3
“ทำไมถึงไม่แสดงออกให้รู้ล่ะว่าเราสนใจเขาน่ะ กลัวอะไร หน้าตาแกเองไม่ถึงกับหล่อมากมาย แต่ก็ดูดีนะกล้า” ตวัดสายไล่มองใบหน้ารูปสามเหลี่ยม นัยน์ตาสีดำเข้มออกเค้าหวาน ใต้กรอบตากว้างลึก ขนตายาวงอน จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากหนาหยักสีสด เสียอย่างเดียวคือผิว...หมึก
“เพราะเราจนน่ะสิลูกไก่ พ่อเราทำงานอะไร รับจ้างขับรถโดยสารไปวันๆ หาเช้ากินค่ำ ในขณะที่เขาเป็นถึงลูกสาวของนายกอบต. มีคนนับหน้าถือตา ฐานะต่างกันราวกับราวกับแม่ค้าหาบเร่แผงลอยกับภัตตาคารเลิศหรู” เอ่ยบอกเสียงเศร้าไม่แพ้หน้าตาละห้อยโหยหา
กฤติกาหัวเราะคิกคักกับสำนวนเปรียบเทียบของเพื่อนหนุ่ม “เอาน่า อย่าเพิ่งท้อ ใครจะรู้ละอนาคต แม่สาวภัตตาคารอาจวิ่งลงมานอนชักดิ้นกระแด่วๆ ในอ้อมอกไอ้หนุ่มลูกแม่ค้าหาบเร่ก็ได้นี่น่า” มือเล็กยกขึ้นตบบ่ากว้างแรงๆ ใครจะคิดล่ะว่าจะมาเจอเข้ากับเรื่องน้ำเน่าใกล้ตัวขนาดนี้ ความรักต่างชนชั้น
“รู้ด้วยเหรอ” แสงกล้ายิ่งอายจนสีหน้าเข้มแดงระเรื่อขึ้น เสยกมือขึ้นลูบไล้ต้นคอและผันหน้าไปทางอื่น
“ดีใจด้วยนะกล้า ฉันล่ะคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าแกจะกล้าบอกรักเขา ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า ผู้ชายขี้อายไม่กล้าสบตาสาวอย่างแก ชาตินี้จะหาแฟนได้หรือเปล่าน่ะ”
“แกก็พูดเกินไป คนเราเมื่อถึงเวลามันก็ต้องตัดสินใจ ก็เท่านั้น” อย่างเช่นเขา ทุกวันนี้ถึงจะเรียกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแฟน ก็ยังได้ไม่เต็มปาก เป็นการคบหาดูใจระหว่างคนสองคนที่ผู้ใหญ่ยังไม่รับรู้เสียมากกว่า แต่ได้แค่นี้ก็ดีมากมายสำหรับคนอย่างเขาแล้วล่ะ
“เลิกสนใจเรื่องของฉันดีกว่า แกนั่นแหละ คงไม่ต้องถามว่าสบายดีหรือเปล่า ก็เห็นๆ อยู่ว่าหน้าตาผ่องใส คงต้องถามว่าตอนนี้เรียนจบแล้วใช่ไหม มีงานทำหรือยัง ต้องการให้ฉันช่วยไหม โรงแรมที่ฉันทำงานอยู่เปิดรับสมัครพนักงานอยู่นะ แต่คงต้องรอคิวนานหน่อย ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงหน้าไฮด้วย”
“ไม่ละ แกก็รู้ ฉันมันพวกหลุดกรอบ ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร ตอนนี้ทำงานส่วนตัวอยู่ ว่างๆ ก็แวะไปดูสิ ร้านฉันอยู่หน้าหาด” เมื่อเห็นคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันก็รีบเฉลย
“แกก็รู้ ฉันฝันอยากเป็นไกด์ แต่นะ...บางครั้งบางคราเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด” ไหล่กว้างเลิกขึ้นสูง เอนตัวอิงขอบเก้าอี้หินอ่อน แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ซึ่งมีเมฆหมอกสีขาวรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยล่องไป
“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มทาบมือจับแขนเรียวอย่างต้องการให้กำลังใจ
“เปล่า! ไม่มีอะไร” กฤติกาตอบกลับเสียงสูงลิ่วอย่างมีพิรุธอย่างชัดเจน
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเองแหละ” หญิงสาวดึงแขนออกมาโอบรอบลำขาเสลา เธอนี่นะหัวแข็ง ชอบปลุกระดมให้พนักงานแข็งข้อ ตรงไหนวะ ก็แค่...ดีก็บอกว่าดี ไม่ดีก็บอกให้รู้ ชอบพูดอะไรที่มันตรงๆ ไม่ชอบอะไรที่มันต้องเวียนอ้อมไปรอบเมือง ทั้งที่เส้นทางตรงที่สุดน่ะใกล้เพียงแค่ปากกับจมูกเท่านั้นเอง เลยถูกอันเชิญตัวไปคุย คุยและคุยก่อนตกลงกันตรงที่ว่า...
“ถือว่าเราพบกับครึ่งทางดีกว่านะคุณกฤติกา อย่าให้ทางเราต้องใช้มาตรการขั้นรุนแรงกับคุณเลย”
“คุณจะให้ฉันทำยังไง” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแข็งลอดไรฟันอย่างพยายามข่มกลั้นเพลิงโทสะที่พุ่งลิ่วๆ ขึ้นมา เชิญตัวมาคุยหรือ...คุยอะไรกันวะ มีแต่ตัวเองพูดอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องมันเป็นอย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ
‘ที่คุณไปชักชวนให้พนักงานรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องสิทธิประโยชน์เพิ่ม ตั้งแต่บ้านพัก อาหารการกิน เสื้อผ้า การเดินทาง วันหยุดและ...บลาๆ บลาๆ ทางเราคิดว่าเราให้คุณมากพออยู่แล้ว ทางเราเตือนคุณไปก็หลายครั้ง แต่คุณก็ยังไม่หยุดพฤติกรรมนั้น ผมและทางผู้บริหารเห็นสมควรว่า...เราขอให้คุณพิจารณาตัวเอง ลาออกไปซะ โดยทางเราจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะคุณทำงานดีมาตลอด ทางเราเลยยินดีจ่ายเงินชดเชยให้ตามที่คุณสมควรจะได้รับ’
แม้จะรับไม่ได้อย่างแรง ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แต่รู้ดีว่าขืนดื้อรั้นดันทุรังไป ไม่ใช่ใครจะเดือดร้อน ก็เป็นมดตัวเล็กๆ ที่ปากเสียงมีแต่ไม่มีพลังอย่างเธอนี่แหละ อีกอย่าง ได้เงินมาก้อนหนึ่งไว้เป็นทุนรองรัง โดยไม่ต้องแบมือเงินขอแม่ ให้ถูกว่ากล่าวกระทบกระเทียบก็ดีแล้ว
“ว่าแต่ร้านแกชื่ออะไร” คุ้นๆ ว่ามีร้านทัวร์เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อไม่นานมานี้ หวังว่านั่นคงจะไม่ใช่ร้านของ...แสงกล้ามองหน้าเพื่อนสาวราวกับถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ
“เออ...นั่นแหละ ร้านฉันเอง” กฤติกาพยักหน้ารับหงึกๆ ฉีกยิ้ม นัยน์ตาวาววับ คิ้วโก่งได้รูปยกขึ้นยิกๆ
“แกคิดได้ไงวะลูกไก่ ชื่อร้าน...” โอ๊ย!! อยากบอกว่าปวดเฮด ตั้งมาได้ยังไงนะ
“ทำไม ฉันใช้ชื่อร้านว่า ‘ลูกเจี๊ยบจ๊อกจ๊อก ทัวร์’ มันแปลกมากนักหรือไง ไม่ได้ไปฆ่าพ่อแม่ใครตายนี่หว่า” นี่ก็อีกคน มีปัญหากับการตั้งชื่อร้านของเธออีกแล้ว ไม่รู้หรือไง ตั้งชื่อแปลกๆ นะ เรียกคนเข้าร้านได้ดีจะตาย นี่ขนาดว่าไม่ใช่หน้าทัวร์ ที่มีแขกมาท่องเที่ยวเยอะนะ วันหนึ่งๆ เธอมีรายได้เข้าร้านเหยียบสองพันบาทอยู่นะ อยู่ได้สบายเลยล่ะ กฤติกาฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับอย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด ร้านของเธอถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามเชียวล่ะ กับการเปิดในหน้าที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว แต่มีรายได้เข้าร้านวันละเป็นพันแบบนี้
“เออ... ให้มันเจริญๆ แล้วกัน” ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะอึ้งจนพูดไม่ออกเสียมากกว่า
“อ้าว แกพูดอย่างนี้หมายความว่าไงไอ้พระแสงกล้ามีดบิ่น แช่งกันนี่หว่า” ดวงหน้าขาวใสงอง้ำ นัยน์ตากลมใสเริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า กลีบปากอิ่มสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันอย่างเอาเรื่อง
แสงกล้าสะบัดศีรษะ ขึ้นชื่อเขาด้วยไอ้และเรียกยาวต่อท้ายมาด้วยสรรพนามแปลกๆ เมื่อไหร่ แสดงว่าเพื่อนสาวไม่เริ่มไม่พอใจแล้ว ให้เขารีบดึงการสนทนาออกไปเส้นทางอื่น ก่อนความโกรธนั้นจะทำให้อีกฝ่ายงัดเรื่องน่าอายๆ ของเขามาพูดประจานให้อายเพื่อนฝูง
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แกคิดมากไปเองต่างหากล่ะ ว่าแต่แกเถอะ มาจากไหนนะ ไหนว่าเปิดร้านแล้วทำไมถึงไม่เฝ้าร้าน”
“ฉันก็มีธุระปะปังกันบ้างสิ จะให้นั่งเฝ้าร้านตลอดยีบสี่ (ยี่สิบสี่) ชั่วโมงได้ไงกัน” หญิงสาวตวัดค้อนขวับๆ ใส่เพื่อนที่พอมีแฟนแล้วรู้สึกว่าหน้าตาจะแจ่มใสขึ้น ยิ้มเก่งหัวเราะง่ายเสียเหลือเกิน เห็นอย่างนี้แล้วชักจะอิจฉา อยากมีแฟนมาคอยดูและกะเขามั่งจัง แต่พอคิดอีกที ไม่ดีกว่า มีลูกกวนตัว มีแฟน (ผัว) กวนใจ มีทั้งลูกมีทั้งแฟน (ผัว) กวนทั้งตัวกวนทั้งใจ
“พอดีแม่มาหานะ ฉันเลยถือโอกาสมาส่งของไปรษณีย์ก่อน เห็นว่าร้านอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เลยเดินกลับ จะได้ดูโน่นดูนี่ไปบ้าง เพื่อเจออะไรดีๆ จะได้นำไปปรับปรุงร้านให้มันเลิศสะแมนแตน จะได้เรียกลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ ทีนี้ ฉันก็รวย นั่งนับเงินเป็นคุณนายไงแก” กฤติกาพูดให้เว่อร์ไว้ก่อน กลบเกลื่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ในใจ แต่คนฟังคือเพื่อนซึ่งคบหากันมาตั้งแต่เด็ก มีหรือที่แสงกล้าจะไม่รู้น่ะ
“ทำไมถึงไม่ขับรถมาเอง...นี่แกยังขับรถไม่เป็นอีกหรือลูกไก่ ไหนบอกฉันว่าจะไปหัดไง ขับรถมอไซด์คันนิดเดียวเท่านั้นนะแก ง่ายกว่าแกไปขับเรือในทะเลเสียอีก” แสงกล้าถามพร้อมสะบัดศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ กลอกตาไปมา ทีอย่างนี้ละก็กลัวเจ็บ กะอีแค่เอาตัวไปคลุกฝุ่น วัดดูความหนาความแกร่งของพื้นถนนสักทีสองทีมันจะเจ็บสักแค่ไหนเชียว ทีไปตะลอนๆ ปีนเขาลงห้วย ดำน้ำดูปะการังไม่เห็นจะกลัวเป็นอะไรเลย