“ข้าช่วยท่านได้เพียงเก็บจิตวิญญาณไว้แต่เวลานี้พลังข้าน้อยนิด ไม่สามารถซ่อมแซมจิตวิญญาณให้ท่านได้ เมื่อร่างกายท่านดีขึ้น ท่านก็รีบเก็บตัวบำเพ็ญให้จิตวิญญาณฟื้นคืนสภาพ เมื่อท่านมีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ทุกครั้งที่ท่านมีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นข้าก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น สักวันข้าจะมีรูปลักษณ์ที่เหมือนเดิม สามารถปรากฏกายเดินตามท่านไปได้ทุกที่”
“เจ้ามีชี่อหรือไม่”
“ข้ามีชื่อว่า ไป๋หลง"
เจ้าเด็กนี่กระมิดกระเมี้ยนอายเวลาบอกชื่อ
“ไป๋หลงหรือ ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวไป๋ แล้วกัน”
“ไม่นะ! ท่านจะเรียกแบบนั้นไม่ได้ ข้าโตแล้วหากท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋ เมื่อใดที่ข้ามีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์และมีร่างกายเติบโตขึ้นนั่นจะทำให้ข้าต้องอับอาย”
“เอาไว้เจ้าโตแล้วค่อยเรียกไป๋หลง”
“เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าท่านแม่่ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ท่านจำไว้เลยนะ”
“ไม่ได้ ข้ายังเป็นสตรีที่มิได้ออกเรือนอีกทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญตน เจ้าเรียกเช่นนั้นไม่เหมาะสม”
“หึ ผู้บำเพ็ญย่อมปล่อยวางไม่ยึดติด ข้าจะเรียกอย่างไรท่านก็ควรปล่อยวางได้ ใช่ไหมหล่ะ”
ไป๋หลงทำเสียงไม่พอใจ พลางคิดในใจเขาจะเรียกใครจะทำไม จิ่วเหมยฮวายังคงสนใจในเจ้ามังกรเด็กร่างอวบอ้วนน่ารักน่าชังนี้ไม่น้อยจึงเอ่ยถามไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายดูเหมือนจะเหงาอาจเพราะไม่ได้คุยกับใครมาเป็นเวลายาวนานจึงตั้งอกตั้งใจพูดคุยกับนาง
“เจ้ามีพลังทำอะไรได้บ้าง”
“ข้าทำได้หลายอย่าง แต่ต้องรอพลังข้ากลับมาก่อน”
สองเดือนผ่านไป ในที่สุดจิ๋วเหมยฮวาก็ฟื้นขึ้นมา อาจารย์ใหญ่ที่แข็งแรงขึ้นมาสามารถเดินเหินได้ปกติแล้วก็รีบมาดูอาการพร้อมกับอาจารย์รอง อาจารย์ทั้งสองดำหนินางที่ห่วงการหาสมุนไพรจนไม่ห่วงชีวิตตนเอง ทำให้ถูกทำร้ายจนเป็นเหตุให้ร่างกายและจิตวิญญาณเสียหายเกือบไม่รอดและไม่ลืมที่จะสั่งลงโทษกักตนให้กับทั้งสองทันที
“เมื่อเจ้าฟื้นแล้วการลงโทษพวกเจ้าเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าทั้งสองคนกักตนในห้องศิลาเหมันต์ร้อยแปดสิบวันไม่ต้องออกมา”
“ท่านอาจาย์ฮวาเอ๋อร์ นางพึ่งฟื้นร่างกายไม่แข็งแรงท่านไม่รอให้นางแข็งแรงกว่านี้หน่อยเหรอ นางยังต้องการโอสถและอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรงนะเจ้าคะ”
“ฮึ เจ้าห่วงศิษย์น้องของเจ้าด้วยหรือ ไม่ต้องกลัวเมื่อเจ้ากักตนจะมีคนส่งข้าวส่งน้ำ และโอสถครบทุกวัน วางใจได้นางไม่เป็นอะไรหรอก”
“อาจารย์…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาในห้องกักตน จิ่วเหมยฮวาและจิ่วเอ๋อร์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในอารามมีสถานที่ลี้ลับเช่นนี้จึงไม่เคยเห็นไม่เคยสำรวจ ห้องกักตนเป็นห้องศิลาที่อยู่ในอารามแต่อยู่ใต้ดินลงไป มีบันไดเล็กๆ และทางเดินหินกว้างกว่าตัวคนเล็กน้อย อากาศข้างในเย็นยะเยือกสมชื่อ พูดออกมามีไออุ่นจากลมหายใจ แยกเป็นห้องเล็กๆ ขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคนใช้ชีวิตภายในมีแท่นศิลาเย็นเฉียบ มีโต๊ะหนังสือ เบาะนั่ง ชุดน้ำชา
“อาหารและน้ำจะมีคนนำมาให้วันละหนึ่งมื้อ หลังจากนี้ไปฝึกฝนให้ดีส่วนฮวาเอ๋อร์ส่วนของเจ้ายังมีโอสถด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วเจอกันนะ”
ทั้งสองต่างบอกลากันแล้วแยกย้ายเข้าห้องที่ตนเลือก การกักตนครึ่งปีเพื่อบำเพ็ญเพียรของทั้งคู่ถือเป็นการลงโทษและให้รางวัลในคราเดียวกันที่เพราะนางสองคนหนีออกจากอารามหายไปนานนับเดือนทำให้อาจารย์ทุกท่านในอารามเป็นห่วงถึงแม้จะนำสมุนไพรวิเศษกลับมาช่วยอาจารย์ใหญ่ได้ บรรดาอาจารย์ต่างอยากให้นางทั้งสองกักตนแล้วพิจารณาและทบทวนตนเอง ใช้หลักคำสอนขัดเกลาจิตวิญญาณของแต่ละคน
ในห้องศิลาเหมันต์ เมื่อประตูหินปิดลงจิ่วเหมยฮวาก้าวเท้าได้เพียงสองก้าวก็พ่นโลหิตที่พยายามเก็บกักไว้ออกมา หยดเลือดยังมีติดที่มุมปากนางใช้ผ้าซับไว้ยังดีที่ทุกคนแยกตัวไปเร็วหากช้ากว่านี้คงทำให้อาจารย์และทุกคนต้องกังวลกับร่างกายของนางอีก ตลอดเวลาหลายวันที่ฟื้นขึ้นมานางพยายามปกปิดเอาไว้ไม่ให้ใครสังเกตเห็นว่าจิตวิญญาณมีการเคลื่อนไหวรุนแรง ไร้ทิศทางกระแทกเส้นชีพจรไปมาทั้งทำให้จิตวิญญาณของตนเองเสียหายอาการบาดเจ็บภายในยังไม่ดีขึ้น
จิ่วเหมยฮวารู้ดีว่าการกักตนจำเป็นสำหรับนางที่สุดเพราะนางต้องฟื้นฟูจิตวิญญาณที่เสียหายอย่างหนัก หากฟื้นฟูกลับมาได้ไวการบำเพ็ญเพียรก็สามารถก้าวไปต่อได้อีกทั้งเพื่อให้สามารถปกป้องตนเองจากเหตุอันตรายในภายภาคหน้าด้วยนางกลัวว่าจะดูแลตนเองและปกป้องคนที่อยู่รอบข้างไม่ได้ในยามฉุกเฉิน
นางเดินไปนั่งลงบนแท่นศิลาสีดำที่เย็นเฉียบสงบจิตใจ รวบรวมสมาธิตั้งจิตสำรวจจิตวิญญาณภายในพลันภายในเกิดความสับสนวุ่นวาย ยามนี้อาการกำเริบนางไม่สามารถรวมจิตเข้าด้วยกันเพื่อทำสมาธิได้ราวกับกำลังจิตวิญญาณและดวงจิตกำลังจะแตกกระจายวิ่งหนีออกจากร่างกายของตนเอง มังกรขาวที่รัดข้อมืออยู่ก็เคลื่อนไหวส่งกระแสจิตเข้ามาช่วยนางบางเบา
“พยายามตั้งสมาธิรวบรวมจิตไว้ที่ตันเถียน พยายามเข้า ข้าช่วยเก็บกักไว้ภายในร่างกายท่านแม่ได้เท่านั้น พยายามเข้า”
เสียงเด็กน้อยมังกรกระซิบมาตลอดเวลา นางพยายามรวมรวมพลังจิต ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดไปทั่ว เหงื่อซึมออกมาเป็นเม็ดไหลทั่วทั้งกาย เวลาผ่านไปในที่สุดนางก็สามารถรวบรวมดวงจิตเข้าสู่สมาธิได้ เคลื่อนพลังช้าๆไปตามเส้นชีพจรตรวจสอบอย่างละเอียดช้าๆ ทำอย่างระมัดระวัง เมื่อนางสงบลงมังกรขาวก็เปลี่ยนรูปกลายเป็นเพียงงูขาวพันขดที่ข้อมือเพราะใช้พลังช่วยนาง มันก็จำเป็นต้องฟื้นฟูพลังเช่นเดียวกับที่นางนั่งสมาธิสร้างความแข็งแกร่งให้ดวงจิต
“ท่านแม่ ข้าต้องฟื้นฟูพลังเช่นกัน”
อีกห้องหนึ่ง จิ่วเอ๋อร์ นางรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่เรียนรู้และบำเพ็ญได้ช้า เมื่อปิดประตูศิลาแล้วนางก็อ่านคัมภีร์ในห้องศิลาพยายามทำความเข้าใจและเริ่มบำเพ็ญ จิตวิญญาณค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นในเวลาร้อยแปดสิบวันนางต้องสามารถบรรลุให้ได้อีกหนึ่งขั้น เวลานี้นางเรียนรู้การใช้เวทย์พื้นฐานเสกยันต์แบบต่างๆได้สิบกว่าแบบถือว่าเร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมา ต้องยกให้กับประสบการณ์ที่ยากลำบากครั้งนี้ทำให้นางมีความพยายามมากยิ่งขึ้น
เมื่อกำหนดครบร้อยแปดสิบวัน อาจารย์ใหญ่และอาจารย์รองพากันมารออยู่ห้องโถงหน้าประตูห้องศิลาเหมันต์ ประตูแรกที่เปิดออกคือประตูของจิ่วเอ๋อร์ใบหน้ากลมเกลี้ยงเกลาสดใสยื่นออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นท่านอาจารย์ทั้งสองก็รีบสำรวมท่าทางค่อยๆเดินออกมา ส่วนประตูศิลาของจิ่วเหมยฮวายังคงปิดสนิท ฉับพลันก็มีแสงสว่างลอดผ่านช่องประตูออกมา เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้บำเพ็ญเลื่อนขั้นจากระดับต่ำสู่ระดับกลางขั้นต้น ประตูค่อยๆเลื่อนเปิดออกมาเงาร่างบางค่อยๆก้าวเท้าไร้เสียงออกมาจากบานประตู รูปลักษณ์เหมือนเดิมแต่บรรยากาศรอบกายกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ความทรมานที่ได้รับทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจากสภาพจิตวิญญาณเสียหายช่างทรมานยิ่งนักประกอบกับศิลาเหมันต์ภายในห้องกักตนยิ่งทำให้อารมณ์และความรู้สึกนิ่งสงบหล่อหลอมกลายเป็นลักษณะเฉพาะตนที่มองดูสวยงามแฝงความเฉยชาอย่างที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกขานมีความเข้าถึงได้ยาก คล้ายมีเกราะที่ไร้มลทินบางเบาห่อหุ้มไว้รอบกายให้คนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง
“ศิษย์คาระวะท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์อารอง”
“ฮวาเอ๋อร์ เจ้าซ่อมแซมดวงจิตและหลอมรวมจิตวิญญาณกลับมาสมบูรณ์ได้ดังก่อนแล้ว ทั้งยังมีความก้าวหน้าไม่น้อยสามารถเลื่อนระดับจิตวิญญาณด้วย วิเศษ วิเศษยิ่ง”
“สภาพร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ปกติดีเจ้าค่ะ ไม่มีการบาดเจ็บหลงเหลือให้เป็นกังวล หลังเลื่อนระดับแล้วรู้สึกร่างกายเบาสบายขึ้นเพียงแต่กระแสพลังยังไม่คงที่”
“อืม นับเป็นเรื่องปกติเจ้าต้องใช้เวลาสักระยะ หลังเลื่อนระดับชั้น เจ้าต้องมั่นใช้เวลาในการปรับระดับทำให้พลังมั่นคง ไม่พลุ่งพล่าน ห้าหกวันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องของเจ้าเถอะ หากมีธุระอาจารย์จะไปพบเจ้าเอง”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง”
“เจ้าลืมข้าเหรอฮวาเอ๋อร์ เจ้าไม่ทักทายข้าก็จะกลับห้องแล้วเหรอ เจ้ามองไม่เห็นหรือข้าอุตส่าห์รอเจ้านะ นี่เจ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมตอนมาอยู่อารามใหม่เลยนะ”
“ข้าเหนื่อย ยินดีกับเจ้าด้วยจิ่วเอ๋อร์ พลังจิตก็เลื่อนขึ้นแล้ว เจ้าก็ควรรีบกลับไปพักเช่นกัน”
“ได้ ไว้ค่อยคุยกัน”
เมื่อนางกลับถึงห้องเพียงลำพังแล้ว นางก็มือเอื้อมไปสัมผัสเจ้ามังกรน้อยที่พันข้อมืออยู่กำหนดจิตพูดคุยด้วย
“เสี๋ยวไป๋ เจ้าดีขึ้นหรือไม่”
“ดีขึ้นแล้ว ท่านแม่ปกปิดอาการบาดเจ็บไว้เพราะไม่ต้องการให้อาจารย์ทั้งสองและศิษย์พี่ของท่านเป็นห่วงสินะ”
“ห้ามเจ้าบอกกับอาจารย์และจิ่วเอ๋อร์นะ”
จบเสียงก็ปรากฏรูปร่างของเจ้าตี๋น้อยยืนยิ้มเล็กยิ้มน้อย เจ้ามังกรตัวน้อยที่ยามนี้ดูคล้ายเด็กสามสี่ขวบยืนเปลือยกายมีเพียงเอี๊ยมสีขาว ผมมวยเป็นซาลาเปาสองข้าง กระโดดเข้ามาจับมือนางแล้วแล้วกระโดดไปกระโดดมาอย่างดีใจ
“ข้าทราบแล้ว..ท่านแม่ แต่ว่าการเก็บซ่อนอาการบาดเจ็บไว้เช่นนี้ไม่เป็นผลดี ทางที่ดีท่านเองก็ควรรีบรักษาตัวเอง"
“ข้ารู้”
“ท่านแม่..ท่านแม่ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามีรูปร่างแล้ว ท่านดูสิ”
“เจ้ามีรูปลักษณ์ที่จับต้องได้แล้วหรือ”
“นี่เป็นเพราะท่านเลื่อนระดับ พลังของท่านส่งผลทำให้พลังของข้าก็เลื่อนขึ้นตามท่านมาด้วย”
“ท่านแม่จากนี้ไปข้าต้องจะข้างกายท่านเพื่อค่อยช่วยท่านเวลาที่การบาดเจ็บแสดงอาการออกมา”
“ข้าต้องเรียนให้อาจารย์ทราบก่อนว่าเก็บเด็ก(มังกร)มาเลี้ยง เจ้าสวมเสื้อผ้าเสียหน่อยจะดีกว่านะ ยืนเปลือยกายเช่นนี้ไม่ดี ว่าแต่เรียกขานด้วยคำอื่นจะดีกว่านะ”
“ไม่ ข้าจะเรียกท่านเช่นนี้ ท่านแม่ ท่านแม่”
เฮ้อ! สาวบริสุทธิ์สองภพชาติต้องมีลูกทั้งที่ยังไม่มีสามีเนี่ยนะ นางได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