EP5 - หนูพึ่งลุกเชียงใหม่มาค่ะ

2025 Words
5 - หนูพึ่งลุกเชียงใหม่มาค่ะ หลังจากนั้น เพลนส์กำลังเดินทางไปที่ร้านของเล่นของตนเอง ผมขับรถยนต์คู่ใจไปบนถนนสายหนึ่ง ฟังเพลงโปรดจากคลื่นหนึ่งเป็นคลื่นเพลงวัยรุ่นซาบซ่าต่อใจ โดยช่วงเช้าเป็นเสียงดีเจที่คุ้นหูและเป็นคนรักของโซดา ถ้าเป็นช่วงที่โฟร์จัด ผมชอบหมุนมาฟังล็อกคลื่นนี้ไว้ในรถเป็นอันดับหนึ่งเลย ฟังแล้วมันทำให้ผมมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป ทั้งเพลงทั้งดีเจ ดีต่อใจจนไม่อยากหนีไปไหนเลย เสียงของโฟร์ถือว่าทำให้ผู้ฟังมีความสุขตลอดเวลาที่ฟัง ตรี๊ดดด ระหว่างที่ผมขับรถอยู่ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมมองชำเลืองด้วยสายตาไม่อยากละจากพวงมาลัยพบว่าเพื่อนญาติผมโทรมา สงสัยจะเข้ามาถึงกรุงเทพแล้ว ผมกดรับสายพร้อมคุยไปขณะขับรถสวมหูฟังไร้สายคุยผ่านกัน จะได้ไม่เป็นสเปคของด่านตรวจ “ไงครับเดนิช ไหนว่าจะไม่มาเหยียบกรุงเทพเพราะโดนบ่าวเมืองกรุงหักอกไง” ผมเปิดปากก็เริ่มแซวเดนิช ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนสนิทและเป็นญาติห่าง ๆ ที่ผมรู้จัก เรื่องที่ผมพูดถึงว่าเป็นเรื่องจริง หลายปีก่อนมีผู้ชายกรุงเทพมาจีบพอคบไปสักพักโดนหลอก เธอก็เลยจะไม่มาเหยียบกรุงเทพเพราะไม่อยากเจอผู้ชายหลายใจหักอกอีก แต่รอบนี้มาได้แสดงว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างที่จำเป็นต้องมา “มาถึงก็ว่าฉันเลยนะ ตอนนี้อยู่สนามบินแล้ว เดี๋ยวมีอะไรค่อยคุยกัน” เดนิชเดินเข้าสนามบินมาไม่นาน ฉันมาถึงแล้วรีบติดต่อหาเพลนส์ให้มารับฉันที่สนามบินหน่อย ไม่อยากไปแท็กซี่กลัวโดนชาร์จราคาแพงยิ่งฉันเป็นคนต่างจังหวัด ดูทรงแล้วจะเก็บมากกว่าคนในจังหวัดเสียอีก “แกก็อย่าไปหลุดพูดภาษาเหนือสิ แกจำได้ไหมตอนเราไปเชียงใหม่ ขึ้นรถแดงกูอุ้กำเมืองได้ลดราคาเลย” “คิดว่าคนขับแดงเขาดูไม่ออกเหรอว่าคนไหนเหนือจริงหรือเหนือปลอม เขากินข้าวนะเว้ยไม่ได้กินหญ้า” ฉันขอให้เพลนส์มารับที่สนามบินหน่อยเพราะอยากเดินทางกลับไปพักที่บ้านของเขา มันก็บ่ายเบี่ยงและบอกว่าตอนนี้ยุ่งอยู่ กำลังจะไปทำงาน บอกให้ส่งพะโล้น้องของฉันมา บอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ มันเป็นวัยรุ่นติดเพื่อน ตอนนี้มันไปเดินห้างสรรพสินค้าตากลมเครื่องปรับอากาศจนฉ่ำตัวแล้ว “อ้าว ไอ้พะโล้มันไปกับเพื่อนเหรอ” “น้องกูนะติดพี่อย่างยูไดซ์ มันไปกับเพื่อนไม่พอยังไปกับพี่ตัวเองอีก ป่านนี้มันเดินเข้าโรงหนังไปแล้ว” ก่อนหน้านั้นฉันติดต่อหาน้องอย่างพะโล้มันไลน์มาบอกว่าจะไปโรงภาพยนตร์กับเพื่อน มันติดเพื่อนแล้วไม่มารับฉันยังเห็นฉันเป็นพี่อยู่ไหมเนี่ย ฉันล่ะปวดหัวกับสมาชิกในครอบครัวฉันมาก “กูก็จะไปทำงานแล้ว งั้นมึงนั่งแท็กซี่มาแล้วกัน ไปรอที่บ้านเราเดี๋ยวส่งที่อยู่ไปให้” ตอนนี้เดนิชมาถึงกรุงเทพแล้ว ผมยังไม่รู้ว่ามันมาทำธุระเรื่องอะไรไม่ได้แจ้งก่อน มาถึงก็โทรหาผมให้ไปรับ มันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะผมจะไปทำงานแล้ว ไม่สามารถออกนอกเส้นทางได้ ลูกค้าผมรออยู่เดี๋ยวไม่เจอเจ้าของร้าน เดินหนีออกไปอีก เวลาผมให้เพื่อนรับสายพอไม่ใช่เสียงเจ้าของร้านวางหนีคิดว่าต่อสายผิด ผมก็เลยต้องไปที่ร้านก่อน ทางด้านเดนิช เดนิชเองมากรุงเทพครั้งแรก ฉันทำอะไรไม่ถูกเลยไม่กล้าบอกคนอื่น จะโดนหาว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุงครั้งแรก ฉันขอให้ใครที่ผ่านมาเห็นไม่รู้เรื่องนี้ถึงแก่นแท้จะดีที่สุด ฉันเดินลากกระเป๋าเดินทางและยกสัมภาระออกมาหน้าสนามบินมาเรียกแท็กซี่ เพื่อไปตามที่อยู่ที่เพลนส์ส่งมาให้ “สวัสดีครับ เดินทางจากไหนมาครับเนี่ย” เสียงของคนขับรถแท็กซี่ ดูทรงแล้วยังหนุ่มอยู่เลย หน้าตาพอใช้ได้ถามฉันด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่ามาจากที่ไหนแล้วจะเดินทางไปไหนต่อ เพราะเขาเห็นสัมภาระอันหนักอึ้งแล้วยิ่งกว่าคนย้ายถิ่นฐานเมื่อใบตองเปลี่ยนเป็นสีเหลือง “หนูพึ่งลุกเชียงใหม่มาค่ะ” ฉันตกใจเผลอหลุดสาปเมืองออกไปได้ยังไง คำว่าลุกคือคำภาษาเหนือแปลว่ามาจาก ฉันแก้เขินและบอกไปว่าพึ่งกลับจากเชียงใหม่มา กำลังจะเดินทางกลับบ้านไปตามที่อยู่นี้ แต่คนขับก็ดูไม่เชื่อว่าเป็นคนกรุงเทพ “ว่าแต่จะไปไหนครับ” “เพื่อนหนูบอกว่าอยู่แถวพระรามอะไรสักอย่าง น่าจะพระรามลงสรง” ฉันบอกว่าจะไปที่บ้านของเพื่อนสนิทที่อยู่พระราม ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าหมุดมันปักที่พระรามไหน ก็เลยส่งแผนที่ในจอโทรศัพท์ให้ดูพบว่าบ้านของเพลนส์อยู่พระรามแปด แล้วอีกอย่างฉันเขินอายเพราะพระรามลงสรงมันเป็นอาหาร ฉันโชว์ความบ้านนอกไปอีกหนึ่งตับไม่พอ ตอนนี้ก็ยังจะแสดงความโง่มากกว่าเดิม เมื่อรถกำลังจะออก คนขับรถกดตัวเลขขึ้นฉันเข้าใจคิดว่าเป็นนาฬิกาบอกเวลาแต่ไม่ใช่เลย มันคือมิเตอร์ คืออะไรเอาไว้วัดค่าน้ำค่าไฟเหรอ “มันคือมิเตอร์ครับ วัดระยะทางว่าจากที่คุณอยู่ไปถึงจุดหมายต้องจ่ายกี่บาท เดี๋ยวนะครับ คุณเป็นคนกรุงเทพจริงไหมเนี่ย” คนขับรถเริ่มไม่น่าเชื่อถือในตัวฉันเท่าไหร่ เพราะฉันไม่รู้จักมิเตอร์แท็กซี่ ไม่รู้จักพระรามที่แยกตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า ยิ่งแถยิ่งกลบไม่เนียน พยายามรักษาอาการแต่ก็ไม่เป็นผล “คนกรุงเทพสิคะ” “แล้วคุณไม่รู้จักมิเตอร์แท็กซี่เนี่ยนะ” “ปกติหนูไปใกล้ ๆ ก็แตวไปตางหน้า... เอาเถอะค่ะไปพระรามแปดตามที่อยู่แล้วกันค่ะ” ฉันไม่อยากหลุดความอายเพราะไม่ใช่คนกรุงเทพแล้วขอให้แท็กซี่ขับไปส่งที่พระรามแปดตามที่อยู่ที่ส่งให้ก็แล้วกัน ไม่อยากแถให้อายแล้ว ยิ่งพูดยิ่งหลุดภาษาถิ่นมากกว่าเดิม “แท็กซี่คะ ถึงทางขัวแล้วเลี้ยวซ้ายนะคะ” แท็กซี่ได้ยินเมื่อฉันบอกว่าถึงทางขัวให้เลี้ยวซ้าย สรุปเลี้ยวไปทางขวา บอกเลยว่ามันผิดทาง เถียงกับแท็กซี่คอป็นเอ็น กว่าจะสรุปได้ว่าขัวในความหมายของฉันคือสะพาน แล้วยังมาถามอีกว่าจะขึ้นสะพานปกติหรือทางด่วน ฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ากรุงเทพมีทางด่วนแล้วเหรอ แล้วต้องขึ้นสายไหนต้องศึกษาอีกหลายวันเลย “คุณครับ ทางด่วนเขามีมาเป็นชาติแล้วนะ ผมว่าผมคุณยอมรับดีกว่าว่าคุณเป็นคนต่างจังหวัด ผมไม่กดราคาไม่ยุติธรรมหรอก” “ก็ได้ค่ะ หนูเป็นคนเชียงใหม่ค่าาา” “เอางี้นะครับ คุณเข้าไปโหลดพีดีเอฟที่หน้าเอกสารเขียนว่า กรุงเทพเบื้องต้น 101 นะครับมาศึกษาจะได้ไม่โป๊ะนะครับ” ผมแนะนำให้แล้วว่าถ้าเข้ากรุงเทพแล้วโปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจจะเข้ามาเยือนที่นี่ เพราะยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังต้องเรียนรู้มากจนเป็นสัญชาติคนกรุงเทพ “101 คือรหัสวิชาที่คนร้อยเอ็ดสร้างเหรอคะ” “มันคือรหัสวิชาเริ่มต้นก่อนเรียนรู้จริงครับ” ผมเป็นคนขับแท็กซี่มาพักหนึ่งไม่เคยปวดหัวกับผู้โดยสารท่านนี้ ดูท่าทางจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับกรุงเทพแต่ไม่กล้ายอมรับกลัวคนหาว่าบ้านนอก ซึ่งผมเองไม่คิดแบบนั้นเอาเป็นว่าผมจะไปส่งเขาให้ถึงที่หมายแล้วให้ราคาพิเศษแล้วกัน เวลาต่อมา แท็กซี่ขับรถพาฉันมาส่งที่หน้าบ้านของเพลนส์แล้ว ระหว่างทางฉันก็คุยกับคนขับแท็กซี่ด้วยความเขินอาย หลุดภาษาถิ่นไปเยอะมากจนเขาไม่เชื่อแล้วว่าฉันเป็นคนกรุงเทพ ใจไม่อยากลืมกำพืดจากบ้านเกิดหรอกแต่ไม่อยากให้ใครล้อเลียนว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง ต่อให้ทุกพื้นที่ความทันสมัยจะเข้าถึงแล้วก็ตาม แท็กซี่ถือว่ายังมีน้ำใจลงมาช่วยขนสัมภาระลงที่บ้านให้พอเสร็จก็ออกไปขับรถรับผู้โดยสารคนต่อไป ฉันโทรหาใครก็ไม่รับสาย พะโล้น้องเวรก็ติดเพื่อนติดพี่ไปเที่ยวกรุงเทพจนลืมพื้นถิ่นตัวเองไปแล้วมั้ง โทรหาเพลนส์มันก็ไม่รับสาย