Chapter 2 《 Part 4》

1800 Words
ห้อง 807 ไม่อยากเชื่อว่าฉันจะพาตัวเองมาอยู่ที่นี่ตอนกลางดึก จ้องมองเลขห้องบนประตูหัวใจเต้นแรง ฉันแค่คิดว่าอยากจะคุยกับฮานให้เด็ดขาดแล้วก็พรวดพราดออกมาโดยไม่ทันคิดให้ดีๆ ฉันไม่เคยกลัวการเผชิญหน้ากับฮาน แต่ตอนนี้กลับลังเล ไม่มั่นใจ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฉันละล้าละหลังอยู่หน้าประตูห้องพักฮานอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลั้นใจหันหลังกลับพอนึกได้ว่าหมอนั่นอาจจะหลับอยู่ เข้าไปก็คงไม่ได้อะไร เดินห่างจากประตูไม่ทันถึงสามก้าว เสียงประตูเปิดจากด้านหลังก็ดังขึ้น พอหันกลับไปมองก็เห็นผู้หญิงคนนั้น คุณริช... ท่ามกลางแสงสลัวของหลอดไฟที่เปิดสว่างเพียงไม่กี่หลอดตามทางเดินของตึกพักฟื้น ใบหน้าได้รูปสวยของผู้หญิงคนนั้นยังคงโดดเด่นราวกับไม่มีอะไรมาบดบังได้ ความเกลียดชัดปราดผ่านหัวใจฉันวูบหนึ่ง แต่ทันทีที่ได้สติฉันก็รีบเบือนหน้ากลับมา แล้วจ้ำอ้าวออกห่างประตูบานนั้น ริชอยู่ที่นี่... เธอกับฮานยังติดต่อกันอยู่ การเห็นเธอทำเอาฉันช็อกไปนิดหน่อย “เดี๋ยวก่อน” “....” เสียงของเธอทำให้ฉันหยุดเดินอย่างเสียไม่ได้ ค่อยๆ หันกลับไปมองร่างสูงเพรียวในชุดเดรสทันสมัยที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหยุดลงพอดีกับที่เสียงหวานทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังดังขึ้น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเพนนี” “ค่ะ” ฉันตอบรับนิ่งๆ ในอกรู้สึกตึงๆ “ได้ข่าวว่าคุณไปเมืองนอก” “อ้อ กลับมาได้สักพักแล้วล่ะ” ฉันฟังแล้วยิ้มแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม มองประตูห้อง 807 ที่เธอเพิ่งออกมา “เหรอคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะคะ” “ถ้ามาเยี่ยมฮาน เขายังไม่หลับหรอก เธอเข้าไปสิ ฮานน่าจะดีใจนะที่รู้ว่าเธอมา” ฉันหันหลังกำลังจะเดินออกมา เสียงริชก็ดังขึ้น... ฉันชะงักอย่างไม่แน่ใจ เบือนใบหน้าด้านข้างกลับไปมองผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าหลายปี “คุณรู้ได้ยังไง” “รู้สิ เมื่อกี้เขายังพูดถึงเธอกับฉันอยู่เลย” หัวใจฉันกระตุกวูบ หลบสายตาคมกริบของเธอลงมองพื้น “ฮานรู้สึกผิดต่อเธอจริงๆ นะเพนนี ฉันเองก็ด้วย...” “คุณจะไปรู้อะไร” ฉันโพล่งสวนก่อนที่เธอจะพูดจบ ริชมีสีหน้าอึดอัด มีหลายเรื่องที่เธออยากอธิบายให้ฉันเข้าใจ แต่ฉันไม่อยากฟังเพราะยิ่งฟังก็เหมือนเอาสว่านมาเจาะที่ใจ “เพนนี เธอจะโกรธฉัน จะโกรธฮานยังไงก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเธอเองก็มีส่วนผิดไม่น้อยไปกว่าพวกเรา” “ไม่ลืมหรอกค่ะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือพวกคุณกำลังวางแผนอะไรกัน ได้ข่าวว่าตามกันไปถึงเมืองนอกแล้วหนิ แล้วจะพากันกลับมาอีกทำไม ทำไมไม่อยู่ด้วยกันซะที่โน่นให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย” “นี่เธอ... เธอพูดแบบนี้แปลว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยสิ” ริชท่าทางโมโหเล็กน้อย ฉันจ้องตอบสายตาผู้ใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่มีความยำเกรง “รู้ไปแล้วจะมีความหมายอะไร เพราะถึงยังไงก็เอาความรู้สึกที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้” คุณริชเงียบ ที่ฉันเรียกเธอว่า ‘คุณ’ ไม่ใช่ ‘อีแก่’ เหมือนสมัยก่อนก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว “เธอพูดถูก เรื่องบางเรื่องก็แก้ไขไม่ได้ แต่เธอสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ ฉันมานี่ก็เพราะได้ข่าวว่าฮานเด็กที่เคยอยู่ในความดูแลของฉันประสบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นอย่างที่เธอพยายามยัดเยียดให้เป็น ถ้าเธอยังไม่ลืมเขา นี่ก็เป็นโอกาสเพนนี” เธอจับแขนฉันบีบเบาๆ ราวกับจะตอกย้ำความจริงว่าระหว่างเธอกับฮานไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ตอบโต้ พูดอีกอย่างคือโต้ตอบไม่ทันมากกว่า จนริชเดินพ้นทางเดินฉันถึงได้สติ มองตรงไปที่ห้อง 807 แววตาเลื่อนลอย “โอกาสเหรอ… อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย” ฉันเหยียดยิ้มหยันตัวเอง ก่อนจะหันหลังให้ประตูบานนั้น เดินย้อนกลับมาที่ห้อง เมื่อเห็นว่าคะนิ้งกับตาหนูยังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่พูด ฉันเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า ทำสมองให้โล่งก่อนคลานขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวเดิม เสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าเดินเบาๆ ในห้องทำให้ฉันรู้สึกตัว ปรือตาขึ้นท่ามกลางแสงเจิดจ้า “เพนนีตื่นแล้วเหรอ” คนแรกที่ทักฉันคือพี่ลีไทน์ เหมือนเขาคอยจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกทัก คนอื่นๆ ก็พลอยเบือนสายตามามองด้วย “แมะ...” เสียงตาหนูทำให้ฉันที่กำลังงัวเงียตาสว่างขึ้นมาทันที กวาดตามองไปทั่วห้อง ก็เห็นแม่กำลังชงนมให้ตาหนูอยู่ตรงเคาน์เตอร์และกำลังส่งยิ้มเหนื่อยอ่อนมาให้ “นอนไม่ค่อยหลับเหรอ ดูสิ คะนิ้งต้องมาดูตาหนูแทน” “อืม กี่โมงแล้ว” “เจ็ดโมงครึ่ง” คะนิ้งเป็นคนตอบ “พยาบาลเข้ามาดูแล้วนะ” “อ่อ” ฉันพยักหน้าพลางเอามือคลึงหลังคอเบาๆ ก่อนชำเลืองไปทางพี่ลีไทน์ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างเตียงตาหนู คนละฝั่งกับที่คะนิ้งยืน “พี่ลีไทน์มานานแล้วเหรอ” “เพิ่งถึงไม่นาน” “ลีไทน์เอาผลไม้มาฝากด้วย อย่าลืมกินล่ะ” แม่เอ่ยแทรกขึ้นมา “หืม ไม่ต้องซื้อแล้วนะ” ฉันหันไปเตือนคนซื้อ เขาแค่ยิ้มเก้อๆ แต่ไม่ยอมรับปากว่าจะไม่ซื้ออีก ฉันหันไปคุยกับแม่ต่ออย่างไม่ใส่ใจ “นี่แม่ไม่รีบไปทำงานเหรอ เดี๋ยวก็สายหรอก” “เดี๋ยวก็จะไปแล้ว หม่ำๆ ลูก...” แม่เดินมายื่นขวดนมให้ตาหนูที่นั่งรออยู่บนเตียงอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ดื้อไม่ซน เวลาอยู่ต่อหน้ายายอะไรพอทนก็ทน แต่เวลาอยู่กับแม่หรือป้านิ้งอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะเหวี่ยงแบบไม่เกรงใจกันเลย เหนื่อยใจกับความสองมาตรฐานของลูกจริงๆ “ยายไปทำงานก่อนนะครับ ไว้ตอนเย็นจะแวะมาดูใหม่” “ไบ~ ไบ~” ยายพูดไม่ทันขาดคำ ตาหนูก็รีบโบกมือบ๊ายบายทันควัน ทำเอายายมันเขี้ยวจนต้องหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยเบาๆ ก่อนหันมาลาคนอื่นๆ “ไปนะหนูนิ้ง ลีไทน์ แม่ไปทำก่อนนะมีอะไรก็โทรมา” แม่หันมาพูดกับฉันเป็นคนสุดท้ายก่อนออกประตูไป ฉันลุกขึ้นมาดูตาหนู พอเห็นว่าลูกเปลี่ยนแพมเพิสแล้ว เช็ดตัวแล้ว ก็ให้รู้สึกละอายขึ้นมาเล็กน้อย ที่ตัวเองเป็นแม่แท้ๆ แต่กลับนอนขี้เซาไม่รู้เรื่อง ให้คนอื่นมาเป็นภาระจัดการแทนแบบนี้มันน่าตำหนิจริงๆ “ทำไมไม่ปลุกล่ะ” ฉันหันไปถามคะนิ้งที่คอยดูแลทุกอย่างให้ “ก็เห็นว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลยไม่อยากปลุก” ฉันมองหน้าคะนิ้ง ทำไมพูดเหมือนรู้ทั้งๆ ที่เธอหลับก่อนฉันไปแล้ว... เดี๋ยวนะหรือว่าจริงๆ แล้วยัยนี่แกล้งหลับ? เป็นไปได้เหรอ ฉันอยากถามแต่เพราะมีพี่ลีไทน์อยู่ด้วยเลยจำต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน “บืนนนน” กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ เสียงตาหนูก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่มักจะได้ยินเวลาลูกเล่นรถของเล่น ฉันหันไปมองอย่างไม่ได้คิดอะไรมากแต่ก็มีความรู้สึกแปลกๆ แซมอยู่นิดหน่อย เข้าใจว่าคงเป็นรถจากบล็อกที่ต่อกันเมื่อคืนไม่ก็ยายเอารถคันใหม่มาให้จากที่บ้าน ถึงแม้เมื่อกี้แม่ฉันจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับของเล่นหลานเลยก็เถอะ แต่ว่าทันทีที่เห็นของในมือลูกชัดๆ หัวใจฉันก็หล่นวูบ! “ภาม... เอารถนั่นมาจากไหน” ฉันชำเลืองแววตาสั่นไหวไปทางคะนิ้ง คนเดียวที่พอจะอธิบายที่มาที่ไปเกี่ยวกับพวงกุญแจรถมินิคูเปอร์สีเหลืองที่อยู่ในมือตาหนูได้ “มีอะไรหรือเปล่าเพนนี?” พี่ลีไทน์มองของในมือตาหนูแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นฉันมีท่าทีแปลกๆ “คือ... เปล่าค่ะ นีแค่จำอะไรผิดนิดหน่อย...” ฉันข่มความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านลงไป กลั้นใจตอบเหมือนเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเอง พี่ลีไทน์ดึงสายตางุนงงไปทางคะนิ้งเหมือนอยากถามว่าฉันเป็นอะไรแต่คะนิ้งแค่ยักไหล่ บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอก็ไม่เข้าใจอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของฉันเหมือนกัน สุดท้ายเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นกันอีก ฉันเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง ก่อนลงมาส่งพี่ลีไทน์ที่รถ เขามีเรียนตอนเที่ยงแต่เพราะนัดเพื่อนเอาไว้เลยต้องไปก่อนเวลา “เพนนีโอเคนะ?” เขาช้อนสายตามองฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยหลังจากมาถึงรถที่จอดอยู่หน้าตึก “คะ...” ฉันมองสบสายตาพี่ลีไทน์อย่างมึนงง และเพราะเขาเอาหน้าเข้ามาใกล้เกินไปทำให้ฉันแอบผวาเล็กน้อย สะดุ้งถอยออกมาครึ่งก้าว “พี่ทำตกใจเหรอ” “เอ๊ะ... เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น นี... นีแค่คิดอะไรเพลินนิดหน่อย” เขามองฉันเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดออกมา “ใช่เรื่องพ่อตัวเล็กหรือเปล่า” “พี่รู้! ” “เห็นในกลุ่มแต่งรถ มีคนคุยกันว่าฮานกลับเข้าทีม ผ่านมาสักพักแล้วล่ะ... พี่เห็นเพนนีปกติก็เลยไม่ได้ถาม แต่ว่าช่วงวันสองวันมานี้ที่เพนนีดูแปลกๆ แถมเมื่อวานพี่เห็นคนของเรดซันอยู่กับเพนนี” “....” “มีอะไรบอกพี่ได้” ฉันส่ายหน้า มองพี่ลีไทน์ด้วยสายตาซาบซึ้ง “ไม่มีอะไรหรอก พี่ไม่ต้องห่วง รีบไปได้แล้วเดี๋ยวรถติด” ฉันส่งสายตาเตือนให้เขารีบขึ้นรถ พี่ลีไทน์มองฉันอย่างไม่คลายกังวล แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ เขาพยักหน้ารับเบาๆ เปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไป ฉันยืนรอจนกระทั่งรถของเขาหายไปจากสายตา หันกลับมามองขึ้นไปบนตึกด้วยสายตาดุดัน สาวเท้ายาวๆ กลับเข้าไปข้างใน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD