PUEM TALK.
แนะนำตัวกันก่อน
ผมชื่อ ' ปลื้ม ' ใครๆก็เรียกว่าผมว่าเสี่ย
สองสิ่งในชีวิตที่ผมขาดไม่ได้คือ ' เงิน ' กับ ' ผู้หญิง ' มีเงินก็ซื้อทุกอย่างได้โดยเฉพาะ. . .ผู้หญิง !
ชีวิตของผมไม่ได้สวยหรู หรือเกิดมาบนกองเงินกองทองอย่างที่ทุกคนคิดหรอก
ตอนเด็กๆ ผมก็เป็นแค่เด็กวัดจนๆคนหนึ่งที่เติบโตมาได้ด้วยข้าวก้นบาตร แม่แท้ๆเอาผมมาฝากไว้ที่วัด แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปไม่เคยโผล่มาดูดำดูดีอีกเลย โชคยังดีที่หลวงตาท่านเมตตาให้ที่อยู่ที่กินและส่งเสียใหัผมมีที่เรียนจนจบปริญญาตรี
ผมเคยมีผู้หญิงที่รักมากถึงขนาดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ทิ้งผมไปเพียงเพราะว่าผมมันจน ไม่สามารถมีอนาคตที่มั่นคงให้กับเธอได้
ชีวิตของผมเริ่มพลิกผันหลังเรียนจบ ในขณะที่ผมกำลังเดินหางานทำ และในตอนนั้น ' มาร์ค ' ผู้ชายต่างชาติคนหนึ่งถูกกระชากกระเป๋าระหว่างที่เขาเดินออกมาจากธนาคาร
สำนึกส่วนดีสั่งให้ผมเข้าไปช่วยเขาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังว่าตัวเองจะเจอกับอะไร สุดท้ายผมแย่งกระเป๋าคืนมาให้เขาได้ แต่ตัวเองถูกแทงเข้าที่ท้องอาการสาหัส
มาร์ครับดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างที่ผมรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของผมในครั้งนี้
และโชคชะตา ความเมตตา หรืออะไรก็แล้วแต่ มาร์คถูกชะตาผมมาก ยิ่งได้รู้ประวัติและความเป็นมาของผมเขาก็ยิ่งสงสาร ถึงขนาดไปขอผมกับหลวงตามาลูกบุญธรรม หลวงตาไม่ปฏิเสธเพราะอยากให้ผมมีอนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
หลังออกจากโรงพยาบาลผมก็ย้ายไปอยู่กับมาร์คที่บ่อนของเขา ตั้งแต่นั้นมาผมถูกสอนให้เรียนรู้งานทุกอย่างในบ่อน ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ารวมไปถึงการควบคุมคน
ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งถึงเวลาที่มาร์คต้องเดินทางกลับไปดูแลธุรกิจของตัวเองในประเทศของเขา มาร์คจึงยกทุกอย่างในประเทศไทยให้ผมดูแลอย่างถาวร
ชีวิตของผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ผมไม่เคยลืมว่าที่มีได้ทุกวันนี้เพราะใคร และไม่เคยลืมว่ากว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ผมเติบโตมาจากที่ไหน และผ่านอะไรมาบ้าง. . .
PUEM END.
SAENDI TALK.
เราย้ายมาอยู่กับอีแก้มได้ 2อาทิตย์ ทุกอย่างโดยรวมเริ่มเข้าที่เข้าทางไม่มีใครมาคอยกวนใจให้รำคาญ
เช้ามีเรียนเราก็ไปเรียน วันไหนไม่มีเรียนหรือเลิกเร็วเรากับอีแก้มก็ไปขายเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัดแถวหอพักนั่นแหล่ะ และถ้าวันไหนมีงานเต้นเราก็ไป ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง
"วันนี้มีงานนะมึง เมื่อกี้เฮียมันโทรมาบอก"
อีแก้มพูดขึ้นมาตอนที่กำลังแต่งตัวจะไปเรียน
"แถวไหนอ่ะ เฮียมันได้บอกรึเปล่า?"
"เห็นว่าเป็นผับเปิดใหม่แถวๆตลาดรถไฟอ่ะ เฮียมันบอกว่าจะไปรับหลังเลิกเรียนให้เตรียมชุดไปเลย"
เราพยักหน้ารับรู้ พอแต่งตัวเสร็จเรากับอีแก้มก็พากันไปเรียนตามปรกติ
เวลาผ่านไปจนบ่าย3โมง หมดคาบเรียนของวันนี้ เรากับอีแก้มก็ลงไปรอเฮียคิมที่หน้าคณะเพราะเฮียมันโทรมาบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว
ไม่นานรถกระบะสี่ประตูแต่งซิ่งก็คลานเข้ามาจอดตรงที่เรากับอีแก้มนั่งอยู่ พร้อมๆกับที่คนขับรถเปิดกระจกลงส่งเสียงทักทาย
"ต้องให้อุ้มไหม?"
เฮียคิม หรือที่พวกเราเรียกว่าเฮียเฉยๆส่งเสียงถามอย่างกวนๆ เฮียคิมเป็นผู้ชายดูดีไม่ถึงขั้นหล่อเกาหลี แต่หน้ามันตี๋แบบโหดๆ เฮียมันมีเมียแล้ว เมียมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกพี่สาวอีแก้มนั่นแหล่ะ
"ไว้ไปอุ้มเมียที่บ้านนะเฮีย กำลังท้องนี่"
อีแก้มรวนกลับด้วยความที่เป็นคนปากไวอยู่แล้ว เฮียคิมไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแต่หน้าเฮียมันนิ่งมาก วันนี้เฮียมันสวมแว่นตาดำ เราเลยไม่รู้ว่าภายใต้แว่นตาดำนั้นเฮียมันคิดอะไรอยู่
แล้วอีแก้มมันก็เดินไปนั่งข้างหน้าคู่กับเฮีย ส่วนเราไปนั่งข้างหลัง
"กระโปรงมึงนี่ยังสั้นได้อีกนะแก้ม ประหยัดเนื้อผ้ารึไง?"
เฮียมันพูดขึ้นมาเมื่อสายตาของมันไปสะดุดกระโปรงอีแก้มเข้า มันก็สั้นจริงๆอย่างที่เฮียมันบอกนั่นแหล่ะ พอนั่งมันยิ่งร่นขึ้นไปอีก
"ไม่พูดเยอะดิ่เฮีย อะไรๆมันก็ของกูป่ะ"
อีแก้มบอกอย่างกวนๆ เฮียคิมมันส่ายหัวเล็กน้อยแล้วมันก็ออกรถพาเรากับอีแก้มไปเดินตลาดรถไฟก่อนฆ่าเวลา เพราะเฮียมันนัดกับทางผับไว้ตอนทุ่มนึง แต่นี่พึ่งจะสามโมงเอง
ไปถึงตลาดรถไฟก็เกือบๆสี่โมง เรากับอีแก้มก็เดินฝ่าความร้อนของแดดดูของกันไปเรื่อยๆโดยมีเฮียมันเดินตามหลังมาเงียบๆ
พอทุ่มนึงเฮียมันก็พาไปที่ผับของเจ๊สมรเพื่อไปเตรียมตัว คืนนี้มีสาวๆที่จะต้องขึ้นเต้นโชว์ทั้งหมดรวมเรากับอีแก้มก็ห้าคน โชว์ถูกแบ่งเป็นสามรอบสลับกับดีเจในผับ เรากับอีแก้มได้ออกมามาเต้นเป็นชุดที่สอง ชุดแรกเป็นของสามคนที่มาถึงก่อนหน้าเรา ส่วนรอบที่สามทุกึนจะออกไปเต้นโชว์พร้อมกันหมด
เสียงเพลงแดนซ์ดีงกระหึ่มไปทั่วทั้งผับสลับกับเสียงดีเจที่คอยเปิดเพลงให้ความสนุกกับแขกในผับดังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงคิวเรากับอีแก้มออกไปเต้นโชว์
เราก็เต้นไปตามปรกติ แต่ที่มันไม่ปรกติ คือเรารู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่เราตลอดเวลา หรือบางทีเราอาจจะคิดไปเองเป็นโคโยตี้ออกมาเต้นโชว์ส่ายเอวเด้งหน้าเด้งหลังซะขนาดนี้มีคนมองก็เป็นเรื่องธรรมดา
จบโชว์เรากับอีแก้มก็กลับเข้าไปพักปล่อยให้ดีเจประจำผับรับหน้าที่ให้ความสนุกต่อไป ก่อนที่จะโคโยตี้จะออกมาเต้นโชว์พร้อมกันหมดเป็นรอบสุดท้าย
และในระหว่างที่เรากำลังนั่งพักอยู่ เจ๊สมรเจ้าของผับก็เดินปรี่เข้ามาหาเราพร้อมกีบยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร
เรายกมือไหว้เจ๊แกทันทีเพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ๊แกเป็นใคร
"หนู ช่วยอะไรเจ๊หน่อยสิ"
"โถ่วเจ๊ หนูจะช่วยอะไรเจ๊ได้"
ฉันถามกลับอย่างงงๆ
"มีเเขกคนนึงเขาเห็นหนูแล้วชอบมาก อยากจะคุยด้วยก็เลยติดต่อผ่านเจ๊มา ตอนแรกเจ๊ก็ปฏิเสธไปเพราะหนูไม่ได้เป็นเด็กของเจ๊ แต่เขาไม่ยอมฟังแถมยังขู่จะลดเครดิตผับนี้อีก เจ๊ไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องมาขอร้องหนูนี่แหล่ะ"
เราฟังแล้วอึ้งไปทันที นี่กูจะหนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้เลยรึไงเนี่ย !? เราปฏิเสธไป แต่เจ้สมรมันก็บีบน้ำตาขอร้องซะจนน่าสงสาร อ้างว่าผับพึ่งจะเปิดใหม่ไม่อยากมีปัญหากับลูกค้า และแน่นอนว่าอีแสนดีก็ใจอ่อนจนได้
แม่พระมาก. . .
"อีแสนดีมึงจะไปเหรอ?"
อีแก้มมันถามเราอย่างเป็นห่วง
"อือ แค่คุยน่ะ อีกอย่างเจ๊แกก็อยู่ด้วย ใช่ไหมเจ๊"
ิเราหันไปถามเจ๊สมรอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ซึ่งเจ๊แกก็รีบพยักหน้าทันที
"เดี๋ยวกูมานะ"
เราหันไปบอกอีแก้มแล้วเดินตามเจ๊สมรออกจากห้องแต่งตัวไปที่ผับทันที
"น้องมาแล้วค่ะเสี่ย"
เสียงเจ๊สมรดังแข่งกับเสียงเพลง แน่เราสะดุดหูตรงคำว่าเสี่ยของเจ๊แกมาก ได้ยินปุ๊บขนนี่ลุกชันเลยเหอะ คิ้วขวากระตุกอีกต่างหาก
"ลุกซิอีแอน"
เจ๊สมรแกหันไปไล่เด็กในผับที่กำลังนั่งคลอเคลียเสี่ยอะไรนั่นเสียงดุ ผู้หญิงที่ชื่อแอนมองหน้าเจ๊สมรเหมือนไม่พอใจแต่ก็ยอมลุกไปแต่โดยดี แล้วเจ๊แกก็ลงไปนั่งแทนที่พร้อมกับเรียกเราตามไปด้วย
แต่จังหวะนี้แหล่ะ ! ที่เราได้เห็นหน้าอีเสี่ยของเจ๊สมรมันชัดๆ !!
"เซอร์ไพรส์. . ."
" ! "
SAENDI TALK.