"ไม่นะ! ทำไมรถถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่นะ ไม่!"
โคร้ม!
กว่าฮั่นซานเฉียวจะรู้ตัวว่ารถที่เธอขับอยู่มีปัญหาก็สายไปเสียแล้ว เธอพยายามเหยียบเบรกระหว่างที่ขับรถลงเขา พอรู้ตัวอีกที่เธอก็กลายเป็นเพียงวิญญาณที่ยืนอยู่ข้างซากปะหลักหักพัง
รถกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันนำร่างของเธอออกจากซากรถ ระหว่างนั้นเธอมองเห็นญาติผู้น้อง ซึ่งเป็นลูกสาวของน้ากำลังยืนมองดูเหตุการณ์อย่างเย็นชา ใบหน้าของจางลี่เผยรอยยิ้มที่มุมปากเพียงครู่เดียวก็ถูกแม่ของเธอสะกิดเอาไว้
ซานเฉียวที่เป็นวิญญาณพยายามเดินเข้าไปใกล้สองแม่ลูกที่กำลังคุยกัน นั่นจึงทำให้เธอตาสว่างถึงเรื่องอุบัติเหตุของครอบครัวเมื่อเดือนก่อน ปู่ย่า พ่อแม่และพี่ชายของซานเฉียวเดินทางด้วยรถตู้ครอบครัวเพื่อลงไปเยี่ยมเธอที่ต่างเมือง
แต่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคัน นั่นจึงทำให้ซานเฉียวเสียใจที่ตัวเองกลายเป็นต้นเหตุ เธอจึงได้ลาออกจากงานแล้วกลัวมาดูแลไร่องุ่นของครอบครัว แต่ทว่า...
"แม่แน่ใจนะคะว่าตายกันยกครัวขนาดนี้จะไม่มีใครสงสัยเรา"
จางลี่หญิงสาวปากแดงเอ่ยถามมารดาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สิ่งที่เธอเบื่อที่สุดคือการต้องยืนปั้นหน้าทำเป็นโศกเศร้า ทั้งที่เธออยากให้ครอบครัวนี้ตายไปเร็ว ๆ ทุกอย่างจะได้ตกเป็นของเธอกับแม่เสียที
"แม่ใช้เส้นสายยัดเงินไว้หมดแล้ว แกอย่าทำให้เสียแผนก็แล้วกัน ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกมา อย่าให้คนต้องมาสงสัยเรา"
"รู้แล้วค่ะแม่ เฮ้อ พูดมากจริง ๆ ดูซิเนี่ย ทำไมมันร้อน ๆ หนาว ๆ ก็ไม่รู้ อย่าบอกนะว่าผีนังซานเฉียววนเวียนอยู่แถวนี้น่ะ"
"หุบปาก! พูดอะไรไร้สาระ ถ้ามันอยู่ตรงนี้จริงก็ฟังเอาไว้ให้ดี เดิมทีฉันก็ไม่ได้อยากฆ่าแกเลยสักนิด ถ้าแกไม่สาระแนกลับมาที่นี่ แกคงไม่ต้องกลายเป็นผีข้างถนนแบบนี้หรอก ทางที่ดีแกควรไปอยู่กับครอบครัวของแกได้แล้ว แกน่าจะรู้ว่าพวกเค้ารักแกขนาดไหน"
สิ่งที่น้องสาวของมารดาทำให้ซานเฉียวไม่อาจปฏิเสธได้ ทุกคนในครอบครัวรักเธอมาก พวกเค้าให้อิสระกับเธอทุกอย่างไม่ว่าอยากทำอะไรก็ตาม ไม่เคยมีใครบังคับให้เธอกลับมาทำงานที่บ้านเลยสักครั้ง
อยู่ ๆ ก็มีแรงมหาศาลที่ดึงดูดดวงวิญญาณของซานเฉียวไปยังที่ไหนบางแห่ง เธอไม่รู้ว่ามันเนิ่นนานขนาดไหวกว่าทุกอย่างจะหยุดลง วิญญาณของซานเฉียวมาโผล่อยู่ที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี โดยมีชายชรากับคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนที่เธอจะมาถึง
"มาแล้วเรอะ ฮั่วซานเฉียว"
คำพูดของชายชราตรงหน้าทำให้ซานเฉียวงุนงงไม่น้อย เธอไม่เคยรู้จักหรือพบเจอกับคนตรงหน้ามาก่อนแน่นอน แล้วอีกฝ่ายรู้จักเธอได้ยังไงกัน หรือว่าจะเป็น....
"คุณตารู้ได้ยังไงคะว่าฉันเป็นใคร?"
"นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องของครอบครัวเจ้าต่างหากที่สำคัญกว่า"
"ครอบครัว? ครอบครัวของหนูทุกคนเสียไปหมดแล้ว เพราะผู้หญิงใจร้ายคนนั้น"
น้ำเสียงของซานเฉียวแผ่วเบาลงเมื่อนึกถึงสิ่งที่ครอบครัวของเธอถูกกระทำ หากมีโอกาสอีกครั้งเธอจะไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องเผชิญเรื่องร้าย ๆ โดยที่ไม่มีเธอ จะร้ายดี สุขหรือทุกข์ เธอควรผ่านมันไปด้วยกันกับพวกเขา
"ครอบครัวของเจ้าในอีกกาลเวลาหนึ่งกำลังต้องการความช่วยเหลือ เจ้าพร้อมจะไปลำบากกับพวกเขาหรือไม่ ดีร้าย ทุกข์สุข เจ้าพร้อมจะผ่านมันไปพร้อมพวกเขาตามที่เจ้าตั้งใจไว้หรือไม่?"
คำพูดของชายชราทำเอาซานเฉียวแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่การที่ดวงวิญญาณของเธอมาอยู่ตรงนี้ได้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเช่นกัน
"อิ..อีกกาลเวลาหนึ่งเหรอคะ คุณตาหมายความว่าทุกคนในครอบครัวของหนูยังมีชีวิตอยู่ในอีกกาลเวลาหนึ่งอย่างนั้นเหรอคะ"
"ใช่! หากเจ้าต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เราก็จะให้เจ้าได้ทำดังที่ปรารถนา แต่มีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างที่เราผู้เฒ่าอยากตกลงกับเจ้า"
"ข้อแลกเปลี่ยนอะไรคะ ขอแค่ได้อยู่กับทุกคนอีกครั้งหนูยอมทุกอย่างค่ะ"
"ตามเรามาทางนี้"
ฮั่วซานเฉียวเดินตามชายชราไปทางโรงนาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า พอทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้ ๆ ประตูโรงนาก็เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ซานเฉียวเห็นว่าข้างในมีเครื่องสีข้าวขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มุมทางเข้ามีจักรยาน 2 คันจอดอยู่
ไม่ไกลนักมีรถไถกับรถเกี่ยวข้าวจอดอยู่ ด้านข้างเต็มไปด้วยเครื่องมือทำสวน รวมไปถึงปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ข้าวและเมล็ดพันองุ่นหลายสายพันธุ์ที่มีกระดาษเขียนติดอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีกองไม้และลวดค้อนตะปู ถังน้ำมัน ทุกอย่างมีพร้อมให้ใช้งานหลายอย่างตามที่ต้องการ
"ของพวกนี้..."
"ของพวกนี้เราผู้เฒ่ามอบให้เจ้าเป็นต้นทุนในการดำเนินชีวิต อุปกรณ์ต่าง ๆ เจ้าสามารถหยิบใช้ได้ตามต้องการ ผืนแผ่นดินในมิตินี้ล้วนเป็นดินวิเศษที่สามารถปลูกผัก ปลูกข้าวให้งดงามและเก็บเกี่ยวได้เพียงชั่วข้ามคืน ฉะนั้นเจ้าควรเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ อย่าได้บอกคนอื่นที่เจ้าไม่รู้จักนิสัยใจคอ ในยามที่เจ้าต้องการเข้ามาที่นี่ เพียงระลึกเจ้าก็สามารถเข้ามาได้ตามที่ต้องการ ส่วนด้านนั้นเป็นห้องพักที่เจ้าสามารถพักอาศัยได้"
"จริงเหรอคะ"
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ ซานเฉียวลองหยิบจอบไปขุดดินที่ลานกว้าง พร้อมกับคว้าเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิกับผักคะน้าไปลองหว่านดูโดยไม่คิดว่าจะเป็นจริง
ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เธอก็เห็นเมล็ดพันธุ์ที่เธอหว่านลงดินแตกออก ทั้งข้าวและคะน้าต่างก็กลายเป็นต้นอ่อนยื่นกิ่งก้านออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ
"ตามเราผู้เฒ่ามาทางนี้ เห็นโรงนาตรงนั้นหรือไม่"
มือของชายชราชี้ไปที่โรงนาขนาดกลางที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก พอซานเฉียวมองตามเธอก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ในนั้นมีอะไรเหรอคะ"
"เป็นโรงบ่มไวน์ของครอบครัวเข้า เราผู้เฒ่ายกให้เจ้าเอาไว้ดูต่างหน้า หากอนาคตเจ้าต้องการสานต่อ หรือเมื่อไหร่ที่เจ้าพร้อมก็เปิดเข้าไปดูได้ตลอดเวลา แต่คาดว่าตอนนี้เจ้าคงต้องจัดการเรื่องยุ่ง ๆ ที่รออยู่ให้ลงตัวก่อน"
"ค่ะคุณตา"
"เอาล่ะ เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่"
"ชะ..เชื่อแล้วค่ะ ว่าแต่คุณตาจะให้หนูทำอะไรบ้างคะเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน"
"ช่วยคนที่ลำบากเท่าที่เจ้าจะช่วยได้ เชื่อเถอะว่าเมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เอาล่ะ ดูความทรงจำของร่างที่เจ้าจะเข้าไปอยู่ซะ ถึงนั่นจะเป็นร่างของเจ้าที่อยู่ในอีกกาลเวลาหนึ่ง แต่ยังไงก็ต้องทำความรู้จักนิสัยใจคอและเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้ด้วย"
บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ฉายภาพเรื่องราวของทุกคนในครอบครัวที่อยู่อีกกาลเวลาหนึ่ง ทุกคนมีหน้าตาเหมือนครอบของเธอไม่มีผิด ซ้ำยังถูกครอบครัวฝั่งแม่ของเธอโกงจนแทบไม่เหลืออะไร
ด้วยความที่ปู่ย่าของเธอมีลูกชายเพียงคนเดียว นั่นก็คือพ่อของเธอ พอถูกครอบครัวของแม่ชักชวนให้มาใช้ชีวิตที่ต่างเมืองในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงวุ่นวายในเมืองหลวง พ่อของเธอก็พาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เมืองเจ้อเจียงเมื่อ 20 ปีก่อน
ถึงจะเรียกว่าหลีกหนีความวุ่นวายกลางเมืองหลวง แต่การไปใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบทก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าทุกคนจะผ่านช่วงที่ยากลำบากมาได้ก็ต้องใช้เงินเก็บที่มีอยู่เพื่อประทังชีวิตมาตลอดหลายปี โชคดีที่บ้านนี้ยังมีแรงงานชายที่เข้าไปทำงานในคอมมูนหลายคนจึงไม่ลำบากเหมือนบ้านอื่น
ทว่าครอบครัวฝั่งแม่ของฮั่วซานเฉียวก็มีเรื่องเดือดร้อนให้มาขอหยิบยืมเงินอยู่บ่อย ๆ หนักเข้าถึงขั้นหลอกให้แม่ของเธอเอาโฉนดบ้านไปจำนองจนดอกทบต้น พอไม่มีเงินจ่ายก็ไม่มีใครรับผิดชอบ ตอนนี้ครอบครัวของเธอจึงอยู่ในจุดที่ต่ำสุด ถูกเจ้าหนี้ไล่ออกจากบ้านอยู่ทุกวัน
และฮั่วซานเฉียวก็ถูกลูกของน้าสาวแย่งคู่หมั้นไป ทั้งคู่จัดงานแต่งกันอย่างใหญ่โตจนเธอในกาลเวลานั้นไม่อาจรับความจริงได้ ซานเฉียวจึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแต่โชคดีที่พี่ชายของเธอมาพบเข้า ส่วนฮั่วเจินผู้เป็นแม่ก็ได้แต่โทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวพบเจอแต่เรื่องแย่ ๆ
"พวกเค้ากำลังช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำ ได้เวลาที่เจ้าต้องไปที่นั่นแล้ว พอเจ้าลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำต่าง ๆ จะหลั่งไหลเข้าไปในหัวของเจ้า เราผู้เฒ่าหวังว่าโอกาสครั้งนี้เจ้าจะถนอมและรักษามันเอาไว้ให้ดี"
น้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่ทรงพลังค่อย ๆ เงียบหายไปพร้อมกับสติของเธอ และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอได้รับรู้กระทั่ง...
"อาเฉียวฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ซานเฉียว อึก อึก น้องได้ยินที่พี่เรียกไหม ซานเฉียว!"
เสียงของฮั่วซานหลางร้องเรียกน้องสาวอย่างเจ็บปวดในขณะที่กำลังปั๊มหัวใจของเธอกลับคืนมา ข้างกันมีทุกคนในครอบครัวช่วยกันเรียกหญิงสาวเพื่อให้เธอได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของคนเป็นแม่ที่ทำให้ครอบครัวเดินมาถึงจุดนี้
"ฮื้อออ ซานเฉียวลูก ฮึก ตื่นขึ้นมาหาแม่เร็วเข้า แม่ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ ฮื้อออ คุณคะช่วยลูกของเราด้วย"
"ใจเย็น ๆ ก่อนอาเจิน เชื่อแม่นะ ยังไงอาเฉียวจะต้องกลับมาหาพวกเราทุกคน"
แม่เฒ่าฮั่วซานเหนียงกอดปลอบลูกสะใภ้อย่างเห็นอกเห็นใจ ท่านรู้ว่าฮั่วเจินไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้ เธอเพียงแค่ตามเล่ห์เหลี่ยมของคนชั่วไม่ทันก็เท่านั้น
แค่ก แค่ก
"อาเฉียว น้องกลับมาแล้ว อาเฉียวได้ยินพี่ไหม"
หลังจากได้สติขึ้นมาคนแรกที่ซานเฉียวมองเห็นก็คือพี่ชายของเธอ เธอหันไปข้าง ๆ ก็พบว่าทุกคนที่เธอสูญเสียไปแล้วกลับมาอยู่ตรงนั้นทั้งหมด ทั้งปู่ย่า พ่อแม่ รวมไปถึงพี่ชายที่รักเธอมากกว่าสิ่งใด
สีหน้าของเธอเปิดเผยถึงความปีติยินดีอย่างชัดเจน น้ำตามากมายไหลพรากออกมาเป็นสายด้วยความคิดถึง เธอโผเข้ากอดทุกคนที่รัก ในหัวของเธอได้แต่ขอบคุณชายชราคนนั้นที่มอบโอกาสนี้ให้กับเธอ
"พี่ใหญ่ แม่ พ่อ ปู่ ย่า ฮึก หนูคิดว่าจะไม่ได้เจอทุกคนแล้ว ฮื้อออ"
"แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ เป็นเพราะแม่เองลูกถึงคิดสั้นแบบนี้"
"แม่ครับ แม่อย่าโทษตัวเอง การที่ไอ้บ้าจื่อชิวมันทำแบบนั้นก็เพราะความมักมากและโลภมากของมัน อาเฉียวน้องต้องฟังพี่ใหญ่คนนี้ สักวันจะต้องมีคนดี ๆ เข้ามาจีบน้องพี่ อย่าได้เสียใจหรือคิดสั้นเพราะคนแบบนั้นอีก รู้ไหมว่าชีวิตน้องสำคัญกับพวกเราแค่ไหน"
ซานเฉียวหันมองพี่ชายของเธอในขณะที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของทุกคน ชั่วขณะนั้นเองภาพความทรงจำต่าง ๆ รวมไปถึงนิสัยใจคอของร่างนี้ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ จนเธอปวดหัวจนแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วสติของเธอก็วูบดับไป
"อาเฉียวลูก อาหลางรีบพาน้องกลับบ้านก่อนดีกว่าลูก"
ฮั่วซานถังผู้เป็นพ่อพูดขึ้น พร้อมกับช่วยลูกชายจัดท่าทางก่อนจะอุ้มซานเฉียวกลับบ้านไปท่ามกลางความมืด ส่วนพ่อเฒ่าฮั่วเหมียนกับภรรยาก็มีลูกสะใภ้คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
ฝากติดตามด้วยนะคะ มาดูกันว่ายัยน้องจะทำยังไงถึงจะนำพาครอบครัวให้กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง