับกันเองก็ได้นะ” เธอว่าอย่างนั้นเพราะรู้สึกเกรงใจเข้าแล้วที่เจ้าหล่อนมาเดินตามพวกเราเข้าร้านนู้นทีออกร้านนี้ทีเพราะเราต้องซื้อของกันอีกเยอะ “แล้วพวกเธอจะไปซื้ออะไรกันอีก?” มัมมี้กอดอกถามขึ้นมาโดยที่ยังไม่ถอดแว่นกันแดด “เดี๋ยวติณณ์ว่าจะไปดูเสื้อผ้าลดราคาฝั่งนั้นน่ะค่ะ” เธอชี้ไปที่มุมหนึ่งซึ่งคนกำลังอัดแน่นเพราะสินค้ากำลังลดราคาอยู่ในตอนนี้ Rrrrrrrrrrrrrrr “ค่ะป๊า...” ติณณ์หันไปมองเพื่อนสาวของตัวเองรับโทรศัพท์โดยไม่วายหันไปยกยิ้มให้กับคนแก่กว่าด้วยที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน “ค่ะ ๆ เดี๋ยวรีนรีบกลับนะคะ” และเจ้าหล่อนก็วางสายไปในทีท่าตื่นตระหนกจนเธอต้องพลอยหันกลับไปถามไถ่ “มีอะไรเหรอ?” “พอดีป๊าบอกที่บ้านคนเยอะเลยอยากให้กลับไปช่วยน่ะ ติณณ์ซื้อของคนเดียวต่อได้ไหม?” เจ้าหล่อนว่าออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้าหนักใจซึ่งติณณ์ก็ส่งยิ้มบาง ๆ กลับไปให้เพราะเธอไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยแม้แต่น้อย “ไม่เป็นไร รีนรีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวเราซื้อของต่อเอง” “โอเค งั้นเราขอตัวก่อนนะติณณ์” และเจ้าหล่อนก็หันไปมองหน้ามัมมี้ของเธอด้วยทีท่าเกร็ง ๆ “มัมมี้ของติณณ์...สวัสดีค่ะ” และเจ้าตัวก็วิ่งออกไป ทิ้งให้ที่ตรงนี้เหลือเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น “ส่วนมัมมี้จะเอา...” “ตามฉันมา...” เจ้าหล่อนว่าอย่างนั้น ก่อนจะออกเท้าเดินไปด้านหน้าให้เธอที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต้องเดินตามไปต้อย ๆ ราวกับเด็กน้อยเดินตามคุณแม่ก็ไม่ปาน มัมมี้พาเธอเดินเข้ามายังช้อปเสื้อผ้าแบรนด์เนมซึ่งเธอก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ธุระของเจ้าหล่อนอาจจะเป็นการช้อปปิ้งก็เป็นได้ และเธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรด้วยถ้าจะให้เธอมาเดินถือของให้เพราะมัมมี้ส่วนใหญ่ก็มักจะให้เธอทำอย่างนั้น เจ้าหล่อนเดินไปรอบ ๆ ร้านและหยิบเสื้อผ้าที่ต่างจากสไตล์ของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง หยิบมายื่นให้กับฉันตัวแล้วตัวเล่าจนมันเต็มไม้เต็มมือไปหมด แถมพนักงานยังเดินมาให้การต้อนรับอย่างดีอีกราวกับเจ้าหล่อนเป็นเจ้าของห้างอย่างไรอย่างนั้น “เร็ว ๆ นะ ฉันจะดูต่ออีกสักหน่อย” มัมมี้พูดออกมาโดยที่มือยังไม่ละออกจากราวเสื้อผ้า และเธอก็ยังไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี “อะไรเร็ว ๆ เหรอคะ?” ก่อนที่เธอจะถามกลับไปให้มัมมี้ถึงกับต้องหันมามองค้อนใส่ แต่เธอแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดไปแน่ ๆ “รีบ ๆ ไปลอง เดี๋ยวฉันดูเพิ่มให้อีก 4-5 ตัว เดี๋ยวเดินตามไป” “อะไรนะคะ? นี่มัมมี้จะให้ติณณ์หมดเลยเหรอ?” เธอถามออกมาอย่างตกใจปนไม่อยากจะเชื่อ มัมมี้คนก่อน ๆ เคยซื้อให้ก็จริง แต่พวกเขาไม่เคยมาเดินเลือกให้กับเธอด้วยตัวเองเลย ส่วนมากจะโอนเงินมาให้หรือไม่ก็ให้เธอเดินตามเพื่อช่วยถือของมากกว่า “มันน่าแปลกนักหรือไง เร็ว ๆ ล่ะเดี๋ยวต้องไปอีกหลายที่!” และก็ได้รับสายตาค้อน ๆ ส่งมาให้พร้อมกับที่พนักงานผายมือให้กับเธอได้เดินไปที่ห้องลองเสื้อผ้า ติณณ์เดินเลี่ยงออกมาเพื่อทำตามในสิ่งที่เจ้าหล่อนบอกในทันทีโดยที่ตัวเองก็ยังติดใจอยู่ ไหนบอกว่ามีธุระไง...ทำไมถึงได้ดูว่างถึงขนาดมาเดินเลือกซื้อของให้เธอกันแน่นะ “ติณณ์เอานี่ไปด้วย” “อ้ะ! มี้เข้ามาเลยได้ไหมคะ...ติณณ์ถอดเสื้ออยู่” เธอบอกออกไปและไม่นานเจ้าหล่อนก็เดินเข้ามายังห้องลองชุดกับเธอ ติณณ์กำลังปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกและเธอก็สังเกตเห็นว่าเจนนี่ยังคงยืนอยู่กับที่และสบมองเธอผ่านกระจกโดยที่เจ้าหล่อนไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกไปเลย และมันทำให้ติณณ์เผยยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อเข้าใจแล้วว่าเจ้าหล่อนต้องการสิ่งใดจากเธอกันแน่... เธอหันหน้าไปหาคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมัมมี้ก่อนจะเข้าไปรวบตัวเจ้าหล่อนให้เข้ามาสู่อ้อมกอด โดยที่เธอไม่ลังเลเลยที่จะหอมแก้มเจ้าหล่อนไปฟอดใหญ่เป็นคำขอบคุณจากเธอที่มัมมี้ให้เธอทั้งหมดในวันนี้ อนาคตของเธอจะต้องสบายอย่างที่เจ้าหล่อนได้บอกจริง ๆ รวมไปถึงองศาด้วยที่จะไม่ต้องทนนอนอย่างลำบากอีกต่อไปแล้วเพราะไม่มีค่ารักษาเหมือนกับแต่ก่อน... “ขอบคุณนะคะ” เธอจับร่างของเจ้าหล่อนให้หันกลับมาเผชิญหน้า ซึ่งเจ้าหล่อนก็ยกยิ้มออกมาราวกับเสือตัวร้ายที่สบมองเธอด้วยสายตาแบบเมื่อคืนที่หล่อนสบมองเธอตลอดเวลาที่เราทำเรื่องอย่างว่ากัน ติณณ์ขยับเข้าไปและกดจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของมัมมี้อย่างออดอ้อน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือของเจ้าหล่อนเอาไว้และออกแรงบังคับให้มือของเธอมาสัมผัสที่ลอนกล้ามหน้าท้องของเธอเพราะติณณ์รู้ว่าเจ้าหล่อนชื่นชอบส่วนนี้มากที่สุด “เปลี่ยนบรรยากาศเป็นห้องลองเสื้อผ้าบ้างดีไหมคะ?” เสียงทุ้มต่ำสดใสที่กำลังแหบพร่าคือเชื้อเพลิงชั้นดีให้กับคนแก่กว่าได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด “ต่อจากนี้เธออยากได้สิ่งใดขอแค่เอ่ยปาก...” เจนนี่พูดออกมาโดยที่ติณณ์ยังคงไม่ละความสนใจออกจากลำคอที่หอมหวานจากเรือนร่างของคนตรงหน้า “Just call me mommy. BabyTinn.” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD