ทวงคืนรัก – บทนำ หวนคืน

3167 Words
รู้ไหมผู้หญิงเจ็บที่สุดตอนไหน ...ตอนคลอดลูก ฉันยังจำวินาทีที่เหมือนตายทั้งเป็นนั้นได้ดี มันทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน แล้วก็น่าเศร้าจนเผลอคิดว่าตายไปซะยังดีกว่า แม่คนอื่นอาจจะคิดว่าการให้กำเนิดลูกคือสิ่งมหัศจรรย์และน่าภาคภูมิ แต่สำหรับฉันมันคือตราบาปที่ฝังรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ ฉันรู้... เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดได้เพราะงั้นฉันถึงต้องทนกับความขมขื่นนี้ไปชั่วชีวิต ฉันไม่ได้เกลียดลูกตัวเอง... เพียงแต่เวลามองหน้าลูกฉันจะรู้สึกเจ็บเสียดลึกๆ อยู่ข้างใน แม้ภายนอกฉันจะทำเหมือนไม่เป็นอะไร บอกกับใครใครว่าสบายดี แต่ความจริงมันไม่ได้ง่าย แอบร้องไห้คนเดียวก็หลายครั้ง บางวันเลี้ยงลูกเหนื่อยมากๆ ก็ถึงขั้นจิตตก คิดไม่ดี โทษตัวเองในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ทำเรื่องโง่ๆ อย่างพลีกายถวายวิญญาณให้กับคนที่เขาไม่เคยเห็นค่าในตัวฉัน บ่ายวันอาทิตย์ หลังจากที่ตาหนูหลับไปแล้ว แม่กับลุงซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยงกำลังช่วยกันจัดสวนอยู่ข้างนอก จู่ๆ เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น ทั้งคู่กำลังง่วนอยู่กับการผสมดินปลูกผละมือไม่ได้ แม่จึงตะโกนเรียกฉันให้ออกมารับพัสดุเพราะคิดว่าเป็นบุรุษไปรษณีย์ไม่ก็ขนส่งเอกชน คนที่ยืนอยู่นอกรั้วกลับไม่ใช่พนักงานส่งของ แต่เป็นคนที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอที่นี่ ฉันนิ่งใบ้ วิญญาณเหมือนหลุดออกจากร่าง พูดอะไรไม่ออกไปหลายนาทีจนแม่กับลุงรู้สึกผิดสังเกตจำต้องวางงานในมือลุกขึ้นมาดูอย่างสงสัย คนที่ยืนอยู่นอกรั้วยกมือไว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง เสร็จแล้วก็ยิ้มอ่อนหวานจนแม่ฉันเหมือนจะเคลิ้มไปแวบหนึ่ง ฉันเห็นแล้วยังตกใจ แต่ไม่ทันที่แม่จะซักถามอะไร เขาก็เอ่ยขึ้น “สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อฮาน ผมเป็นพ่อของลูกเพนนี” “จ๊ะ? ว่าไงนะ...” แม่กะพริบตาอย่างไม่แน่ใจ พลางชำเลืองสายตามาทางฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันอ้ำอึ้ง ลำคอจุกตันเหมือนโดนคนบีบเอาไว้ สมองพลันขาดเลือดชั่วขณะ นึกคิดอะไรไม่ออก ได้แต่สบถด่าทอคนที่อยู่นอกรั้วในใจ ฮาน… จู่ๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ในเมื่อเขี่ยฉันออกจากชีวิตสำเร็จแล้ว จะกลับมาข้องแวะกันอีกทำไม เขาพูดออกมาอย่างไม่กริ่งเกรง ราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด เหมือนมาบ้านเพื่อนแล้วแนะนำตัวให้แม่เพื่อนรู้จัก ไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล กระทั่งสีหน้าของเขาก็ยังสงบเยือกเย็นไม่แสดงความหวาดหวั่นที่ต้องพูดความจริงแม้แต่น้อย ลึกๆ ฉันแอบนับถือความกล้าหาญของเขา แต่มันไม่ใช่เวลามาปลื้ม การที่ผู้ชายคนหนึ่งเดินมากดกริ่งหน้าบ้านแล้วประกาศตัวยอมรับโต้งๆ ว่าเป็นพ่อของลูกแบบนี้คิดว่าฉันจะดีใจงั้นเหรอ อยากร้องไห้มากกว่า เขากำลังสร้างปัญหา เรียกว่าหย่อนระเบิดตู้มใส่กลางใจเราสองแม่ลูกก็ว่าได้ ฉันรับรู้ทันทีว่าความสงบกำลังจะหายไป “พะพ่อหนุ่ม... เมื่อกี้พูดว่ายังไง น้าฟังไม่ถนัด” แม่เอ่ยขึ้นหลังจากตั้งสติได้ “ผมคือพ่อของภาม” เขายืนยันตัวตนให้แม่ฉันฟังชัดๆ อีกครั้ง เพียงเท่านั้นแม่ก็เลือดขึ้นหน้าพุ่งไปกระชากกลอนประตูรั้ว เปิดออกไปเอาเรื่องฮาน เพียะ! เสียงฝ่ามือแม่กระแทกเข้าที่ใบหน้าหล่อเหลาดังสนั่น หน้าหนาๆ นั่นไม่ได้หันไปตามแรงตบ เขาแค่กะพริบตาทีหนึ่งแล้วมองตอบสายตาเดือดดาลของแม่เงียบๆ ฉันไม่แน่ใจว่าแม่ออกแรงน้อยไปหรือเขาแกร่งจนพละกำลังแม่ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่การที่เขาไม่ไหวติง ดูไม่เจ็บไม่ปวดยิ่งทำให้แม่คลั่งหนักกว่าเดิม ตบตีไปอีกหลายฝ่ามือ แต่เขาก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่หลบไม่หลีกอย่างกับเป็นเบาะนวมไว้รองรับอารมณ์คนเท่านั้น ฉันกับลุงได้แต่ยืนมอง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนเราตั้งตัวไม่ทัน เป็นลุงที่ได้สติรีบเข้าไปแยกแม่ออกมา ก่อนที่จะเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิม “โยใจเย็น! หยุดก่อนโย พอแล้ว พอ!” “ปล่อยโยนะคุณพี่ คุณพี่ไม่ได้ยินเหรอ มันบอกว่ายังไง มันคือคนที่ทำลายชีวิตเพนนี คุณพี่จะให้โยใจเย็นอยู่ได้ยังไง” แม่สะบัดลุงออกอย่างไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แต่ลุงที่แรงเยอะกว่าก็กอดแม่เอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยแม่ที่กำลังเกี้ยวกราดหลุดออกจากอ้อมแขนไปทำร้ายใคร แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายที่ทอดทิ้งฉันไปก็ตาม “คุณตั้งสติหน่อยโย ก่อนจะทำอะไรควรจะฟังลูกก่อน ผมรู้ว่าคุณโกรธแต่ใช้อารมณ์ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ” คำพูดเตือนสติของลุงช่วยให้แม่รู้สึกตัว หยุดใช้กำลัง แต่นัยน์ตาไม่ได้ลดความเดือดดาลลงแม้แต่น้อย “ยัยนีตอบแม่ ที่ผู้ชายคนนี้พูดเรื่องจริงหรือเปล่า” แม่หันมาทางฉัน เค้นเสียงถามลอดไรฟัน ฉันก้มหน้า ความเจ็บปวดที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้เอ่อล้นออกมากลายเป็นหยาดน้ำใสๆ รื้นคลอเบ้า ฉันส่ายหน้า “นีไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ค่ะ” แม่หรี่ตามองฉันทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ลุงเองก็เงียบ ส่วนเขากำลังมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “เธอรู้จักฉันดีเพนนี” เขาย้ำ น้ำเสียงหนักแน่นเหมือนจะเตือนให้ฉันนึกถึงเรื่องราวในอดีต แต่ฉันทำหูทวนลมไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไร หันไปเรียกแม่ “แม่อย่าสนใจคนบ้าเลย เข้าบ้านเถอะ” แม่มองฉันกับเขาสลับกันไปมาด้วยสายตาข้องอกข้องใจ ไม่ยอมขยับตัว จนฉันเผลอขึ้นเสียงใส่แม่ “แม่! เข้าบ้าน” “ยัยนีอย่าโกหกแม่ ผู้ชายคนนี้ใช่ไหมที่ทำแกท้อง” “แม่!” ฉันเรียกแม่เสียงสั่นเครือ ในอกปวดร้าว เม้มปากแน่นเมื่อถูกสายตาคมกริบของแม่จับจ้อง พอฉันเงียบไม่ยอมพูด แม่ก็หันไปทางเขา “ฉันจะแจ้งความข้อหาพรากผู้เยาว์ เตรียมตัวเข้าไปนอนในคุกได้เลย” “แม่!” หัวใจฉันกระตุกวูบมองแม่ที่เดินสวนกลับเข้าบ้านอย่างรู้สึกร้อนรน ฉันรีบตามไปคว้ามือแม่เอาไว้ “แม่จะแจ้งความจริงเหรอ” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ที่เหลือแม่จะจัดการเอง” “แต่…” ฉันมองสบสายตาเด็ดเดี่ยวของแม่อย่างหวาดหวั่น ไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่แม่จะแจ้งความ ฉันไม่อยากเป็นข่าวฉาวโฉ่ ยิ่งกว่านั้นฉันไม่อยากรื้อฟื้น ไม่อยากจะมาเจ็บปวดใจกับเรื่องนี้อีก “ผมยินดีชดใช้ความผิดทุกทาง ถ้าคุณแม่อยากแจ้งความดำเนินคดี ผมก็จะยอมรับแต่โดยดี” ระหว่างที่ฉันกำลังร้อนใจเสียงหนักแน่นของเขาก็ดังขึ้น ผู้ชายคนนั้นเดินผ่านรั้วบ้านเข้ามาด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าฉันกับแม่ หากแต่แทนที่จะดูน่าสมเพช ช่วงขาเรียวยาวกับลำตัวสมส่วนกลับทำให้ร่างสูงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นดูสง่าผ่าเผย น่าชื่นชม และเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ แม่ที่มีสีหน้าโกรธขึ้งและกำลังจะไล่คนที่ถือวิสาสะเข้ามาออกไป กลับนิ่งอึ้งตะเพิดไม่ออก จ้องมองเขาที่ค่อยๆ พนมมือขึ้นมา แววตาแม่ไหวระริกด้วยความโกรธเคือง สะกดกลั้นอารมณ์ที่เดือดพล่านสะท้อนผ่านเสียงลมหายใจที่ดังผิดปกติ “ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อมาขอขมา ผมยอมรับผิดทุกอย่าง คุณไม่ต้องให้อภัยผมก็ได้ แต่ผมอยากขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองสักครั้งว่าผมสามารถเป็นสามีและเป็นพ่อที่ดีของลูกได้” คำพูดนั้น... แม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มเลือดเย็น “นายคิดว่าฉันจะพยักหน้าแล้วก็บอกว่า ‘ได้สิ’ อย่างงั้นเหรอ! ลูกสาวฉันต้องอุ้มท้องเก้าเดือน ต้องพักการเรียน แล้วก็มีลูกทั้งที่ยังไม่พร้อม แค่คำพูดสวยหรูไม่กี่ประโยคคิดว่าจะลบล้างได้หรือไง!” “ผมทำไม่ดีจริง ผมยอมรับ เพราะงั้นต่อไปนี้ให้ผมดูแลลูกกับเพนนีเถอะครับ” เขาก้มหน้าอย่างคนสำนึกผิด ฉันมองภาพตรงหน้ารู้สึกหน่วงในอก ไม่ใช่สงสาร และไม่ได้เห็นใจคนอย่างเขา เพียงแต่เขาที่ฉันเคยรู้จักไม่ใช่คนที่จะยอมคุกเข่าก้มหัวให้ใครง่ายๆ ฉันก็แค่แปลกใจ และไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ทำไปเพื่ออะไร ฉันยังจำวันนั้นได้ วันที่ฉันกรีดข้อมือเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่เขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีก ฉันมารู้ทีหลังว่าเขาไปฮ่องกง… ที่เดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ ผู้หญิงในดวงใจของเขา ยิ่งตอกย้ำให้ฉันรู้ว่าตัวเองไร้ค่าขนาดไหน คนไร้ค่าพยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ มันคือความดิ้นรนที่เสียเปล่าโดยแท้จริง หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ติดต่อเขาอีก ขนาดเรื่องท้อง... ฉันก็ไม่ได้บอก แต่ก็ไม่แปลกใจถ้าเขาจะรู้ เพราะมันไม่ใช่ความลับ คงมีใครสักคนคาบข่าวไปบอก ผ่านมาเป็นเก้าเดือน สิบเดือน ยี่สิบเดือนเพิ่งจะนึกได้ว่ามีลูกมีเมีย ใครมันจะไปตลกด้วย ระหว่างที่แม่ฉันกำลังจ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเสียงรถก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของตาหนูในบ้าน ฉันมองไปทางรั้วแวบหนึ่ง เห็นรถริกกี้วิ่งมาชะลอจอดหน้ารั้ว ฉันหันกลับมามองเขากับแม่อย่างร้อนรนไม่หาย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ตัดสินใจสลัดเรื่องวุ่นวายตรงหน้าทิ้ง แล้วสาวเท้ายาวๆ เข้ามาดูลูก เพิ่งจะหลับไปได้ไม่นานแท้ๆ ทำไมรู้สึกตัวแล้วล่ะ หรือว่าจะเป็นอะไรไป ยิ่งคิดฉันยิ่งร้อนใจ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนเกือบจะวิ่ง รีบผลักประตูเข้ามาในบ้าน ที่นอนตาหนูอยู่กลางโถงติดโซฟา ส่วนโต๊ะกลางถูกขยับไปข้างทีวีกลายเป็นชั้นวางของใช้เด็กแทน ตอนแรกฉันก็เกรงใจเพราะนี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง เป็นบ้านลุงกับคะนิ้ง พวกเราเป็นแค่คนอาศัย ไม่จำเป็นจริงๆ ฉันจะไม่ยุ่มย่ามกับของใช้ภายในบ้านเด็ดขาด แต่พอตาหนูเกิดฉันก็ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยอีก แถมแม่กับลุงก็เห่อหลานมาก จนตอนนี้ทุกพื้นที่ภายในบ้านถูกตาหนูครอบครองเอาไว้หมด เสียงร้องโวยวายดังก้องห้องโถง มุ้งครอบถูกผลักกระเด็นหงายท้องอยู่ข้างที่นอน ตาหนูลุกขึ้นมาเกาะขอบโซฟาหันหน้าหันหลังท่าทางเสียขวัญที่ตื่นมาไม่เจอใครอยู่ข้างๆ หัวใจฉันกระตุกวูบ ปรี่เข้าไปคว้าร่างเล็กขึ้นมาอุ้มแล้วปลอบโยนเบาๆ “แม่นีอยู่นี่... โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ แค่ออกไปดูยายกับตาแป๊บเดียวเอง” “แมะ... แมะ...” ตาหนูซุกหน้าลงซบอกฉัน มือเล็กป้อมกอดไหล่แม่แน่น ราวกับกลัวว่าแม่จะหายไป เด็กคนอื่นก็คงเป็นเหมือนกันที่เวลาตื่นมาแล้วไม่เจอใครจะร้องไห้งอแง แต่บางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ลูกเป็นแบบนี้เพราะฉัน ฉันที่อาจจะถ่ายทอดความคิดให้เขาตั้งแต่อยู่ในท้องโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราถูกคนที่ทั้งรักและเทิดทูนทอดทิ้ง ไม่มีทางที่จะไม่เจ็บ ไม่มีทางที่จะไม่คิดถึง และไม่มีทางเลยที่จะไม่นึกแค้นใจ บางทีตาหนูก็คงได้รับอิทธิพลจากฉัน กลัวฝังใจว่าจะถูกคนที่รักทอดทิ้งเหมือนกัน ถูกลูบหลังไม่กี่ทีเสียงร้องก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ฉันหย่อนก้นลงนั่งโซฟา ถูกตาหนูกอดแน่นแบบนี้ก็ไม่อยากขยับตัวลุกไปไหนอีก ในใจยังพะวงกับคนข้างนอก ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แต่คะนิ้งกับริกกี้มาแล้วสองคนนั้นน่าจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉันทอดถอนใจยาว จ้องมองตาหนูที่ตอนนี้กำลังเงยหน้าแล้วทำตาปริบๆ ใส่ แก้มย้วยเปื้อนคราบน้ำตาน่าเกลียดน่าชังยังไงไม่รู้ ฉันยิ้มพลางเช็ดน้ำตาให้ ก่อนเหลือบไปเห็นขวดนมที่ยังดูดไม่หมดนอนแอ้งแม้งอยู่บนเบาะ รู้เลยว่าตาหนูเขวี้ยงมันทิ้ง นิสัยเจ้าอารมณ์เวลาตื่นมาแล้วไม่เจอใครนี่แก้ยังไงดี “หม่ำไหมครับ” “หม่ำแล้วก็นอนนะโอเคไหม” ฉันยกตัวลูกชายลงมานอนที่เบาะ แต่พอบอกให้นอนตาหนูก็กำเสื้อกำผมฉันแน่น ไม่ยอมให้ผละห่าง “เข้าใจแล้วๆ เดี๋ยวแม่นีนอนด้วย หม่ำๆ ก่อนลูก” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขวดนมมาใส่ปากลูก อีกมือก็ค่อยๆ จับมือเล็กๆ ให้คลายออก หลังจากนั้นตาหนูก็ดูดนมในขวดอย่างตั้งใจแต่สายตาจ้องแม่เขม็ง ประมาณว่าจะไม่ยอมละสายตาจากแม่อีก แต่พอถูกตบก้นป่องๆ ไม่กี่ทีตาก็เริ่มปรือจนฝืนต่อไม่ไหว หลับไปทั้งๆ ที่ยังดูดขวดนมอยู่ หลับจริงๆ แล้วสินะ ฉันมองใบหน้าจ้ำม่ำของตาหนูนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองดึงขวดนมออกแต่ตาหนูกลับรั้งหมับแล้วดูดต่อทั้งๆ ที่หลับอยู่แบบนั้น ฉันเลิกคิ้ว ลองออกแรงอีกนิดแต่มือเล็กป้อมไม่ยอมปล่อยขวดนมแถมยังดูดแรงกว่าเดิมอีก ฉันถอนหายใจอย่างยอมแพ้ มองตาหนูด้วยสายตาเอ็นดูปนเหนื่อยใจนิดๆ จะหลับหรือจะกินเลือกสักอย่างไม่ได้เหรอลูก เฮ้อ… ประตูถูกเปิดเข้ามา ฉันหันไปมองทันที เห็นลุงเป็นฝ่ายประคองแม่เดินเข้าบ้านฉันก็เริ่มใจคอไม่ดี แล้วก็มีคะนิ้งที่ตามหลังทั้งสองมาติดๆ หลังจากนั้นคะนิ้งก็หันไปปิดประตูเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าไม่มีใครเข้ามาอีก ฉันอดแปลกใจไม่ได้ นึกว่าริกกี้จะตามคะนิ้งเข้ามาซะอีก แต่นี่ไม่เห็น… “เพนนีมาคุยกับแม่ในครัว” แม่เหลือบมองหลานที่กำลังหลับก่อนจะปรายสายตาดุๆ มาหาฉัน ฉันสบตาแม่ ใจไม่อยากคุยด้วยเลยสักนิดแต่ต่อต้านไม่ได้ ฉันชำเลืองมองตาหนูอย่างอาลัยอาวรณ์ หันไปพูดกับคะนิ้งที่ยืนมองอยู่ห่างๆ “ฝากดูหน่อยสิ เมื่อกี้ก็รู้สึกตัวแล้วร้องไห้งอแงเพราะไม่เห็นใครอยู่ใกล้ๆ น่ะ” “ได้ เดี๋ยวพี่ดูภามให้” คะนิ้งเดินเข้ามานั่งพับเพียบลงข้างเบาะแล้วมองหน้าฉันด้วยแววตาที่สามารถพึ่งพาได้ ฉันพยักหน้าให้คะนิ้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามแม่เข้ามาในครัว “บอกมาตามตรง ผู้ชายคนนั้นคือพ่อของตาหนูใช่ไหม” ฉันเม้มปากแน่น หลุบตาลงอย่างไม่กล้าสบสายตาเดือดระอุของแม่ ท่าทางแม่โกรธมาก ฉันไม่ได้กลัวความผิด เพียงแต่ความเจ็บมันเหมือนมีดที่จ่อหัวใจ พร้อมจะกรีดแทงเข้าใส่ทุกเมื่อถ้าฉันยอมรับว่าเขาคือพ่อของลูก แต่ความจริงเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น และสายตาคาดคั้นของแม่ในตอนนี้ก็บีบให้ฉันยอมรับใบมีดแห่งความเจ็บปวด “ใช่… ผู้ชายคนนั้นคือพ่อของภาม นีนอนกับเขาเอง แม่พอใจหรือยัง” “เพนนี!” แม่ตวาดกลับมาทันควัน แววตาสะท้อนรอยวูบไหว ใบหน้าแดงเรื่อสั่นเทาไปด้วยความโกรธปนรวดร้าว เห็นแม่ที่เหมือนจะระเบิดก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิงในใจฉันก็เกิดความรู้สึกผิด นึกเสียใจที่พูดจาเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่เหมือนเมื่อก่อน ฉันรู้ว่าแม่เป็นห่วงและหวังดีกับฉันมากที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถพูดถึงอดีตอันขมขื่นของตัวเองได้อย่างใจเย็น ฉันลดผ่อนลมหายใจ พูดกับแม่เสียงอ่อน “นีเสียใจ... นีขอโทษ” “เพนนี” แม่ถอนหายใจยาวราวกับว่าแม่เองก็นึกได้ว่ากำลังคาดคั้นฉันมากเกินไป “ทำไมลูกไม่เคยบอกแม่เรื่องพ่อของตาหนู” แม่ถามด้วยโทนเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่การบีบบังคับแต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่น ฉันรู้สึกแสบจมูก ขอบตาร้อนผ่าว “นี... นีอยากลืมเขาค่ะ นีไม่เคยคิดว่าเขาจะกลับมา” “ลูกกับเขามีปัญหาอะไรกัน” “เขาไม่ได้รักนี” ฉันมองหน้าแม่รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนตอนพูดประโยคนั้นออกมา หัวคิ้วแม่กระตุก สีหน้าปั้นยากอย่างคนที่พยายามระงับอารมณ์เดือดพล่านเอาไว้ แววตาแม่เต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมายแต่กลับเป็นการยากที่จะตั้งคำถามเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจที่ละเอียดอ่อนของลูกสาว “แม่ นีมีเรื่องจะขอร้อง” ฉันฉวยโอกาสพูดขึ้นก่อน แม่เลิกคิ้วอย่างรอฟัง “อย่าแจ้งความ นีไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่โต แค่นี้นีก็ละอายใจมากอยู่แล้ว อีกอย่างนีไม่อยากให้ตาหนูต้องมารับรู้เรื่องนี้ตอนโตขึ้นด้วย” แม่กำลังจะอ้าปากค้านเรื่องที่ฉันไม่อยากเอาเรื่องเขาแต่หลังได้ฟังเหตุผลในตอนท้ายแม่ก็เงียบนิ่ง ใบหน้ายังคงเคร่งเครียดไม่หาย “แล้วจะปล่อยผู้ชายคนนั้นไปโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอ แม่ยอมไม่ได้เด็ดขาด!” แม่โพล่งออกมาในที่สุดหลังครุ่นคิดอยู่นาน ฉันมองท่าทางผูกใจเจ็บของแม่ รู้สึกหนักอึ้งในอก เครียดจนปวดหัวไปด้วยแล้วตอนนี้ “แล้วแม่จะทำยังไง จะจับเขาแต่งงานกับนีเหรอ” ฉันถามประชด แม่ชะงัก สีหน้าปฏิเสธอย่างรุนแรง บอกปัดเสียงแข็ง “ไม่ แม่ไม่มีวันรับผู้ชายเลวๆ แบบนั้นมาเป็นลูกเขยหรอก” “งั้นแม่ก็ไม่ต้องทำอะไร นีไม่รู้เหมือนกันว่าเขาโผล่มาทำไม แต่นีจะไม่มีวันยอมให้เขาเข้าใกล้ลูกของนีเด็ดขาด พ่อของตาหนูตายไปแล้ว” “เพนนี”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD