ห้อง 807
ไม่อยากเชื่อว่าฉันจะพาตัวเองมาอยู่ที่นี่ตอนกลางดึก จ้องมองเลขห้องบนประตูหัวใจเต้นแรง ฉันแค่คิดว่าอยากจะคุยกับฮานให้เด็ดขาดแล้วก็พรวดพราดออกมาโดยไม่ทันคิดให้ดีๆ
ฉันไม่เคยกลัวการเผชิญหน้ากับฮาน แต่ตอนนี้กลับลังเล ไม่มั่นใจ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ฉันละล้าละหลังอยู่หน้าประตูห้องพักฮานอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลั้นใจหันหลังกลับพอนึกได้ว่าหมอนั่นอาจจะหลับอยู่ เข้าไปก็คงไม่ได้อะไร
เดินห่างจากประตูไม่ทันถึงสามก้าว เสียงประตูเปิดจากด้านหลังก็ดังขึ้น พอหันกลับไปมองก็เห็นผู้หญิงคนนั้น
คุณริช...
ท่ามกลางแสงสลัวของหลอดไฟที่เปิดสว่างเพียงไม่กี่หลอดตามทางเดินของตึกพักฟื้น ใบหน้าได้รูปสวยของผู้หญิงคนนั้นยังคงโดดเด่นราวกับไม่มีอะไรมาบดบังได้ ความเกลียดชัดปราดผ่านหัวใจฉันวูบหนึ่ง แต่ทันทีที่ได้สติฉันก็รีบเบือนหน้ากลับมา แล้วจ้ำอ้าวออกห่างประตูบานนั้น
ริชอยู่ที่นี่... เธอกับฮานยังติดต่อกันอยู่ การเห็นเธอทำเอาฉันช็อกไปนิดหน่อย
“เดี๋ยวก่อน”
“....” เสียงของเธอทำให้ฉันหยุดเดินอย่างเสียไม่ได้ ค่อยๆ หันกลับไปมองร่างสูงเพรียวในชุดเดรสทันสมัยที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหยุดลงพอดีกับที่เสียงหวานทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังดังขึ้น
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเพนนี”
“ค่ะ” ฉันตอบรับนิ่งๆ ในอกรู้สึกตึงๆ “ได้ข่าวว่าคุณไปเมืองนอก”
“อ้อ กลับมาได้สักพักแล้วล่ะ”
ฉันฟังแล้วยิ้มแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม มองประตูห้อง 807 ที่เธอเพิ่งออกมา “เหรอคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะคะ”
“ถ้ามาเยี่ยมฮาน เขายังไม่หลับหรอก เธอเข้าไปสิ ฮานน่าจะดีใจนะที่รู้ว่าเธอมา”
ฉันหันหลังกำลังจะเดินออกมา เสียงริชก็ดังขึ้น... ฉันชะงักอย่างไม่แน่ใจ เบือนใบหน้าด้านข้างกลับไปมองผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าหลายปี “คุณรู้ได้ยังไง”
“รู้สิ เมื่อกี้เขายังพูดถึงเธอกับฉันอยู่เลย”
หัวใจฉันกระตุกวูบ หลบสายตาคมกริบของเธอลงมองพื้น
“ฮานรู้สึกผิดต่อเธอจริงๆ นะเพนนี ฉันเองก็ด้วย...”
