7 - เพื่อนน้องก้านไม้
เช้าวันต่อมา
ระหว่างทางไปโรงเรียน
ก้านไม้นั่งอยู่ในรถยนต์ของพี่โซดา วันนี้ผมกับพี่ทั้งสองคนถือว่าเดินทางกันไปตามปกติแต่ว่าวันนี้ผมตื่นเต้นกว่าเพราะว่าสิ่งที่ผมตั้งใจมาเมื่อวานถือว่าประสบผลสำเร็จ แล้วมันทำให้ผมอยากเจอพี่เพลนส์มากกว่าเดิมเพราะวันนี้พี่เขาจะชวนผมไปเที่ยวหลังเลิกเรียน สงสัยความน่ารักของผมและความชอบเครื่องบินกระดาษจะทำให้เข้าตากรรมการได้ขนาดนี้ และอีกอย่างผมว่าพี่โซดาคงเข้าใจในตัวตนพี่เขาเป็นอย่างดีเพราะเขาเป็นเพื่อนที่เห็นหน้า แม้จะไม่สนิทกันมากแต่รู้จักกันมาตอนเรียนมัธยม
“เอ... โซดา ทำไมน้องก้านไม้ติดเพื่อนแกมากล่ะ ไปหว่านล้อมให้ซื้อเกมให้ได้เหรอ” ระหว่างที่ผมกำลังนั่งข้างโซดาไปโรงเรียนอยู่ ผมคิดอะไรบางอย่างไปพักหนึ่งว่าทำไมน้องก้านไม้ อยากรู้จักเพลนส์เพื่อนของโซดามาก แสดงว่าร้านของเล่นไปมัดใจให้เป็นลูกค้า และการที่น้องติดขนาดนี้ผมว่าโซดาแอบใช้น้องเป็นเครื่องมือในการหว่านล้อมให้ผมอนุญาตให้แฟนซื้อเกมงั้นเหรอ
“เปล่า...”
“กูรู้ทันมึงนะ ร้านของเล่นก็มีเกมขายด้วย เห็นบอกอยากได้ราคาลดยี่สิบเปอร์เซนต์ใช่ไหม”
“ก็ใช่... แต่กู...”
ผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไงให้โฟร์ไม่สงสัย ดูท่าทางมันจะสงสัยผมหนักกว่าเดิม เค้นถามคำตอบจากผมให้ได้ งานนี้ผมก็ต้องสารภาพความจริงแล้วล่ะว่าผมส่งน้องก้านไม้ไปดูเกมที่ผมอยากได้ แต่ไม่รู้เลยว่าร้านที่น้องไปรู้จักกันดีและผมมารู้ทีหลังว่าเป็นเพื่อนผม มันบังเอิญมากก็เลยส่งตัวไปเผื่อว่าเพื่อนผมจะลดราคาให้งาม ๆ
“ให้ได้งี้สิ จะเอาเกมแล้วยังจะเอาข้อต่อรองอีก”
“ถือซะว่ากูไม่เสียเปล่าไง น้องอยากได้ของเล่น กูก็อยากได้ของเล่นถือว่าวินวินทั้งคู่” ผมอธิบายให้เข้าใจเลยว่าสิ่งที่ผมทำถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ผมอยากได้เกมน้องก็อยากได้ของเล่นถือซะว่าให้ความสุขกับคนในครอบครัวก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรสักหน่อย
“ก็ได้ ๆ ถือซะว่าเรายอมใจอ่อนแล้วก็ได้”
“แฟนผมน่ารักที่สุดเลย”
ผมมีวิจรณญาณพอในการแนะนำก้านไม้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ไม่ใช่ว่าเกมจะสร้างความรุนแรงให้ปลูกฝังค่านิยมการฆาตกรรมหรือใช้ความรุนแรงกับคนในสังคม หากแยกแยะและมองว่าเป็นเรื่องแต่งมันก็ไม่มีปัญหา ถ้าแยกแยะได้สังคมจะน่าอยู่ ถ้าได้ของแล้วจะตั้งใจให้ดีที่สุด
ที่โรงเรียน
ผมเลี้ยวรถมาที่หน้าโรงเรียนกำลังขับไปตามถนนภายในโรงเรียน ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินไปตามฟุตบาธ เห็นด้านหลังแล้วคุ้นมากทั้งรูปร่างและชุดที่ใส่อยู่ จุดเด่นอย่างหมวกแก๊ป ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ผมคิดไว้และเป็นเพื่อนของผม ผมบีบแตรเป็นการส่งสัญญาณให้เขาหันมา เมื่อผู้ชายคนนั้นหันมาพบว่าเป็นเพื่อนของผมจริง ๆ
“เพลนส์”
ผมแปลกใจว่าวันนี้เพลนส์มาโรงเรียนทำไม หรือว่ามันมีน้องที่เรียนอยู่โรงเรียนนี้มารับส่งประจำ ผมเห็นแล้วขอตัวไปส่งก้านไม้เข้าโรงเรียนก่อนแล้วจะกลับมาหาเพื่อนรัก เมื่อผมส่ง
“เพลนส์ มึงเป็นยังไงบ้าง”
ผมเห็นเพลนส์เข้ามาในโรงเรียนพร้อมถือกล่องใส่ขนมกล่องใหญ่ในถุงพลาสติก คาดว่าเขาน่าจะรับส่งขนมไปด้วย คนแบบเพลนส์ชอบมีอาชีพเสริมไปในตัวจะได้หารายได้มากขึ้น ผมถามไถ่ความเป็นอยู่ เขาก็บอกว่าทุกอย่างราบรื่นแม้เม็ดเงินจะไม่มาก แต่ก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด
“สบายดี ว่าแต่มึงมีน้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็รับเลี้ยงอะ ผสมพันธุ์ไม่ได้เพราะมันไม่มีมดลูก” ผมล้อเลียนโฟร์จนมันตีแขนผมด้วยความหงุดหงิด มันเป็นผู้ชายถ้าคลอดได้วิทยาการแพทย์มาจ่อสัมภาษณ์ว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่ตั้งครรภ์ได้ ผมเจอเพื่อนแล้วเอาเป็นว่าผมขอคุยด้วยสักครู่และแนะนำแฟนตัวเองให้รู้จัก
“คนนี้โฟร์ แฟนกู”
“ดีเจโฟร์”
“เดี๋ยวนะ มึงรู้จักแฟนกูได้ไง”
“แล้วนี่ใช่คนที่เข้ามาขอเพลงเป็นรหัสภาพหรือเปล่าเนี่ย” ผมงงเลยว่าต่างคนต่างรู้จักกันโดยที่ผมไม่ต้องแนะนำตัวเลยหรือ เขาบอกว่าเพลนส์ชอบฟังคลื่นเพลงนิ เรดิโอมาก ช่วงดีเจโฟร์จะเข้าไปขอเพลงและพูดคุยกับหลังไมค์กันเองมาก และชอบขอเพลงเป็นรหัสภาพแกล้งดีเจ มิน่าล่ะมันชอบมาบอกว่าชอบฟังเพลงคลื่นนี้เป็นประจำ
“จริงเหรอเนี่ย”
ผมคงไม่ต้องแนะนำอะไรมากแล้วล่ะ คุยกันเองไปเลยดีกว่า ผมรู้ตอนนี้ว่าเพลนส์มาโรงเรียนมาส่งสองพี่น้องของเดนิชมาโรงเรียน พร้อมแวะมาส่งขนมใกล้โรงเรียน ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนคนนี้มีหลายงานในเวลาเดียวกัน ทำขนมและขายของเล่นไปด้วย มันดูขยันเหมือนกันนะ
“ว่าแต่มึงไปรู้จักก้านไม้ได้ยังไง”
“ก็น้องชอบมาดูของเล่นร้านกู อีกอย่างสะดุดตาเครื่องบินกระดาษก็เลยให้ไปเป็นแรงบันดาลใจ”
ผมไม่เคยรู้ว่าน้องก้านไม้เป็นเด็กในความดูแลเพื่อนรักคนนี้ แล้วเป็นเด็กรับเลี้ยงด้วย ผมเห็นแล้วมันดูเป็นช่วงเวลาน่ารักดีเหมือนกันแล้วตอนนี้ผมยังไม่มีครอบครัว จะหาแฟนยังไม่ได้เลย ผมก็ได้แค่พับเครื่องบินกระดาษต่อไปจนกว่าจะไม่มีกระดาษบนโลกนี้ให้ผมพับ
“ถ้ายังไงเดี๋ยวตอนเย็นค่อยเจอกันนะ กูอยากเจอน้องมึง”
“เอาดิ ขอราคางาม ๆ ลดสามสิบเปอร์เซนต์” โฟร์เองก็ไม่เข้าใจนะว่าแฟนผมเวลาอยากได้อะไรมันจะหาวิธีเอามาให้ได้ ถึงขั้นใช้ความสนิทสนมมาต่อราคาให้จ่ายน้อยลง ถ้าจะขนาดนี้ไม่เอาฟรีไปเลยล่ะ ต่อจนยางอายจะไม่มีให้ต่อแล้ว ขายของมีใครไม่อยากได้กำไรล่ะ ถ้าแบบนั้นผมไม่ขัดขวางอะไรแล้ว อยากได้เกมก็ทำตัวดี ๆ ก่อน
ทางด้านก้านไม้
“พี่เพลนส์รู้จักผู้ปกครองของนายด้วยเหรอ” เวกเตอร์เดินเข้าโรงเรียนเห็นผู้ปกครองของเพื่อนผมแล้ว ก็แปลกตาเหมือนกันว่าไปรู้จักกันตอนไหนดูสนิทกันมากจนผมคิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมลองถามดูและมันก็เป็นไปตามที่ผมคิด
“เราก็พึ่งรู้อะ โลกกลมากเลยนะ” ผมยังไม่เคยคิดว่าความบังเอิญจะเหวี่ยงให้คนรู้จักกันมากขึ้น ผมเองก็อยากมีเพื่อนเยอะเหมือนกันจะได้มีความสัมพันธ์ติดต่อกันได้มากขึ้น ผมเองเป็นเด็กคนหนึ่งที่ติดเพื่อนมากอยากมีเพื่อนเยอะจะได้ใช้เวลาทั้งวันไปหาเพื่อนทำกิจกรรมที่มีประโยชน์
“เราเป็นคนหนึ่งอยากมีเพื่อนเยอะมากเลยนะ”
“จะดีเหรอ เราว่ามีเพื่อนเยอะและจริงจังดีที่สุดแล้ว” ผมเองมีความคิดไปด้วยกันกับก้านไม้ เป็นคนที่คิดอยู่ในความเป็นจริง ไม่ใช่อยู่ในโลกไม่เป็นจริงจนแยกแยะไม่ออก ผมว่าการมีเพื่อนที่จริงใจถือว่าเป็นกำไรของชีวิต ดีกว่ามีเพื่อนเยอะแต่บางคนไม่จริงใจ พอมีปัญหาหนีหายกันหมด ผมคิดแล้วน่าขนลุกเหมือนกันต่อให้จะมีเหตุผลมาอ้าง แต่ความเป็นเพื่อนอ้างไม่ได้
“ว่าแต่พี่นายจะซื้อเกมเหรอ”
“ใช่ เราถึงไปเดินดูร้านพี่เขาบ่อย ๆ อะ” ผมเองก็อยากได้เกมและของเล่นตามวัยที่ผมเป็นอยู่ เอาเป็นว่าถ้าก้านไม้ไปร้านนั้นอีก ผมจะไปด้วยจะไปเลือกของที่ผมอยากได้ ไม่อยากรบกวนเงินคนอื่นเพราะผมก็มี อยากซื้ออะไรให้ตัวเองมีความสุขดีกว่ารบกวนคนอื่น
“งั้นเราขอรบกวนนายหน่อยนะ...” ผมเองก็อยากได้ของที่อยากได้ ผมขอไปเดินดูที่ร้านของเล่นด้วยกัน อันไหนเข้าตาผมจะขอจองไว้แล้วจะกลับมาซื้อให้ครบจำนวนเงิน เวลาของเพื่อนวันนี้ผมไม่อยากเข้าเพราะเขาไม่ได้ชวนผมสักหน่อย
เวลาต่อมา
ตอนนี้ก้านไม้อยู่ในห้องเรียนพร้อมกับนักเรียนในห้อง ผมกำลังเตรียมหนังสือเรียนพร้อมเรียนคาบแรก จะว่าไปผมเห็นโต๊ะเรียนข้างเพื่อนแถวกลางห้องว่างอยู่ ผมไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนคนนี้มาสายบ่อยมาก ตั้งแต่โรงเรียนเปิดมาพักหนึ่ง สายจนคะแนนพฤติกรรมจะไม่มีให้หักแล้ว ผมถามดูพบว่าเขากำลังเดินทางมา
“ทำไมใบข้าวมาสายตลอด” เพื่อนที่นั่งข้างใบข้าวยังสงสัยเลยว่าทำไมเพื่อนคนนี้มาสายบ่อยเกือบทุกวัน จะมาเช้าก็นับครั้งได้ไม่เกินสิบ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันแต่ไม่กล้าถามเพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม
“ใบข้าว...”
ผมเห็นเพื่อนของเขาเรียกในขณะที่ใบข้าวเดินสะพายกระเป๋ามาวางไว้หลังเก้าอี้ พร้อมสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีทั้งที่เป็นแบบนี้ทุกวัน ผมคิดว่าเขาน่าจะมีเรื่องไม่พอใจ
“ไม่มีอะไรหรอก”
ใบข้าวบอกกับเพื่อนว่าไม่มีอะไร ปกติก็ตื่นเวลาโรงเรียนใกล้เขา ผมบอกเลยว่าผมไม่ชอบมาเข้าแถวเพราะการเข้าแถวผมไม่เห็นว่ามันมีประโยชน์อะไร ไม่อยากมายืนแสงแดดสังเคราะห์แสงเปล่าประโยชน์ ผมก็เลยอยู่บ้านก่อนค่อยออกมาหลังเข้าห้องเรียนแล้ว ผมนั่งลงแล้วจับโทรศัพท์ก่อนจะจับหนังสือเรียน ของสิ่งนี้มันเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามติดตัวขาดไม่ได้
“เอ่อ...”
ก้านไม้แปลกใจว่าปกติใบข้าวมาโรงเรียนก็ดูไม่ปกติ แต่ที่ไม่ปกติกว่าคือมันชอบเล่นเกมขนาดนั้นเลยเหรอ นั่งยังไม่ทันเปิดหนังสือเรียนก็จับโทรศัพท์เข้าเกมแล้ว ผมว่าความชอบของเขามันเตะตาผมแล้วล่ะ ผมกับเวกเตอร์ชอบเล่นเกม ถ้าอย่างนั้นผมลองชวนเขาไปเล่นเกมดูก็คงไม่เป็นอะไร
“เราคิดอะไรออกแล้วล่ะ”