โยนโทรศัพท์ออกดาวอังคารไปแล้วหรือไง ก่อนหน้านั้นก็ลืมไปว่ามันไม่ได้ฝากกุญแจบ้านให้แล้วฉันจะเข้าไปยังไง ยืนรอแสงแดดแผดเผาในประเทศไทยนานกว่าสิบนาที ผิวละลายหมดแน่นอน “แล้วฉันจะเข้าบ้านยังไงล่ะเนี่ย...” ฉันไม่รู้จะเข้ายังไง เอาเป็นว่าขอเข้าด้วยวิธีเหมือนที่เคยทำตอนเด็ก หันทุกทิศทางแล้วไม่มีใครเห็น ฉันรีบปีนเข้าบ้านไปรอทันทีแต่นึกว่าจะรอดที่ไหนได้มีคนเห็นแถมตะโกนนว่าฉันเป็นโจรทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ฉันตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตัวอยู่บนรั้วแล้ว “ช่วยด้วยค่า โจรขึ้นบ้านน้องเพลนส์” “ไม่ใช่นะคะ อ๊ายย” ฉันตกใจเมื่อเพื่อนบ้านตกใจกับท่าทางน่าสงสัยของฉัน เจ้าของบ้านหลังนี้ไม่อยู่แล้วฉันต้องการเข้าไป ไม่อยากทนร้อนอย่างเปล่าประโยชน์ทำให้ฉันเกิดความคิดชั่วปีนเข้าบ้านเหมือนที่เคยทำเมื่อก่อน งานนี้ไม่ห้องกรงก็บางขวางแน่นอน โดนลากให้ลงจากรั้วขนาดนี้ จะแก้ตัวได้ยังไงหลักฐานชัดเจนขนาดนี้แล้ว “เอ๊ะ...” ผมกำลังขับรถกลับบ้านเพราะเห็นว่าวันนี้มีแขกคนสำคัญอย่างเดนิชมาที่บ้านทั้งทีก็ต้องต้อนรับอย่างดี ผมกำลังจะถึงบ้านเห็นพี่สาวสวยข้างบ้านผมกำลังทะเลาะกับผู้หญิงอีกคน ดูแล้วจะตบกันให้ได้ มันก็ไม่มีอะไรหรอกแต่ถ้ามองดูดี ๆ นั่นมันเดนิช “เดนิชชช” ผมคาดว่านิสัยปีนเข้าบ้านคนอื่นน่าจะยังไม่ลบล้างออกไปจากตัวเธอ ต่อให้อายุนิติภาวะ แต่นิสัยการปีนเข้าบ้านคนอื่นเหมือนตอนเด็กยังไม่หายไปแล้วการกระทำของเธอคงไปเข้าตาเพื่อนบ้านที่เห็นแล้วคิดว่าบ้านผมมีมิจฉาชีพมาเป็นแขก ผมจอดรถแล้วลงไปห้ามเหตุการณ์ให้สงบลง ไม่งั้นเพื่อนบ้านได้จับเดนิชส่งตำรวจข้อหาเข้าบ้านคนอื่นเพื่อลักทรัพย์ “เพลนส์ มึงช่วยยืนยันหน่อยว่ากูไม่ใช่ขโมย” “มึงไม่โทรบอกกูอะ ปีนเข้าบ้านแบบนี้เขาคิดว่ามึงเป็นโจรหมด” ผมรีบไกล่เกลี่ยกับเพื่อนบ้านว่าผู้หญิงคนนี้เขาเป็นคนสนิทของผม จะเดินทางมาก็ไม่บอกล่วงหน้า ผมก็เลยไม่ได้ให้กุญแจบ้าน อีกอย่างผมยุ่งอยู่จนปิดเสียงไว้สุดท้ายก็จบที่ปีนเข้าบ้าน “เข้าไปได้แล้ว” ผมเข็นรั้วบ้านจนสุดรางเพื่อเอารถยนต์คู่ใจของผมเข้าไปในบ้าน และจะได้อันเชิญแขกคนสำคัญของผมเข้าไปตามทางปกติเหมือนที่มนุษย์เขาทำกันไม่ใช่ปีนเข้าเวลาไม่อยู่จะได้เข้าไปรอ ถ้ากับผมถือว่าคุ้นตาแต่ถ้าทำกับคนอื่นถือว่าไม่มีมารยาทและไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้าน ยังมีหน้ามาขอบคุณผมอีก เกือบได้ไปประกันตัวให้แล้วไหม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD