เช้ารุ่งขึ้นหลังจากจัดการอาหารเช้าที่ประกอบด้วยกระต่ายที่โชคร้ายโผล่เข้ามาใกล้พอดีจึงกลายเป็นกระต่ายย่าง ผลไม้ที่เก็บมาตามทางแค่นี้ก็มีอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองเริ่มขึ้นเขาต่อไป ต้องลึกเข้าไปอีกสักเท่าใดจึงจะพบสมุนไพรทั้งสอง สภาพเราทั้งสองตอนนี้ไม่เหลือคราบผู้บำเพ็ญเพียรที่สงบเรียบร้อยอีกต่อไป คล้ายขอทานที่ย่ำแย่สกปรกมอมแมมทั่วทั้งตัว พื้นที่เหยียบก็ทรุดลงอย่างกระทันหัน
“ศิษย์น้องเจ้าระวัง!.."
“จิ่วเอ๋อร์!!!”
พวกเรากำลังล่วงหล่น….
อุ๊ค…ขาข้า (เหมือนหมูทับขา) จิ่วเอ๋อร์ ศิษย์พี่ท่านหล่นมาบนตัวข้า ข้ากำลังจะตายใครก็ได้ช่วยด้วย ยัง..ยังนั่งอยู่อีกลงไปจากตัวข้าได้แล้ว
“ศิษย์พี่ ท่านลุกจากตัวข้าก่อนได้หรือไม่”
เสียงครางเบาๆข้างใต้ ทำให้ข้าหายตกใจมิน่าทำไมตกลงมาตั้งไกลไม่รู้สึกเจ็บหนักที่แท้ศิษย์น้องที่น่ารักเสียสละเป็นเบาะรองให้ข้านี่เอง ละอายใจยิ่งนัก 555
“ข้า ขอโทษ” ข้าขยับลงจากตัวนางแล้วเอื้อมไปประครองนางค่อยๆขยับตัวขึ้น
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยๆ ไหวไหม เจ็บมากไหม”
“เจ้า .. เจ้าช่างน่าตายยิ่งนัก ทำไมไม่รีบลุกออกจากตัวข้า ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว”
“ฮวาเอ๋อร์ ฮ่าฮ่าฮ่า..ไม่ไหวแล้ว หน้าเจ้า…ดำยิ่งนัก”
จิ่วเอ๋อร์ขำหนักมากพลางชี้นิ้วไปที่ใบหน้าจิ่วเหมยฮวา ทั้งสองคนหล่นลงมาบนพื้นที่อ่อนนุ่มเป็นดินโคลน มีใบไม้ทับถมเป็นจำนวนมากทำให้ไม่ได้รับอันตราย มีเพียงรอยขีดข่วนที่เพิ่มขึ้นมาและจุดฟกช้ำตามร่างกายไม่กี่จุด อยู่ๆจิ่วเหมยฮวาก็ยิ้มก่อนเอื้อมมือมาอย่างว่องไว หน้าข้า!!!
“เจ้าแกล้งข้า”
“เพื่อความเท่าเทียมไงศิษย์พี่”
จิ่วเหมยฮวาละความสนใจจากศิษย์พี่ของนางไปสนใจเจ้างูขาวที่เก็บมา จิ่วเอ๋อร์มองดูท่าทางรักใคร่เอ็นดูของจิ่วเหมยฮวา(เหมือนนางจะชอบมันมาก) หรือข้าจะต้องพยายามชอบ(งู)ตามนางไปด้วยเพราะคงจะต้องเจอกันไปตลอดทางจนกว่าจะกลับถึงอาราม
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้างูน้อย เจ้าถูกพวกข้าทับแบนไปแล้วหรือยัง เจ้ายังดีอยู่หรือไม่”
จิ่วเหมยฮวาเทงูขาวออกมาจับคอไว้ยกขึ้นสูงในระดับสายตามองเห็นแล้วจับมันหมุนไปหมุนมาดวงตากลมโตจ้องมองตรวจสอบทุกมุม จับไปแกว่งในน้ำจนนางคิดว่าสะอาดแล้วเอาผ้ามาซับจนเกล็ดแห้งสนิท จับแมลงมาป้อน เจ้างูขาวไม่กิน(ข้าไม่กินของชั้นต่ำนั่นหรอก ข้าคือมังกรเชียวนะ) สุดท้ายเห็นเจ้างูขาวไม่ยอมอ้าปากกินนางก็เก็บลงห่อผ้าไว้อย่างเดิม
ต้นไม้ในป่าแถบนี้มีความสูงใหญ่กว่าชายป่าด้านนอกและมีจำนวนต้นขึ้นหนาแน่นมากกว่า ยอดไม้ด้านบนเบียดเสียดกันก็ปิดคลุมแทบไม่มีแสงตะวันส่องลงมาถึงพื้นดิน จิ่วเหมยฮวาและจิ่วเอ๋อร์สองคนเดินสำรวจพื้นที่ที่หล่นลงมาเกือบค่อนวัน จู่ๆก็มีเสียงหึ่งๆดังแว่วมาจากทางด้านหน้า เสียงนี้ฟังดูคล้ายเสียงสัตว์จำพวกผึ้งหรือต่อ สายตาของทั้งสองสอดส่ายเพื่อพยายามมองหาแหล่งที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง ใช่ ! เป็นฝูงต่อแต่นี่มันต่อยักษ์ พวกมันแต่ละตัวมีขนาดใหญ่เท่ากาน้ำชาในอารามเลยทีเดียวปีกบนหลังสั่นไหวทำให้มีเสียงดัง
ทั้งสองทรุดตัวแอบหลังพุ่มไม้หนาแน่นห่างไปสักห้าสิบก้าวทันทีที่มองเห็นฝูงต่อยักษ์ ฝูงต่อกำลังรุมซากสัตว์บนพื้นมองไม่ออกว่าเป็นสัตว์ชนิดใดที่โชคร้ายพวกนางมองเห็นเพียงต่อดำลายเหลืองแดงสดบินวนขึ้นๆลงๆ นับว่าพวกนางสองคนโชคยังดีมากการฝึกฝนร่างกายและวิทยายุทธ์ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ความสามารถในการได้ยินไวกว่าปกติไม่เดินทะเล่อทะล่าเข้าไปจนกลายเป็นอาหารจานถัดไปของพวกมัน จิ่วเหมยฮวาและจิ่วเอ๋อร์หันเข้าหากันก่อนจะพยักหน้าให้กันค่อยๆ ถอนเท้าถอยหลังกลับอย่างเบาๆไร้เสียงรบกวน (พวกนางมิกล้ารบกวนพวกมันอย่างเด็ดขาด) เมื่อถอยมาจนไกลมากราวๆ สิบฉื่อคิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้วก็หันหลังกลับออกวิ่งทันที
“รอดแล้วๆ โชคดีที่เราได้ยินเสียงพวกมันก่อน มิเช่นนั้นซากต่อไปที่พวกมันจะแทะกินคงไม่พ้นเราสองคนเป็นแน่ ศิษย์น้อง”
“ใช่ โชคดีที่ได้ยินเสียก่อน”
เดินมาอีกห้าหกลี้ทั้งสองได้พบนกตัวหนึ่งตกอยู่ มองแล้วน่าจะเป็นลูกนกกระมังขนของมันยังขึ้นไม่ทั่วตัวเลย ตัวใหญ่เท่าลูกวัวแรกเกิด ขนอ่อนที่มองเห็นมีสีแดงเพลิง มีหงอนน้อยๆสีเหลืองสดสวยงามมาก มองดูบริเวณต้นไม้รอบๆ ที่สูงจนต้องแหงนคอตั้ง มันส่งเสียงร้อง(แกว๊กๆ แกว๊กๆ) ส่งสายตาระแวดระวังมองมาก่อนจะจ้องไปที่จิ่วเหมยฮวา ทั้งสองหยุดเดินใกล้ๆ
“ศิษย์น้องเจ้ากล้าเกินไปแล้วมือที่ยื่นมือไปแตะที่ขนของลูกนกตัวใหญ่นั่นไม่อยากเก็บไว้หรือไร หากเจ้าเห็นปากของมันหรือไม่ หากมันจิกเจ้ากระดูกแขนต้องหักแน่”
“จิ่วเอ๋อร์ เจ้าดูสิไม่มีอาการเกรี้ยวกราดดุร้ายใส่ข้าสักนิด”
“เจ้าควรระวังมากกว่านี้มันอันตรายเกินไปนะ”
“ข้าถึงได้พยายามทำให้มันรู้สึกว่าพวกเราเป็นมิตรไม่ได้คิดจะทำร้ายมัน.
จิ่วเอ๋อร์มองดูท่าทางที่ค่อยๆลูบไปบนขนที่ปีกเบาๆ กับท่าทางของนกที่หรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายพอใจที่ถูกลูบเช่นนี้
“เจ้านกน้อยให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าเป็นอะไร เจ้ามีบาดแผลที่โคนปีกคงด้วยนี่ คงจะตกลงมาจากด้านบนสินะ พ่อแม่เจ้าไปไหนกันหล่ะ”
จิ่วเอ๋อร์ แถวนี้น่าจะพอหาสมุนไพที่ใช้ทำแผลให้มันได้ พวกเราลองช่วยกันดูหน่อยเถอะ”
“อือ”
ห่างไปไม่ไกลนัก สองคนช่วยกันหาสมุนไพรจนพบใช้ชายผ้าฉีกเป็นเส้นเล็กๆพันปิดไว้ด้านนอก ก่อนจะบอกลามันเพื่อเดินทางต่อไป ลูกนกส่งเสียงร้องคล้ายจะเรียกให้พวกนางอยู่ต่อแต่พวกนางเองก็มีเป้าหมายที่เร่งด่วนไม่อาจจะอยู่ดูแลมันได้ นางได้แต่หวังว่าพ่อและแม่นกจะมาพบลูกนก (ยักษ์) ตัวนี้
จิ่วเหมยฮวาและจิ่วเอ๋อร์เดินมาในทิศทางตรงข้ามกับจุดที่ลูกนกตกลงมาบาดเจ็บ สองคนเดินทะลุมาจนถึงริมหน้าผา ฝั่งตรงข้ามห่างออกไปไม่มากนักแค่ความกว้างของลำธารที่พวกนางชอบไปจับปลาเท่านั้นเอง
ก้อนหินในมือถูกทิ้งลงไปนานราวครึ่งเค่อ(หกถึงเจ็ดนาที)
“ด้านล่างลึกเพียงใดกัน”
“น่าเสียดาย สองฝั่งห่างกันเพียงเท่านี้แต่พวกเราไร้ความสามารถ”
“นั่นสินะ ข้าอยู่อารามมาตั้งแต่เด็กไม่เคยมีความคิดจะฝึกฝนพลังวิญญาณ เอาแต่กินเล่นไปเรื่องเปื่อย ยามที่ต้องใช้พลังไม่สามารถที่จะขี่กระบี่บินหรือเหาะเหินเดินอากาศได้ คิดข้ามไปที่ฝั่งนั้นมีแต่จะตกลงไปตายเท่านั้น”
“จิ่วเอ๋อร์มีเถาวัลย์เส้นไม่เล็กห้อยอยู่ เจ้าว่าถ้าโหนไว้จะสามารถข้ามไปถึงอีกฝั่งได้หรือไม่”
“เจ้าเลิกฝันไปเถอะ ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเราสองคนข้าว่าตกไปก็หาซากศพไม่เจอตายเปล่า”
“เช่นนั้นควรทำเช่นไร”
ได้แต่ก้มมองลงไปเบื้องล่างความลึกที่มองไม่เห็น จิ่วเหมยฮวามองไปอีกฝั่งนางมองเห็นต้นไม้ที่มีลักษณะของต้นโสม มันต้องใช่แน่นอนมีโสมจำนวนมากขึ้นอยู่ไม่แน่อาจมีสิ่งที่นางกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้เพราะมีความหวังจึงทำให้ไม่อาจละทิ้งไปได้ พวกนางนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าผาอย่างไม่อาจตัดใจ
“อาจารย์เป็นคนดีไม่แน่อาจมีปาฏิหาริย์ช่วยให้พวกเราได้ข้ามไปอีกฝั่งก็ได้”
“นั่นสิ ข้าเองเกือบตายมาครั้งหนึ่งยังรอดมาได้เลย”
แสงตะวันร้อนแรงขึ้นทุกที บนท้องฟ้ามีเงาดำขนาดใหญ่พาดผ่านมาทั้งสองคนจึงแหงนหน้าขึ้นมองที่เห็นคือนกขนาดใหญ่บินวนอยู่ นกสองตัวบินวนเวียนสูงมาก ทันใดนั้นก็พุ่งดิ่งลงมา ยิ่งใกล้ยิ่งใหญ่ นกยักษ์นี่น่า ทำไมวันนี้เจอแต่สัตว์ปีกทั้งฝูงต่อ ทั้งลูกนก ตอนนี้เป็นนกตัวใหญ่ยักษ์ทั้งคู่ มันสองตัวร่อนลงมายืนอยู่ห่างไปเพียงห้าหกก้าว หากมันพุ่งเข้ามาพวกนางคงวิ่งหนีไม่ทัน
จิ่วเหมยฮวาเบิกตามองดูนกยักษ์ทั้งสองตัวด้วยใจที่เต้นระทึก เมื่อมันหยุดยืนนิ่งไม่มีที่ท่าจะทำอันตรายพวกนางทำให้ความรู้สึกกลับสู่ปกติคิดว่ามันน่าเป็นสัตว์อสูรหรือสัตว์เวทย์หรือไม่ก็อาจจะเป็นระดับสูงกว่านั้น ไม่แน่อาจจะมีสติปัญญาพอที่จะสื่อสารกันได้ นางค่อยๆขยับตัวผ่อนคลายลดท่าที่หวาดระแวงที่เป็นอยู่ลง