“คุณจะไปรู้อะไร” ฉันโพล่งสวนก่อนที่เธอจะพูดจบ ริชมีสีหน้าอึดอัด มีหลายเรื่องที่เธออยากอธิบายให้ฉันเข้าใจ แต่ฉันไม่อยากฟังเพราะยิ่งฟังก็เหมือนเอาสว่านมาเจาะที่ใจ
“เพนนี เธอจะโกรธฉัน จะโกรธฮานยังไงก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเธอเองก็มีส่วนผิดไม่น้อยไปกว่าพวกเรา”
“ไม่ลืมหรอกค่ะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือพวกคุณกำลังวางแผนอะไรกัน ได้ข่าวว่าตามกันไปถึงเมืองนอกแล้วหนิ แล้วจะพากันกลับมาอีกทำไม ทำไมไม่อยู่ด้วยกันซะที่โน่นให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย”
“นี่เธอ... เธอพูดแบบนี้แปลว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยสิ” ริชท่าทางโมโหเล็กน้อย
ฉันจ้องตอบสายตาผู้ใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่มีความยำเกรง “รู้ไปแล้วจะมีความหมายอะไร เพราะถึงยังไงก็เอาความรู้สึกที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้”
คุณริชเงียบ ที่ฉันเรียกเธอว่า ‘คุณ’ ไม่ใช่ ‘อีแก่’ เหมือนสมัยก่อนก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว
“เธอพูดถูก เรื่องบางเรื่องก็แก้ไขไม่ได้ แต่เธอสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ ฉันมานี่ก็เพราะได้ข่าวว่าฮานเด็กที่เคยอยู่ในความดูแลของฉันประสบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นอย่างที่เธอพยายามยัดเยียดให้เป็น ถ้าเธอยังไม่ลืมเขา นี่ก็เป็นโอกาสเพนนี”
เธอจับแขนฉันบีบเบาๆ ราวกับจะตอกย้ำความจริงว่าระหว่างเธอกับฮานไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ตอบโต้ พูดอีกอย่างคือโต้ตอบไม่ทันมากกว่า จนริชเดินพ้นทางเดินฉันถึงได้สติ มองตรงไปที่ห้อง 807 แววตาเลื่อนลอย
“โอกาสเหรอ… อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย”
ฉันเหยียดยิ้มหยันตัวเอง ก่อนจะหันหลังให้ประตูบานนั้น เดินย้อนกลับมาที่ห้อง
เมื่อเห็นว่าคะนิ้งกับตาหนูยังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่พูด ฉันเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า ทำสมองให้โล่งก่อนคลานขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวเดิม
เสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าเดินเบาๆ ในห้องทำให้ฉันรู้สึกตัว ปรือตาขึ้นท่ามกลางแสงเจิดจ้า
“เพนนีตื่นแล้วเหรอ”
คนแรกที่ทักฉันคือพี่ลีไทน์ เหมือนเขาคอยจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกทัก คนอื่นๆ ก็พลอยเบือนสายตามามองด้วย
“แมะ...”
เสียงตาหนูทำให้ฉันที่กำลังงัวเงียตาสว่างขึ้นมาทันที กวาดตามองไปทั่วห้อง ก็เห็นแม่กำลังชงนมให้ตาหนูอยู่ตรงเคาน์เตอร์และกำลังส่งยิ้มเหนื่อยอ่อนมาให้
“นอนไม่ค่อยหลับเหรอ ดูสิ คะนิ้งต้องมาดูตาหนูแทน”
“อืม กี่โมงแล้ว”
“เจ็ดโมงครึ่ง” คะนิ้งเป็นคนตอบ “พยาบาลเข้ามาดูแล้วนะ”
“อ่อ” ฉันพยักหน้าพลางเอามือคลึงหลังคอเบาๆ ก่อนชำเลืองไปทางพี่ลีไทน์ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างเตียงตาหนู คนละฝั่งกับที่คะนิ้งยืน
“พี่ลีไทน์มานานแล้วเหรอ”
“เพิ่งถึงไม่นาน”
“ลีไทน์เอาผลไม้มาฝากด้วย อย่าลืมกินล่ะ” แม่เอ่ยแทรกขึ้นมา
“หืม ไม่ต้องซื้อแล้วนะ” ฉันหันไปเตือนคนซื้อ เขาแค่ยิ้มเก้อๆ แต่ไม่ยอมรับปากว่าจะไม่ซื้ออีก ฉันหันไปคุยกับแม่ต่ออย่างไม่ใส่ใจ “นี่แม่ไม่รีบไปทำงานเหรอ เดี๋ยวก็สายหรอก”
“เดี๋ยวก็จะไปแล้ว หม่ำๆ ลูก...” แม่เดินมายื่นขวดนมให้ตาหนูที่นั่งรออยู่บนเตียงอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ดื้อไม่ซน เวลาอยู่ต่อหน้ายายอะไรพอทนก็ทน แต่เวลาอยู่กับแม่หรือป้านิ้งอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะเหวี่ยงแบบไม่เกรงใจกันเลย เหนื่อยใจกับความสองมาตรฐานของลูกจริงๆ
“ยายไปทำงานก่อนนะครับ ไว้ตอนเย็นจะแวะมาดูใหม่”
“ไบ~ ไบ~”
ยายพูดไม่ทันขาดคำ ตาหนูก็รีบโบกมือบ๊ายบายทันควัน ทำเอายายมันเขี้ยวจนต้องหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยเบาๆ ก่อนหันมาลาคนอื่นๆ “ไปนะหนูนิ้ง ลีไทน์ แม่ไปทำก่อนนะมีอะไรก็โทรมา” แม่หันมาพูดกับฉันเป็นคนสุดท้ายก่อนออกประตูไป
ฉันลุกขึ้นมาดูตาหนู พอเห็นว่าลูกเปลี่ยนแพมเพิสแล้ว เช็ดตัวแล้ว ก็ให้รู้สึกละอายขึ้นมาเล็กน้อย ที่ตัวเองเป็นแม่แท้ๆ แต่กลับนอนขี้เซาไม่รู้เรื่อง ให้คนอื่นมาเป็นภาระจัดการแทนแบบนี้มันน่าตำหนิจริงๆ
“ทำไมไม่ปลุกล่ะ” ฉันหันไปถามคะนิ้งที่คอยดูแลทุกอย่างให้
“ก็เห็นว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลยไม่อยากปลุก”
ฉันมองหน้าคะนิ้ง ทำไมพูดเหมือนรู้ทั้งๆ ที่เธอหลับก่อนฉันไปแล้ว... เดี๋ยวนะหรือว่าจริงๆ แล้วยัยนี่แกล้งหลับ?
เป็นไปได้เหรอ ฉันอยากถามแต่เพราะมีพี่ลีไทน์อยู่ด้วยเลยจำต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน
“บืนนนน”
กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ เสียงตาหนูก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่มักจะได้ยินเวลาลูกเล่นรถของเล่น ฉันหันไปมองอย่างไม่ได้คิดอะไรมากแต่ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แซมอยู่นิดหน่อย เข้าใจว่าคงเป็นรถจากบล็อกที่ต่อกันเมื่อคืนไม่ก็ยายเอารถคันใหม่มาให้จากที่บ้าน ถึงแม้เมื่อกี้แม่ฉันจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับของเล่นหลานเลยก็เถอะ แต่ว่าทันทีที่เห็นของในมือลูกชัดๆ หัวใจฉันก็หล่นวูบ!
“ภาม... เอารถนั่นมาจากไหน” ฉันชำเลืองแววตาสั่นไหวไปทางคะนิ้ง คนเดียวที่พอจะอธิบายที่มาที่ไปเกี่ยวกับพวงกุญแจรถมินิคูเปอร์สีเหลืองที่อยู่ในมือตาหนูได้
“มีอะไรหรือเปล่าเพนนี?” พี่ลีไทน์มองของในมือตาหนูแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นฉันมีท่าทีแปลกๆ
“คือ... เปล่าค่ะ นีแค่จำอะไรผิดนิดหน่อย...” ฉันข่มความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านลงไป กลั้นใจตอบเหมือนเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเอง พี่ลีไทน์ดึงสายตางุนงงไปทางคะนิ้งเหมือนอยากถามว่าฉันเป็นอะไรแต่คะนิ้งแค่ยักไหล่ บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอก็ไม่เข้าใจอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของฉันเหมือนกัน
สุดท้ายเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นกันอีก ฉันเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ก่อนลงมาส่งพี่ลีไทน์ที่รถ เขามีเรียนตอนเที่ยงแต่เพราะนัดเพื่อนเอาไว้เลยต้องไปก่อนเวลา
“เพนนีโอเคนะ?”
เขาช้อนสายตามองฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยหลังจากมาถึงรถที่จอดอยู่หน้าตึก
“คะ...” ฉันมองสบสายตาพี่ลีไทน์อย่างมึนงง และเพราะเขาเอาหน้าเข้ามาใกล้เกินไปทำให้ฉันแอบผวาเล็กน้อย สะดุ้งถอยออกมาครึ่งก้าว
“พี่ทำตกใจเหรอ”
“เอ๊ะ... เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น นี... นีแค่คิดอะไรเพลินนิดหน่อย”
เขามองฉันเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดออกมา
“ใช่เรื่องพ่อตัวเล็กหรือเปล่า”
“พี่รู้! ”
“เห็นในกลุ่มแต่งรถ มีคนคุยกันว่าฮานกลับเข้าทีม ผ่านมาสักพักแล้วล่ะ... พี่เห็นเพนนีปกติก็เลยไม่ได้ถาม แต่ว่าช่วงวันสองวันมานี้ที่เพนนีดูแปลกๆ แถมเมื่อวานพี่เห็นคนของเรดซันอยู่กับเพนนี”
“....”
“มีอะไรบอกพี่ได้”
ฉันส่ายหน้า มองพี่ลีไทน์ด้วยสายตาซาบซึ้ง
“ไม่มีอะไรหรอก พี่ไม่ต้องห่วง รีบไปได้แล้วเดี๋ยวรถติด” ฉันส่งสายตาเตือนให้เขารีบขึ้นรถ พี่ลีไทน์มองฉันอย่างไม่คลายกังวล แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ เขาพยักหน้ารับเบาๆ เปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไป
ฉันยืนรอจนกระทั่งรถของเขาหายไปจากสายตา หันกลับมามองขึ้นไปบนตึกด้วยสายตาดุดัน สาวเท้ายาวๆ กลับเข้าไปข้างใน