“คะนิ้งไปไหนล่ะ” ลุงกวาดตามองโต๊ะอาหารรอบหนึ่งก่อนถามถึงลูกสาว
“นิ้งไม่ได้บอกลุงเหรอคะว่าจะไปไหน” ฉันกำลังตักข้าวใส่จานให้ทุกคน เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ลุงคณินเลิกคิ้วพลันส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง ฉันเลยตวัดสายตาไปทางแม่คิดว่ายังไงแม่ก็ต้องรู้ และแม่ก็รู้จริงๆ ด้วย
“นิ้งไปหาริกกี้ค่ะคุณพี่ เห็นว่าเพื่อนประสบอุบัติเหตุ...” แม่อธิบายสาเหตุที่คะนิ้งไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน เว้นช่วงแป๊บหนึ่งเหมือนอะไรติดคอแล้วค่อยพูดต่อ “ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล คะนิ้งไปอยู่เป็นเพื่อนริกกี้น่ะค่ะ”
“อ้าวเหรอ เพื่อนคนไหนล่ะ” ลุงถามลอยๆ แต่สีหน้ามีความเป็นห่วงเพื่อนคนนั้นของริกกี้จากใจจริง แต่ถ้าลุงรู้ว่าเพื่อนคนนั้นคือคนเดียวกับที่มาก่อเรื่องในบ้านวันนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำหน้ายังไง ฉันชำเลืองมองแม่ระหว่างส่งจานที่ตักข้าวจนพูนให้พี่ลีไทน์ สงสัยว่าแม่รู้หรือเปล่าว่าคนคนนั้นคือเขา
แต่ด้วยเซ้นท์ของแม่ฉันสังหรณ์ว่าอาจจะระแคะระคายอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
“เอ้อ พูดถึงอุบัติเหตุ ระหว่างทางมาที่นี่เหมือนจะมีรถชนกันด้วย เห็นเศษซากรถกับพวกรอยน้ำมันเปื้อนเต็มพื้นเลยครับ ท่าทางจะชนแรงเอาการ”
พี่ลีไทน์พูดตามที่ได้เห็นมา ทุกคนหยุดฟังเขาอัตโนมัติไม่เว้นแม้กระทั่งตาหนูที่จ้องหน้าลุงลีตาแป๋ว คงเพราะเห็นว่าทุกคนมองลุงลีเป็นตาเดียวและจู่ๆ ก็พร้อมใจกันเงียบหรือเปล่าไม่แน่ใจ เลยทำให้ตาหนูพลอยหลิ่วตาตาม
ฉึก... ฉึก...
“โอ๊ะ! ตัวเล็กนี่มือลุงครับไม่ใช่รถแครอท” พี่ลีไทน์หลุบมองมือที่โดนส้อมพลาสติกของตาหนูจิ้มด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะจับมือตาหนูไปจิ้มแครอทลวกเนื้อนิ่มที่ถูกบล็อกพิมพ์เป็นรูปรถสวยงามในจานลาย Capeta [1] ที่ลุงริกกี้ซื้อมาฝากจากญี่ปุ่น ว่าไปแต่ละคนก็ช่างสรรหาของแปลกๆ มาให้ลูกชายฉันจริงๆ
แล้วก็ไม่รู้เลือดมันเข้มหรือเปล่าไม่แน่ใจ อาหารทุกอย่างถ้าทำเป็นรูปรถ จะยอมกินแต่โดยดี ถ้ามาแบบธรรมดาหรือลวดลายหวานแหววอย่างดอกไม้ หัวใจ ภามจะเขวี้ยงทิ้งทันทีประหนึ่งเป็นของแสลง ตอนที่ยังไม่ค้นพบความจริงข้อนี้ฉันกับแม่โคตรเครียดที่ตาหนูไม่เจริญอาหาร กินแหละแต่น้อย ป้อนไม่ค่อยเข้าปาก ต่อให้ยอมอ้าปากรับก็ไม่กลืนให้ เผลอทีเป็นคลายทิ้งตลอดอย่างกับประชดแหนะ ทั้งที่ตัวก็แค่นี้จะคิดอะไรเป็น ตอนพาไปฉีดวัคซีนถึงได้คุยกับหมอ หมอแนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนหน้าตาของอาหาร ให้น่ากิน ดึงดูดความสนใจเด็กได้ พวกเราพยายามปรับเปลี่ยนตามที่หมอบอก จนมาลงเอยที่รูปรถเนี่ยแหละ ก็เด็กผู้ชายน่ะนะ คงแปลกถ้าจะชอบดอกไม้
ฉันถือจานข้าวเดินอ้อมมาดึงเก้าอี้อีกฝั่งนั่งลงข้างตาหนู มองพี่ลีไทน์กับลูกชายตัวเองแล้วยิ้มแซวๆ
“ไม่ทันไรก็จะเสียบมือลุงแล้วเหรอลูก”
“มะ... อะ”
พอเห็นว่าแม่มาใกล้ๆ ตาหนูก็ยื่นส้อมที่มีรถแครอทมาให้อย่างใจกว้าง ฉันมองแวบหนึ่งก่อนจะหันไปตักไข่ตุ๋นที่ตาหนูยังไม่แตะขึ้นมาครึ่งช้อน
“แลกกัน” ฉันส่งช้อนไข่ตุ๋นไปจ่อที่ปากลูก ยื่นหมูยื่นแมว ตาหนูอ้าปากรับโดยไม่ลังเล พอเห็นลูกว่าง่ายแบบนั้นฉันก็อ้าปากงับชิ้นแครอทมาเต็มคำ ใช้ลิ้นดุนไปมาไม่กี่ทีแครอทก็แทบละลายในปาก แถมยังหวานอ่อนๆ อีกด้วย ฝีมือการทำอาหารนี่ต้องยกให้แม่เลย ส่วนฉันก็พอทำได้แต่หน้าตาอาจจะออกมาไม่สวยเท่าแม่ทำ
ถ้าให้เรียงลำดับสกิลการทำอาหารของบ้านนี้ แม่อยู่ลำดับสูงสุด รองลงมาเป็นลุง คะนิ้ง และฉันคือที่โหล่
ทุกสายตามองมาที่ฉันกับตาหนูที่แลกกันป้อนข้าวให้กันอย่างเอ็นดู เพียงแค่ภามขยับทำโน่นทำนี่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเบิกบานไปด้วย
“ว่าแต่ลีมาติวหนังสือแถวนี้เหรอ” แม่ชวนพี่ลีไทน์คุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดจนเกินไป
“ครับอา พอดีเป็นทางผ่านกลับหอ ก็เลยซื้อขนมมาฝากเพนนีกับตัวเล็กน่ะครับ”
“หืม ขนมอะไรเหรอ”
“วาฟเฟิลฟักทองหน้าพริกเผาหมูหยองไงแม่” ฉันบอก แม่ขมวดคิ้วทันควัน
“มันอร่อยเหรอ คราวก่อนแม่ชิมแล้วรู้สึกไม่โอเคเลย”
“ก็มันขนมวัยรุ่นน่ะแม่” ฉันแอบประชดเบาๆ โดนแม่ค้อนขวับมาทีหนึ่ง จากนั้นแม่ก็บ่นขมุบขมิบว่ายังไม่แก่สักหน่อย ก่อนจะชักชวนทุกคนกินข้าวแก้เขิน เสียงหัวเราะดังคลอเบาๆ บนโต๊ะอาหารต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะเงียบลงพร้อมกับพุงที่เต็มแน่นของแต่ละคน อาหารบนโต๊ะพร่องไปกว่าครึ่ง
หลังอิ่มกันหมดแล้ว แม่กับลุงเป็นคนพาตาหนูออกไปเล่นข้างนอก ปล่อยให้ฉันกับพี่ลีไทน์เก็บโต๊ะกันสองคน
“พี่ไม่ต้องล้างค่ะ เอาไว้นั่นแหละ เดี๋ยวนีล้างเอง”
ฉันรีบบอกตอนที่หันไปเห็นเขาเปิดก๊อกน้ำ หยิบฟองน้ำกับน้ำยาล้างจานออกมา
“ไม่เป็นไร พี่อยากช่วย”
“แต่...” ฉันมองอย่างไม่สบายใจ ถึงทุกครั้งที่มากินข้าวที่บ้านพี่ลีไทน์จะช่วยล้างจานอยู่เป็นประจำก็เถอะ ยังไงเขาก็เป็นแขก เป็นเพื่อนคะนิ้ง แถมยังมีศักดิ์เป็นอาจารย์ของฉันด้วย ถึงจะแค่ติวเตอร์ชั่วคราวแต่ฉันก็ยังรู้สึกเกรงใจเขาอยู่มาก
“เอาน่า... จะได้เสร็จไวๆ”
นั่นเป็นคำปลอบใจของพี่ลีไทน์ที่บอกกับฉัน ฉันจะทำยังไงได้นอกจากถอนหายใจเบาๆ รีบเช็ดโต๊ะให้เสร็จแล้วมายืนช่วยเช็ดจานที่ล้างแล้วข้างๆ ลงตะกร้า
“ที่จริงแล้วไม่ต้องซื้อของมาก็ได้... ถ้าอยากมาเล่นกับตาหนูมามือเปล่าก็ไม่มีใครว่าหรอก” ฉันเอ่ยความในใจออกมา รู้ว่าวาฟเฟิลนั่นคงเป็นแค่ข้ออ้างที่ทำให้พี่ลีไทน์มาที่บ้าน
“ใครบอก พี่หวังข้าวเย็นฟรีต่างหาก”
“ฮ่าๆ เดี๋ยวนี้เห็นแก่กินแล้วเหรอ”
“ก็กับข้าวแม่เพนนีอร่อยนี่นา”
“ไปบอกแม่สิ แม่คงดีใจมาก” ฉันก้มหน้าเช็ดจานโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง แม้จะรู้ว่าตอนนี้พี่ลีไทน์กำลังมองฉันอยู่ก็เถอะ แต่ไม่นานเขาก็ดึงสายตากลับไปล้างจานในซิงค์ต่อจนเสร็จ ฉันส่งผ้าสะอาดให้เขาเช็ดมือ ระหว่างนั้นก็เดินมาเปิดตู้เย็นเอาวุ้นผลไม้ที่แม่ทำออกมาห่อใส่กล่อง
“เอานี่กลับไปกินด้วยสิ แม่ทำ อร่อยนะ”
“อ่อ ได้... ไว้จะเอากล่องมาคืนทีหลัง” พี่ลีไทน์พูดยิ้มๆ ฉันเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีอะไรแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่นแต่ก็ไม่อยากคิดมาก
“กล่องนี่น่ะได้แถมมากับนมผงตาหนู พี่เก็บไว้ใช้เลยก็ได้ ไม่ต้องเอามาคืน มันไม่ได้แพงอะไร”
“อ้าวเหรอ” พี่ลีไทน์พยักหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
“แล้วนี่จะกลับเลยหรือเปล่า”
“ค่ำๆ สักหน่อยน่ะ ตอนนี้รถคงติด” พูดพลางดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาดูเวลา
“อืม อย่าลืมเอากล่องวุ้นกลับไปด้วยล่ะ” ฉันตบกล่องวุ้นเบาๆ เป็นการเตือน “ในครัวไม่มีอะไรแล้ว ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
“อื้ม”
ฉันเดินนำพี่ลีไทน์ออกมาข้างนอก ลุงกำลังพาตาหนูดูสมุดภาพอยู่บนโซฟาพอเหลือบเห็นเราสองคนก็หันมายิ้มให้
“ในครัวเสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
“ครับ” พี่ลีไทน์ยิ้มตอบลุงก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ กัน ส่งสายตาหยอกล้อไปให้ตาหนูอย่างเป็นกันเอง
“มะ”
ตาหนูที่อยู่บนตักลุงตะโกนเรียกพลางจิ้มหน้ากระดาษที่ลุงเปิดให้ดูอย่างตื่นเต้นไม่ทันได้มองลุงลีเลยสักนิด ฉันเบิกตากว้าง ทำทีเป็นสนอกสนใจมากๆ
“ไหน ดูอะไรอยู่”
ตาหนูจับหนังสือภาพขึ้นโชว์แต่ไม่ได้หันมาทางฉัน ฉันยืดคอมองยังไม่ทันเห็นว่ามันคืออะไร เสียงขำเบาๆ ก็ดังมาจากทางพี่ลีไทน์ พอเห็นภาพฉันก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ก็เต่านี่เอง
“เต่า... ชอบไหมครับ”
ตาหนูพยักหน้าหงึกๆ
ฉันส่ายหน้ายิ้มๆ เดินกลับมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นเพื่อจะทำงานที่ค้างต่อ ระหว่างนั้นก็มองลุงลูบหัวหลานพลางอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเต่าให้ภามฟังเป็นเรีองเป็นราว ตาหนูจ้องปากที่กำลังพูดของคุณตาอย่างตั้งใจราวกับฟังรู้เรื่อง
ฉันละสายตาจากสองตาหลานมองไปรอบๆ อย่างสงสัย “แม่อยู่ข้างบนเหรอคะ”
“ขึ้นไปอาบน้ำน่ะ”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้ารับรู้ ตอนนั้นลุงก็หันไปคุยสัพเพเหระกับพี่ลีไทน์พลางเล่นกับตาหนูไปด้วย พอตาหนูดิ้นออกจากตักลุงก็ไม่ได้ห้าม ปล่อยให้ตาหนูทำตามใจชอบ
“ไงตัวเล็ก จะเอาอะไร”
พอลงโซฟาได้ตาหนูก็เดินเตาะแตะไปจับขาลุงลีไทน์ ชี้มือใส่โทรศัพท์ที่เขากำลังถืออยู่
“นี่เหรอ...” พี่ลีไทน์ถามย้ำ ตาหนูย่อตัวตอบด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่พี่ลีไทน์ไม่ได้ยื่นมือถือให้ตาหนูทันที เขามองมาทางฉันด้วยสายตาเป็นเชิงขออนุญาต ฉันส่ายหน้า ไม่อยากให้ลูกใกล้ชิดกับของพวกนั้นเร็วเกินไป
“ภามบล็อกยังใส่ไม่หมดเลยนะครับ มาทำให้เสร็จก่อนไหม” ฉันบอกลูก ตาหนูหันขวับ สายตามองไปที่บล็อกไม้ที่ยังกระจัดกระจายบนพื้นเพราะยังไม่ได้เก็บ รอเก็บทีเดียวก่อนขึ้นนอน เพราะเคยเก็บแล้วแต่เจ้าตัวก็ไปรื้อออกมาทำรกอีกรอบ คนตามเก็บก็เหนื่อย
ตาหนูหันกลับไปมองลุงลีพลางชี้มืออย่างไม่เปลี่ยนใจ “นี่...”
ชี้พลางหันมามองหน้าแม่ตาละห้อย ฉันมองท่าทางรบเร้านั้นอย่างอ่อนใจ กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากทางบันได แม่ฉันนั่นเอง
“โยอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” ลุงท้วงแม่เป็นคนแรก
“ค่ะ มีอะไรกันเหรอ” แม่มองบรรยากาศที่ค่อนข้างอึมครึมในห้องโถงอย่างสงสัย พี่ลีไทน์เก็บโทรศัพท์ลงตั้งแต่ตอนที่ฉันเรียกตาหนูมาเล่นบล็อกแล้ว แต่ตาหนูยังเกาะขากางเกงเขาไม่ยอมปล่อย เลยเป็นภาพที่ออกจะแปลกตาอยู่สักหน่อย
ตาหนูชี้มือไปที่มือของพี่ลีไทน์ แต่พอไม่เห็นโทรศัพท์เครื่องนั้นแล้วสีหน้าก็เริ่มจะดูไม่ดี ปากเริ่มเบะ...
“จะเอาอะไรครับ”
พอยายทำเหมือนจะโอ๋ ตาหนูก็เริ่มบีบน้ำตา ฉันถอนหายใจยาวแต่ยังไม่ทันพูดอะไรลุงที่มองดูสถานการณ์มาสักพักก็เอ่ยขึ้น
“ห้องน้ำว่างแล้ว ไหนใครสัญญากับตาว่าจะไปอาบน้ำ วันนี้จะเอาอะไรไปลอยน้ำด้วย เป็ดก้าบๆ หรือว่าเรือบรื้นๆ”
พอได้ยินคำว่าบรื้นๆ ตาหนูก็เปลี่ยนท่าทีทันควัน เบนความสนใจจากพี่ลีไทน์ไปทางลุงแทน ลุงยกตัวตาหนูขึ้นมาอุ้มก่อนหันมามองหน้าฉัน
“เดี๋ยวลุงพาภามไปอาบน้ำเอง ไม่ต้องกังวลนะอยู่คุยกับพี่เขาเถอะ”
“รบกวนลุงด้วยค่ะ”
“อืม”
ก่อนไปลุงก็หันไปยิ้มให้แม่แล้วอุ้มภามเดินขึ้นบันไดไปอาบน้ำบนบ้าน แม่มองตามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”
“ตาหนูอยากเล่นโทรศัพท์น่ะ แต่นีไม่อยากให้เล่น”
“อ๋อ...”
“ผมผิดเองครับ ที่เอาโทรศัพท์ออกมา” พี่ลีไทน์มองฉันกับแม่ด้วยสายตารู้สึกผิด
“เด็กๆ ก็แบบนี้แหละ เห็นอะไรก็สนใจหมด ไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ” แม่พูดยิ้มๆ ไม่ได้คิดจะเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจ ก่อนจะขอตัวตามขึ้นไปดูตาหลานข้างบน เหลือแค่ฉันกับพี่ลีไทน์ที่ห้องโถงกันสองคน
[1] Capeta (ชื่อไทย : นักซิ่งดาวหางเจ้าพายุ) เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับการแข่งโกคาร์ท