“ทันทีที่เครื่องบินลงจอดบนรันเวย์” ผู้พันฮาคิมบอกแผนการของตนเองให้ลูกน้องทราบ
“ผู้พันคิดว่าเจ้าหญิงจะยอมมากับพวกเราง่ายๆ ไหมครับ”
ผู้กองฟาดิสเอ่ยถามติดรอยยิ้มบนใบหน้า มั่นใจว่าผู้บังคับบัญชาของตน คงมีแผนเด็ดไว้รอรับมือกับเจ้าหญิงผู้ดื้อรั้น
“คงต้องให้หิมะตกบนแผ่นดินทะเลทรายในประเทศคาลาส์ก่อน ไลอาด์ถึงจะเชื่อฟัง และยอมทำตามคำสั่งของเราง่ายๆ”
“ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน” ผู้กองฟาดิสเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ใช่! ไม่มีทางเป็นไปได้” ผู้พันฮาคิมรับคำ “ไลอาด์คงติดนิสัยนี้มาจากเรา”
“ข้อนี้ผมไม่ปฏิเสธครับ”
คราวนี้ผู้กองฟาดิสแทบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว ซึ่งผู้พันฮาคิมเองก็ยอมรับเป็นอย่างดี
“ไลอาด์คงได้ร้องลั่นจนแสบแก้วหูกันไปข้าง”
“แล้ว...ผู้พันจะทำการชิงตัวโดยละม่อมไหมครับ”
“คิดว่าไม่นะ”
ผู้พันฮาคิมตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาคมกริบไหววาบอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อเจ้าหญิงไลอาด์ไม่มีทางยอมไปกับเขาง่ายๆ เพราะฉะนั้นต้องใช้วิธีการชิงตัวเจ้าหญิงออกมาจากเครื่องบินด้วยวิธีที่เขาถนัด และได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากหน่วยสเปซนาซ
“สำหรับไลอาด์...ไว้ให้เป็นหน้าที่ของเราเอง นายเข้าไปจัดการกับไอ้ผู้ชายหน้าปลาจวดที่เป็นคู่หมั้นของเธอ ลากตัวไปให้ไกลเราที่สุด ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รับประกันความปลอดภัยของเขา”
คำเหน็บแนมของผู้พันฮาคิมทำเอาผู้กองฟาดิสแทบสำลัก พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงกัดฟันดังกรอดเล็ดลอดเข้าหู ผู้บังคับบัญชาของเขากำลังโกรธเพราะพิษของความหึงหวง
“ว่าแต่...เจ้าหญิงมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไรครับ”
ก่อนหน้านี้ผู้กองฟาดิสได้ยินเสียงผู้พันฮาคิมสบถลั่นระหว่างคุยโทรศัพท์กับเจ้าหญิงไลอาด์ ซึ่งเขาเองก็สงสัยในเรื่องนี้ไม่แพ้กัน
“เป็นคำถามที่เราตอบไม่ได้ เพราะเราก็เพิ่งรู้ว่าไลอาด์มีคู่หมั้น และเธอจะพาไอ้หน้าปลาจวดคนนั้นกลับมาประเทศคาลาส์ด้วย”
น้ำเสียงที่เค้นตอบลอดไรฟัน บ่งบอกให้รู้ว่าผู้พันฮาคิมถูกพิษลมหึงเล่นงานอย่างเต็มที่ นอกจากดวงตาที่วาวโรจน์เพราะความโกรธแล้ว ยังมีเสียงกัดฟันดังกรอดเล็ดลอดออกมาด้วย
“ไม่ว่าคู่หมั้นของไลอาด์จะเป็นใครหน้าไหน นายต้องกันผู้ชายคนนี้ออกไปให้ไกล อย่าให้เขาเข้าใกล้ไลอาด์ได้เป็นอันขาด”
“รับทราบครับ เขาจะไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้เจ้าหญิงไลอาด์อย่างแน่นอนครับ”
ผู้พันฮาคิมพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ ดวงตาคมกริบไหววาบขณะใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ไลอาด์มาด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวใช่ไหม”
“ครับ ผู้พัน”
“ถ้ายังงั้นนายหาทางติดต่อกับกัปตัน ให้นำเครื่องบินไปลงจอดอีกสนามบิน”
“ผู้พันหมายถึงสนามบินลับใช่ไหมครับ”
“ใช่! สนามบินลับ” ผู้พันฮาคิมตอบเสียงลึกอยู่ในลำคอ “เราจะไปรอรับไลอาด์ที่นั่น และสั่งกัปตันห้ามแพร่งพรายเรื่องการเปลี่ยนเส้นทางบินด้วย”
มีแค่ไม่กี่คน ที่รู้ว่ามีสนามบินขนาดเล็กอยู่ในหุบเขา เป็นสนามบินลับไว้สำหรับลงจอดหรือทะยานขึ้นบนท้องฟ้าในยามคับขัน กัปตันที่จะลงจอดในสนามบินแห่งนี้ ต้องมีฝีมือการบินระดับพระกาฬ จึงจะสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย
และภายในหุบเขาแห่งนี้ นอกจากจะมีสนามบินซุกซ่อนอยู่แล้ว ยังมีบ้านพักอีกสี่ห้าหลัง ซึ่งเป็นบ้านพักส่วนตัวของผู้พันฮาคิมและเหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาด้วย เรียกได้ว่าเป็นฐานทัพลับ ที่ไม่เคยปรากฏบนแผ่นที่ของประเทศคาลาส์ และไม่สามารถค้นหาด้วยระบบดาวเทียมได้
“ป่านนี้ลูกน้องของไอ้นาฟซาคงไปดักรออยู่แถวๆ สนามบินคาลาส์แล้ว” ผู้กองฟาดิสมองภาพออกว่าคนชั่วกระหายเลือด ต้องไปดักรอเจ้าหญิงไลอาด์ตั้งแต่ไก่โห่
“แน่นอน! พวกมันคงยกโขยงไปรอต้อนรับไลอาด์แล้ว ตอนนี้ในสนามบินคาลาส์คงมีลูกน้องของไอ้นาฟซาเดินให้ควั่กไปหมด”
มันแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง ว่าลูกน้องของนาฟซาไปปูพรมแดงรอต้อนรับเจ้าหญิงไลอาด์ ทันทีที่เครื่องบินแตะกับรันเวย์ เจ้าหญิงไดอาด์จะตกอยู่ในมือของคนชั่ว ที่ต่างก็เข้าไปรุมทึ้ง แย่งกันชิงตัวเธอมาให้ได้ ซึ่งพวกมันพร้อมมอบความโหดเหี้ยมให้กับเจ้าหญิงในทุกรูปแบบ
“ผู้พันจะให้เจ้าหญิงอยู่ในพระราชวังกับท่านชีค หรือว่าจะให้อยู่ในบ้านพักที่หุบเขาครับ” ผู้กองฟาดิสยังสงสัยในเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าผู้พันฮาคิมจะตัดสินใจอย่างไร
ผู้พันฮาคิมนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบออกมา “เราจะให้ไลอาด์ไปอยู่ในบ้านพักที่หุบเขา มีนายและคนอื่นคอยอารักขาให้เธอด้วย”
“หวังว่าเจ้าหญิงจะยอมไปง่ายๆ ไม่มีขัดขืนแม้แต่นิดเดียวนะครับ” ผู้กองฟาดิสเอ่ยยิ้มๆ ทั้งๆ รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
“เราก็หวังเช่นนั้น” ผู้พันฮาคิมได้แต่หวัง ทว่ามั่นใจว่าเจ้าหญิงไลอาด์คงไม่ยอมแน่นอน “นายไปจัดติดต่อกับกัปตันให้เรียบร้อย เที่ยงคืนของวันนี้ เราจะออกจากที่นี่ ไปรอรับไลอาด์”
“ครับผู้พัน”
ผู้กองฟาดิสรับคำก่อนจะใช้โทรศัพท์ดาวเทียมที่ซุกซ่อนไว้เป็นอย่างดี โทร.ติดต่อกับกัปตันเครื่องบินเป็นการเร่งด่วน
“เฮ้อ...ไลอาด์ ทำไมต้องกลับมาประเทศคาลาส์ในตอนนี้ด้วย ทำไมไม่เชื่อฟัง ทำไมไม่รู้จักทำตามคำสั่งของผมบ้าง”
ผู้พันฮาคิมได้แต่ตั้งคำถามด้วยความหนักใจ เขาไม่กลัวความตาย หากต้องเผชิญหน้ากับนาฟซาหรือลูกน้องเป็นฝูงของมัน แต่เขาเป็นห่วงเจ้าหญิงไลอาด์ผู้เป็นเจ้าดวงใจมากกว่า
เจ้าหญิงไลอาด์ไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ถึงได้ดื้อรั้นหัวชนฝา และแน่นอนว่าคงมีการปะทะคารมกันหลายยก กว่าเจ้าหญิงไดอาด์จะยอมทำตามคำสั่งของเขา
เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวก็จะลงจอดบนรันเวย์ในสนามบินนานาชาติคาลาส์ เจ้าหญิง
ไลอาด์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทอดสายมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน แค่เพียงได้เห็นแผ่นผืนทะเลทรายสีทอง หัวใจก็เต้นแรงกระหวัดคิดถึงเจ้าของแผ่นดินแห่งนี้
“ผู้พันจะมารับไลอาด์ที่สนามบินไหม” เจ้าหญิงไลอาด์พึมพำ อยากฝากคำถามนี้ไปถึงผู้ที่เป็นเจ้าดวงใจ
และทันทีที่ลงจากเครื่องบิน เจ้าหญิงอยากพบหน้าผู้พันฮาคิมเป็นคนแรก แต่เมื่อคิดได้ว่าผู้พันฮาคิมไม่มีทางมารอรับเธอแน่ เพราะเขามีหญิงอื่นคอยเคียงข้างกายในตลอดเวลา ใบหน้างามและดวงตาคู่สวยก็ถูกความหมองเศร้าเข้ามาครอบคลุมในทันที
“ไม่มีทาง...ผู้พันไม่มีทางมารอรับผู้หญิงที่เขาหมดรักแล้ว”
น้ำเสียงที่รำพันติดสั่นเครือ ดังเล็ดลอดเข้าหูของธาซิมซึ่งนั่งคู่กัน และเมื่อเห็นดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจากการกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบใจผู้เป็นนายหญิง