Chapter 5
ปรายลดาจำเป็นต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านก่อนเวลา ด้วยเหตุว่าเธอมีไข้ต่ำ ๆ จนเรียนวิชาต่อไปไม่ไหว ขณะที่เพื่อนรักอาสาอยู่จดบันทึกการสอนในห้องเรียนให้ แทนที่จะไปส่งซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่
เธอเป็นคนไม่มีญาติที่ไหน... นอกจากพี่เปา แม่อนงค์ และยัยปริม ก็คงจะไม่มีใครจริง ๆ พ่อปองกานต์จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่พ่อของเธอ ไม่เคยมาแยแสกันด้วยซ้ำ
นานแล้วที่เธอเคยอ่านหัวข้อสนทนา ‘ในวันที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร’ ในโลกออนไลน์ พอได้เกิดเข้ากับตัวเองจริงดันขำไม่ออก เพราะนั่นหมายความว่าเธอจะต้องดิ้นรนและพยายามให้มากกว่าคนอื่นหลาย ๆ เท่า
คอนโดมิเนียมของเธอที่ซื้อไว้นั้นอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย โดยสารทางรถยนต์แค่สิบนาทีก็ถึง จะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งไม่น่าจะถึงห้าสิบบาท ต่อให้เป็นช่วงการจราจรติดขัด
ทันทีที่มาถึงห้องสตูดิโอฯสี่เหลี่ยมที่มีขนาดกำลังพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ตกแต่งด้วยดีไซซ์ทันสมัยสมราคา เธอไม่ลืมส่งข้อความบอกเพื่อนว่าเดินทางมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ ก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาจากกล่องยาในกระเป๋าสะพาย เดินตรงไปที่ตู้เย็น...
ทันใดนั้นเอง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองชายร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานเรียบร้อยก้าวพ้นออกมาจากความมืด ใต้แสงไฟสีเหลืองนวลสลัว
“พุด... ทำไมพี่โทรไปไม่รับ?” ความคับข้องหมองใจพุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่งในแววตาประกายกร้าว เมื่อพบว่าสาวน้อยที่เขาเฝ้าทะนุถนอมซูบโทรมลงไปมากขนาดไหน
ปรายลดาเป็นคนผอมอยู่แล้ว ความเครียดทำให้เธอน้ำหนักหายไปกว่าห้ากิโลฯในเดือนเดียว ดวงตาแดงช้ำเศร้าหมองบอกว่าเธอไม่เคยมีความสุข หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองแรง ๆ เพื่อพยายามกลั้นเสียงสั่น ๆ เอาไว้
“พี่เปามีอะไรคะ?”
ในน้ำเสียงเย็นชาอาจเย็นยะเยียบอยู่เท่า ๆ กันกับอีกคนหนึ่ง
“กลับบ้านกับพี่... เรายังเรียนหนังสือไม่จบ พี่ไม่อนุญาตให้มาอยู่กับผู้ชาย”
“พุดอยู่ที่นี่คนเดียว ห้องนี้... เป็นห้องพุด พุดไม่ได้ทำอะไรเสียหาย...”
วงหน้าหล่อเหลาเครียดเข้มขึ้น พอนึกถึงคำพูดของนัชชาที่อาจจะเชื่อไม่ได้ทั้งหมด ทว่าเขาก็ยังไม่แน่ใจ สายตาอาลัยอาวรณ์ของเขาค้างอยู่บนใบหน้าสดสวยซีดเผือดที่มีหยดน้ำตารินไหลลงอาบแก้ม แม้ว่าเธอกำลังจะเชิญเขาออกไปจากห้องนี้...
“พี่เปาเอากุญแจมาจากปริมใช่ไหม?”
“พี่เอากุญแจมาจากใครไม่สำคัญ เราต้องกลับบ้านกับพี่”
“อะไรนะคะ พุดเนี่ยนะ ต้องกลับบ้าน... ?” ในเมื่อบ้านของเขาที่เธออาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิด เขายังเป็นฝ่ายขับไสไล่ส่งเธอทางอ้อมแค่เพราะว่าไม่พอใจอะไรสักอย่าง ปรายลดาแค่นหัวเราะทั้งน้ำตา ก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมารินใส่แก้ว แกะกล่องยาแต่ละช่องออกเพื่อรับประทานมัน
อย่างที่ว่าเธอต้องรักตัวเองหากเขาไม่เห็นคุณค่าของเธอ
“เรามีแฟนแล้วหรือ?”
“...”
“พ่อเลี้ยงถาม... ตอบ” ในคำสั่งอย่างทวงบุญคุณเป็นอะไรที่ปรายลดาไม่ชอบเลย ปรเมษฐ์มักจะแทนตัวเองว่า ‘พ่อเลี้ยง’ เวลาที่เขาโกรธเธอมาก ๆ ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอเงยหน้าขึ้นจากแก้วน้ำใส
“พุดจะนอน”
น้ำตาแต่ละหยดที่ร่วงรินราวตกลงตรงกลางใจชายหนุ่ม ถึงมีความหึงหวงอยู่สักเท่าไร ตาคมจับจ้องร่างบางที่พาสองขาไร้เรี่ยวแรงไปล้มตัวลงนอน ก้าวตามไปหย่อนก้นนั่งลงบนเตียงนุ่มที่ยวบยุบลงตามน้ำหนักของชายร่างกำยำ
“ไม่สบายไปหาหมอหรือยัง ซื้อยาอะไรมากิน... ทำไมกินยาก่อนกินข้าว?”
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาวที่ซุกตัวในผ้านวมหนาเพราะความหนาว เธอพริ้มตาปิดลงอย่างเหนื่อยล้าจากการเรียนและปัญหาหัวใจ โดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยดี ปรเมษฐ์ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ เพราะไม่รู้จะทำยังไง
ครั้งสุดท้ายที่เขาจากไป... มันเกิดเรื่องทำนองนี้
ในเมื่อเขาไม่ได้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ก็คงต้องมีอารมณ์ร้อนรุ่มประสาชายโสด และความปรารถนาอันมากล้นที่มีต่อตัวเธอ...
นานแล้วที่เขาแอบลักเล็กขโมยน้อยกับเรือนร่างหอมกรุ่นตอนหลับ... เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง ริมฝีปากไม่ทำตามสัมปชัญญะจะคอยเฝ้าจุมพิตไปบนซอกคอขาวเนียน ไล่เรียงไปตามเรือนกายราวกับว่าเธอเป็นของเขา ปัดป่ายมือไปมาในชุดกระโปรงนอน จบลงที่การกอดประคองด้วยความรักใคร่
อยู่มาวันหนึ่งเขาดันรู้ว่าเธอรู้สึกตัวอยู่ตลอด ไม่กล้าสู้หน้าจนต้องหนีไปทำงานต่างประเทศ
“พุด... เด็กดีไม่แกล้งหลับนะครับ” ในน้ำเสียงอ่อนโยนลง เหมือนที่เขาพูดกับเด็กน้อยคนหนึ่ง มือหนาเอื้อมไปข้างหน้า พลันค้างไว้ที่กลางอากาศ เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องเธออีกแม้ปลายเส้นผม...
“พี่จะ... โทรหาปริมนะ”
ในเวลาที่ปรายลดาไม่อยากนอนเธอจะหลับตาอยู่ในความเงียบ เช่นตอนนี้ เธอรู้ดีว่าคนเจ้าแผนการอย่างยัยปริมไม่มีทางรับโทรศัพท์
และก็เป็นเช่นนั้น... หลังจากที่ปรเมษฐ์พยายามต่อสายหาเพื่อนผู้หญิง ซึ่งตัวของเขาเองก็คงจะไม่มี ปิ่นแก้วนั้นยังอยู่ฟิลิปปินส์ แม่อนงค์ก็กลับไปเลี้ยงหลาน
ในที่สุดเขาจึงต้องตัดสินใจก้าวผ่านความขี้ขลาดของตนเอง เมื่อชีวิตคนตรงหน้าสำคัญกว่า หากพอยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง ยาที่เริ่มออกฤทธิ์พาสติของเธอกลับมา อาการปวดศีรษะค่อยทุเลาลง ดวงตาสุกใสแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธ น้อยเนื้อต่ำใจอย่างล้นเหลือ
“ตั้งใจจะฆ่ากันอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้ตาย ๆ ไปเถอะ”
เสียงกระด้างราวแส้ที่หวดเขาด้วยพิษคำ ปลายรดาเป็นเด็กดีไม่เคยมีกิริยาแบบนี้กับเขาแม้สักครั้ง สองเดือนที่ผ่านมาอะไร ๆ คงจะเปลี่ยนไปมาก
“ถ้าลุกไหว ก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปกินข้าวซะก่อน ค่อยมานอน” พออีกคนยังไม่ขยับ เสียงทุ้มแฝงความเคร่งขรึมขึ้นในถ้อยคำเด็ดขาด
“ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ดวงตาคู่สวยหรี่เล็กลงเหยียดตรงมองกลับไปด้วยความขุ่นเคืองใจ เขาไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับเธอ!
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ พุทรา”
ความเสียใจหลั่งออกมาจากสีหน้าดื้อรั้น เสียงสั่น ๆ เค้นออกมาทีละคำ “ออกไป”
ใบหน้าสันคมฉายแววเจ็บปวด เมื่อสาวน้อยแสนเรียบร้อย น่ารักกับเขาเสมอ ลุกพรวดจากที่นอน เริ่มสาดเทความกร้าวโกรธใส่เขาด้วยหมอนที่ฟาดลงไม่ยั้ง
“ออกไป ๆ ไป... ไป!”
ปรเมษฐ์ไม่คิดว่าเธอจะทำร้ายเขา หากว่าเธอไม่เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ ! จึงยอมสงบศึกด้วยการลุกไปแต่โดยดี เขาให้เวลาเธอได้สงบสติอารมณ์ลำพัง โดยนั่งรออยู่ตรงโซฟาด้วยจิตใจกระวนกระวาย
มีแค่เสียงร้องไห้ครวญครางของผู้หญิงอกหักช้ำใจคนหนึ่ง... มันทำให้เขานึกถึงคำพูดของแม่ว่าจะเป็นบ้าตายไปเสียก่อนเพราะอะไร แล้วเขาหรือจะทนไหว...?
บาดแผลฉกรรจ์ครั้งนี้ที่เขาเป็นคนลงมีดเองคงจะอยู่ไปอีกเนิ่นนาน น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้มแค่ได้ยินซุ่มเสียงเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองเอาไว้ นานนับชั่วโมงกว่ามันจะค่อย ๆ เงียบลง เมื่อถึงที่สุดของปรายลดาที่ร้องไห้จนผล็อยหลับไปเหมือนทุก ๆ วัน
ร่างสูงในเสื้อผ้าหลุดลุ่ยชุดเดิมยังนั่งอยู่ข้างเตียง หลายชั่วโมงแล้วที่คนป่วยมีอาการระส่ำระสายเพราะพิษไข้ เสียงพร่ากระซิบเรียกหาเขาอยู่ซ้ำ ๆ
ใบหน้าสดสวยริมฝีปากอิ่มงามที่เขาเคยหลงใหลบัดนี้ซีดขาวราวกระดาษ กระทั่งเรือนกายซูบผอมจนเห็นกระดูก ตอกย้ำความรู้สึกผิดให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
มือของเธอร้อน ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยาคงไม่ได้ออกฤทธิ์นานนัก มันเป็นการรักษาที่ปลายเหตุระงับความเจ็บปวดได้ชั่วครั้งชั่วคราว
ปรเมษฐ์จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าตลอดเวลาที่เขาจากไป เธอมีชีวิตอยู่ยังไง และการที่คนแข็งแรงไม่เคยป่วยอย่างปรายลดาถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ น่าจะมีสาเหตุมาจากตัวเขาผู้ทำลายภูมิต้านทานของสาวน้อยไม่มีชิ้นดี
ป่วยใจมักลามไปถึงกาย...
เธอคงจะไม่ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองเลย เพราะไม่มีคนชวนไปออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส แม้แต่วิ่งในสวนสาธารณะในทุก ๆ เช้าเย็น อาหารการกินคงไม่มีอะไรลงท้องด้วยซ้ำ ถึงได้ผอมเอาๆ
ชายหนุ่มคอยเฝ้าเช็ดทั้งใบหน้าและลำคอเปียกชุ่มเหงื่อโทรมกายด้วยผ้าสีขาวในขันน้ำเล็กข้าง ๆ ซึ่งคงจะทำได้เท่านั้น
ในเมื่อมีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งสอง หากได้จับต้องหนึ่งครั้ง มันจะลุกลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง เขาคงไม่สามารถหักห้ามใจ ไม่ให้ไปต่อ...
จากนั้นมันจะจบลงที่สถานที่แสนอ้างว้าง โดดเดี่ยว... นั่นก็คือห้องน้ำ!
“พี่... เปา..” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบ อาการปวดร้าวระบมศีรษะทำให้เธออยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ปรายลดาปรือตาขึ้นมองเพดานสีขาว กะพริบตาสองสามครั้ง