3

3925 Words
ครึ่งชั่วโมงต่อมา... โรงแรมซานเตียนโน่ “สวัสดีครับคุณภาคิน คุณไวน์ เชิญทางนี้ครับ” พนักงานรีบเปิดประตูต้อนรับว่าที่ผู้บริหารคนใหม่กับบุตรสาวของพ่อเลี้ยงสินชัยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ” ภาคินกับวรันยายกมือไหว้ตอบ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านในห้องอาหาร “คิน! น้องไวน์” กังศมาลุกขึ้นโบกมือให้ “ไอ้คินมันแกล้งน้องไวน์หรือเปล่าครับ” ภัคคินัยเอ่ยถามทันทีที่ทั้งสองเข้ามานั่งร่วมโต๊ะเสร็จ “เอ่อ...ไม่ค่ะ” วรันยารีบฉีกยิ้มหวานกลบเกลื่อนอารมณ์ขุ่นมัว “มีอะไรบอกยายได้นะลูก” กังศมาบอกพร้อมกับมองหน้าหลานชายตัวดีอย่างไม่ไว้ใจ “ค่ะ ว่าแต่คุณมาร์สั่งอะไรมาทานคะเนี่ย เยอะเชียว” วรันยารีบเบี่ยงเบนความสนใจมาที่อาหารหลากหลายเมนูบนโต๊ะ “ยายกับนัยกำลังเลือกเมนูที่จะเอาไปต้อนรับแขกที่จะมาในงานเลี้ยงจ้ะ น้องไวน์ช่วยชิมแล้วบอกหน่อยว่าชอบเมนูไหนบ้าง” กังศมาขอความเห็น “ได้ค่ะ ว่าแต่น้าดากับคุณลุงลูคัสจะมาด้วยใช่ไหมคะ” “ใช่จ้ะ น่าจะมาถึงในอีกวันสองวันนี้แหละ” กังศมาตอบพลางตักอาหารเมนูที่คิดว่าอร่อยให้เด็กสาวชิม “อื้ม...อร่อยจังเลยค่ะคุณมาร์” วรันยาตักทานไปสองคำก็ถึงกับติดใจในรสชาติของอาหาร ‘เชฟที่นี่สุดยอดจริงๆ’ “อย่าเพิ่งทานเยอะล่ะ มีอีกสิบกว่าเมนูที่พนักงานยังไม่ได้ยกมานะน้องไวน์” ภัคคินัยรีบเตือนเมื่อเห็นสาวเจ้ากำลังจะตักเมนูเดิมเพิ่ม “แหม...ถ้าพี่นัยไม่บอกนี่ไวน์กะจะทานจนอิ่มเลยนะคะ” วรันยาส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้คนรู้ทัน “หึๆ ทานเถอะจ้ะลูก” กังศมาบอกอย่างเอ็นดู ภาคินจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับว่ากำลังมีความสุขก็อดยิ้มตามไม่ได้ เสาวณี กำลังจะเดินผ่านโต๊ะวีไอพี แต่ก็ดันเหลือบไปเห็นหนุ่มหล่อที่เธอเคยแอบหลงรักสมัยเรียน จึงรีบเดินเข้าไปทักทายอย่างดีใจ “คิน!” เสียงเรียกที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ภาคินที่กำลังจะตักอาหาร หันกลับไปมองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เอ่อ...ผมภัคคินัยครับ” “หึๆ” คนที่ถูกเอาชื่อไปอ้างหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ทุกครั้งที่มีสาวๆ เข้ามาทักทายแล้วแฝดผู้พี่ไม่อยากจะคุยด้วย อีกฝ่ายก็มักจะใช้มุกนี้เป็นประจำ “ไม่จริง! ณีจำคุณได้ค่ะ” เสาวณีบอกอย่างมั่นใจ “เอ่อ...ว่าไงครับณี” ภาคินส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้คนความจำดีอย่างไม่รู้จะทำยังไง “สวัสดีคุณกังศมา สวัสดีค่ะนัย” เสาวณีรีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่กำลังมองมาอย่างเขินอาย ก่อนจะเลยไปส่งยิ้มหวานให้กับภัคคินัยที่กำลังหันมามอง “สวัสดีจ้ะ เป็นเพื่อนของภาคินใช่ไหม” กังศมารับไหว้ตามมารยาท พลางจ้องมองสำรวจหญิงสาวที่แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจนเธอรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว “ใช่ค่ะ” เสาวณีตอบก่อนจะสะดุดตาเข้ากับเด็กสาวที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองเธอ “เอ่อ...คนนี้ใครเหรอคะ?” “น้องไวน์ ลูกสาวของพ่อเลี้ยงสินชัย เจ้าของรีสอร์ตพรรณนาราจ้ะ” กังศมายกยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวซีดลงไปถนัดตา “ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณไวน์” เสาวณีเอ่ยทักทาย ขณะที่หัวใจกระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก ‘นังเด็กนี่หน้าสวยชะมัดเลย หวังว่าคินคงไม่คิดจะกินเด็กหรอกนะ’ “เช่นกันค่ะ” วรันยายิ้มตอบสั้นๆ แล้วหันไปชิมอาหารต่ออย่างไม่สนใจ “คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอณี” ภาคินกัดฟันถาม พลางเหลือบมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างสังเกตอาการ “อ๋อ! ณีมาหาลุงน่ะค่ะ ยังไงก็ขอตัวก่อนนะคะ” เสาวณีฉีกยิ้มหวานพร้อมกับยกมือไหว้กังศมาอีกครั้ง จากนั้นก็รีบเดินตรงไปที่โต๊ะด้านใน “แม่นี่เคยสนิทกับคินงั้นเหรอ?” กังศมาถามอย่างสังหรณ์ใจว่าความสัมพันธ์ของผู้หญิงเมื่อครู่กับหลานชายต้องไม่ธรรมดา “ก็คนนี้ไงครับยายที่วิ่งมากอดผม เพราะคิดว่าผมเป็นไอ้คิน” ภัคคินัยเอ่ยเท้าความ “ตายจริง!” กังศมายกมือขึ้นทาบที่หน้าอกเบาๆ เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่ภัคคินัยเล่าให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน ว่ามีสาวคนหนึ่งวิ่งมากอดจากด้านหลังแล้วบอกว่า... เมื่อคืนณีมีความสุขที่สุดเลยค่ะคิน “เรื่องมันนานมาแล้ว จะพูดทำไมวะ” ภาคินหน้าเสียเมื่อถูกหยิบยกเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดต่อหน้าสาวที่ตนตั้งใจว่าจะร่วมอนาคตด้วย “ที่พูดเพราะมันเกี่ยวกับปัจจุบันไง ใช่ไหมครับน้องไวน์” ภัคคินัยหันไปยิ้มให้สาวที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่เงียบๆ “อืม...ไวน์ว่าคุณณีก็ดูเหมาะสมกับพี่คินดีนะคะ” วรันยาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประหนึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก “หึๆ พี่เห็นด้วยครับ” ภัคคินัยสมทบตาม “ไอ้นัย!” ภาคินหน้าตึงขึ้นมาทันทีทันใดที่ถูกล้อ “อะไร! ก็แค่ออกความเห็น” ภัคคินัยยกไหล่ขึ้นนิดๆ อย่างไม่แคร์ “น้องไวน์ลองทานจานนี้ดูสิลูก” กังศมารีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ค่ะ” วรันยายิ้มก่อนจะลองตักทานและยกนิ้วให้อย่างถูกใจ “อื้ม! อร่อยมากๆ เลยค่ะ คุณมาร์” “งั้นเอาเมนูนี้ด้วยจ้ะ” กังศมาหันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ค่ะท่าน” พนักงานพยักหน้ารับ ก่อนจะเพิ่มลงในรายการอาหารที่นำเสิร์ฟในงานเลี้ยงที่ไร่ไปรยาเวศ ชั่วโมงต่อมา...หลังจากที่นั่งทานอาหารเมนูต่างๆ และได้ข้อสรุปที่ลงตัว ทุกคนก็เตรียมตัวเดินทางกลับ “เดี๋ยวยายกับนัยจะแวะไปทำธุระต่อ น้องไวน์กลับกับพี่คินก่อนนะ” กังศมาบอกเมื่อเดินออกมาถึงด้านหน้าของโรงแรม “ได้ค่ะ” วรันยารับคำอย่างว่าง่าย ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะขอกลับกับกังศมาและภัคคินัย “จะทำอะไรก็นึกถึงหัวหินกับภูเก็ตเอาไว้เยอะๆ นะ” ภัคคินัยหันไปกระซิบเตือนสติแฝดผู้พี่ “ไอ้บ้า” ภาคินต่อว่าด้วยสีหน้าตึงๆ “น้องไวน์ถึงรีสอร์ตแล้วรีบโทรบอกยายด้วยนะลูก” กังศมาบอกก่อนจะปรายตามองหลานชายตัวดี “ค่ะคุณมาร์ ตอนเย็นเจอกันค่ะ” วรันยาฝืนส่งยิ้มให้ผู้ใหญ่ “จ้ะ! เราไปกันเถอะนัย” กังศมายิ้มก่อนจะหันไปเอ่ยชวนหลานชาย “ครับยาย” ภัคคินัยขานรับก่อนจะเปิดประตูรถให้ผู้เป็นยาย จากนั้นก็เดินอ้อมไปประจำที่คนขับ แล้วมุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทาง “อยากไปเที่ยวหรือไปซื้อของที่ไหนต่อไหม?” ภาคินเอ่ยถามเมื่อเห็นสาวเจ้าเอาแต่มองตามรถที่แล่นออกไป “พี่คินว่างเหรอคะ” วรันยาหันกลับไปถามพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “ว่างสิ พี่ว่างเสมอสำหรับเรา” ภาคินรีบตอบ เพราะอยากจะมีช่วงเวลาดีๆ ชดเชยเรื่องในอดีต ที่เคยทำตัวร้ายๆ แกล้งนู่นนั่นนี่ จนทำให้สาวตรงหน้าร้องไห้อยู่เป็นประจำ “เอ้...แล้วว่างพอจะไปทานข้าวกับณีสักมื้อไหมคะคิน” เสาวณีที่เดินตามหลังออกมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ณี!” ภาคินหันไปมองตามเสียงอย่างตกใจ “ใช่ค่ะ! ณีเอง เมื่อกี้ณีเพิ่งจะได้ข่าวว่าคินจะมาดูแลงานที่นี่” คนที่เข้ามาสมัครตำแหน่งผู้ช่วยเลขาและผ่าน ปรายตามองเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้วยสายตาเหยียดๆ “ใช่ครับ” ภาคินขานรับอย่างมึนงง ‘! อย่าบอกนะว่าณีทำงานที่นี่’ “งั้นเราคงต้องเจอกันบ่อยแน่ๆ ขอตัวก่อนนะคะ” เสาวณีทิ้งทวนก่อนจะเดินจากไปอย่างมั่นใจว่าหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยจะยังคงเสน่หาในตัวเธอเฉกเช่นวันวาน ภาคินกลอกตาก่อนจะหันมาถามนางในฝัน “น้องไวน์อยากไปเที่ยวที่ไหนครับ?” “ไม่ค่ะ ไวน์อยากกลับบ้านแล้ว” วรันยาบอกก่อนจะเบือนหน้าหนี ‘ชิ! ฟาดสาวไปทั่วแล้วยังมีหน้ามาจูบเรา’ “อะไรกันไวน์ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย?” ภาคินถามอย่างไม่เข้าใจ “จะกลับไหมคะ ถ้าไม่กลับไวน์จะโทร. ให้คนขับรถมารับ” วรันยาบอกพร้อมกับล้วงหามือถือในกระเป๋า “บ้า! มากับพี่จะกลับกับคนอื่นได้ยังไง” ภาคินบอกก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถให้สาวเจ้าเข้าไปนั่ง วรันยาวางกระเป๋าถือแล้วดึงสายเบลล์มาคาดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนคนไม่ได้คิดอะไรทั้งที่ในใจรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ภาคินที่เดินอ้อมไปประจำที่คนขับกดสตาร์ทรถ แล้วหันไปเอ่ยถามสาวเจ้าอย่างไม่หายสงสัย “พี่ทำอะไรให้เราโกรธงั้นเหรอ?” “ไวน์ไม่ได้โกรธอะไรพี่คินค่ะ” เธอเอ่ยปฏิเสธ “เราหึงพี่ใช่ไหม” ภาคินหรี่ตามองใบหน้างามก่อนจะขับรถออกไปตามทาง “ใครจะไปหน้ามืดตามัวหึงคนที่เกลียดกัน” วรันยาตอกกลับคนหลงตัวเอง “พี่ไม่ได้คิดอะไรกับณี เขาไม่ได้อยู่ในเสี้ยวสมอง แล้วก็ไม่มีค่าพอจะให้จดจำด้วยซ้ำ” ภาคินรีบบอกพร้อมกับขับเปลี่ยนเส้นทางออกนอกเมือง “ก็เรื่องของพี่คินสิ! มาบอกไวน์ทำไม? ไวน์ไม่สนหรอกว่าใครจะมีความหมายกับใคร หรือใครจะมีค่าพอให้พี่คินจดจำ” เธอบอกอย่างโนสนโนแคร์ ภาคินรู้สึกปวดหนึบกับประโยคที่บ่งบอกว่าเธอไม่ได้สนใจในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย ‘เฮ้อ...จับรวบหัวรวบหางตอนนี้ซะดีไหมวะ?’ “อ๊ะ! จะไปไหน? นี่ไม่ใช่ทางกลับรีสอร์ตนะพี่คิน” วรันยาถามด้วยสีหน้าตื่นๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหักเลี้ยวรถไปคนละทาง “ก็ใครว่าพี่จะพาเรากลับรีสอร์ตล่ะ” “งั้นก็จอด! ไวน์จะลง” วรันยาบอกอย่างไม่ไว้ใจ “...” ภาคินไม่ตอบแต่เหยียบเร่งความเร็วขึ้น “พี่คิน! จอดเดี๋ยวนี้นะ” วรันยาบอกเสียงดัง อย่างเริ่มใจคอไม่ดี คนที่กำลังงอนยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อเห็นสาวเจ้าออกอาการผวา “จอด! ไวน์กลัวนะคนบ้า!” วรันยามองหน้าคนขับกับถนนสลับไปมาอย่างหวาดกลัว “จะคุยกันดีๆ ไหม” ภาคินถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ “ค่ะ” วรันยารีบพยักหน้ารับ ขณะที่หยดน้ำอุ่นๆ เริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตา ภาคินลดความเร็วลง แล้วขับชิดซ้ายเข้าข้างทาง จากนั้นก็หันไปคุยกับสาวเจ้าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “พี่ไม่ได้คิดอะไรกับณีเข้าใจใช่ไหม” “เข้าใจค่ะ ฮึก...” วรันยาตอบพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ “ผู้หญิงกี่คนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครสำคัญเท่ากับไวน์โอเค้” ภาคินรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าไปซับน้ำตาให้คนขี้แยอย่างเบามือ “โอเคค่ะ” วรันยามองค้อนคนที่บีบให้เธอต้องรับรู้และเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงในสังกัดของเขา “เราดีกันได้หรือยัง” ภาคินถามพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้นรอเกี่ยว “ค่ะ พี่คินแวะปั๊มให้ไวน์หน่อยได้ไหม” วรันยาถอนหายใจก่อนจะส่งนิ้วไปเกี่ยวอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ ‘รอให้ถึงบ้านก่อนเถอะ จะฟ้องคุณมาร์ให้ดู’ “จะทำอะไร?” ภาคินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย “ไวน์ปวดฉี่ค่ะ” วรันยาบอกด้วยสีหน้าแดงก่ำ “พี่ขอโทษที่ขับรถเร็ว” “รีบๆ พาไวน์ไปปั๊มก่อนที่ไวน์จะฉี่ใส่รถพี่คินเถอะ” “ฉี่เลยพี่ไม่ถือ” ภาคินหันมาฉีกยิ้มหวานให้ “บ้า!” วรันยากลอกตาก่อนจะเบือนหน้าหนี “ปั๊มน่ะอีกไกลเลย แวะร้านกาแฟไหม?” คนที่เคยขับผ่านเส้นทางนี้ มาแล้วหลายครั้งหันไปบอก “ค่ะ” วรันยาขานรับขณะดูวิวสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้และขุนเขา สองนาทีต่อมา...ภาคินเห็นร้านกาแฟเปิดใหม่ที่ดูค่อนข้างจะสะอาดสะอ้าน จึงรีบเลี้ยวรถเข้าไปจอด วรันยามองป้ายทะเบียนรถของรถเก๋งยี่ห้อ Civic สีแดงแรลลี่ที่จอดอยู่หน้าร้าน ก็รีบกวาดตามองหาเจ้าของ ก่อนจะเห็นเพื่อนรักเดินถือแก้วกาแฟออกมาจากร้าน เธอจึงรีบลงจากรถแล้วตรงเข้าไปทักทายอีกฝ่ายอย่างดีใจ “คาร่า!” “ไวน์! โอ๊ย! คิดถึงจังเลย” คาร่า เด็กสาววัย 18 ปี ลูกครึ่งไทย-อิตาลีหน้าตาจิ้มลิ้ม ไว้ผมบ๊อบสั้นทุย ท่าทางออกห้าวนิดๆ รีบโผเข้ากอดเพื่อนสาว ที่เธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะแอบไปเซอร์ไพรส์อีกฝ่ายที่รีสอร์ต แต่กลับมาเจอกันที่นี่ซะก่อน “คิดถึงเหมือนกัน” วรันยากอดตอบและโยกตัวไปมาเบาๆ เหมือนทุกครั้ง “แล้วนี่ไปไหนมาเนี่ย?” คาร่าดันตัวเพื่อนสาวออก แล้วถามอย่างสงสัย “เราไปโรงแรมซานเตียนโน่มา กำลังจะกลับรีสอร์ต” “จริงดิ! แต่นี่มันคนละทางกับรีสอร์ตเลยนะ” “เอ่อ...พอดีว่า...” วรันยาอึกอักเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้มาคนเดียว “สวัสดีครับ ผม ภาคิน ซานเตียนโน่” ภาคินกัดฟันเอ่ยแนะนำตัว หลังจากที่ทนดูสองสาวพูดคุยกันประหนึ่งว่าสถานที่แห่งนี้มีกันอยู่แค่สองคน “สะ...สวัสดีค่ะ หนูชื่อคาร่า ไคล์ ” คาร่าแนะนำตัวอย่างรู้สึกอายนิดๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีเดินมาโอบไหล่ของเพื่อนสาว “คุณเป็น...” ภาคินเอ่ยถามสถานะของสาวทอมตรงหน้า “เป็นเพื่อนสนิทของไวน์ค่ะ” คาร่าตอบเสียงอ่อน ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงอาการหึงหวงของหนุ่มหล่อตรงหน้า ‘พี่เขาคงไม่ได้คิดว่าเราเป็นทอมหรอกนะ’ “สนิทแบบไหนเหรอครับ” ภาคินถามต่อด้วยสีหน้าตึงๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน ‘! ขออย่าให้ใช่อย่างที่คิดเลย’ “สนิทที่สุดค่ะ พี่คินมีอะไรเหรอคะ?” วรันยาเริ่มจะไม่โอเค เมื่อจอมทะลึ่งทำท่าจะหาเรื่องเพื่อนรัก “เปล่า! พี่ก็แค่ถามดู” ภาคินบอกพร้อมกับยักไหล่ขึ้นทั้งสองข้างนิดๆ วรันยากลอกตาก่อนจะหันไปถามเพื่อนรัก “เธอมากับใคร?” “เรามาคนเดียว ตั้งใจจะไปหาไวน์ที่รีสอร์ตน่ะแหละ” “เยี่ยม! งั้นเดี๋ยวเรานั่งรถไปด้วย” วรันยาบอกจบก็เดินเข้าไปนั่งในรถของเพื่อนสาว คาร่ารีบเข้าไปนั่งประจำที่คนขับอย่างมึนงง ความจริงเธอก็พอจะรู้มาบ้างว่าเพื่อนสาวไม่ชอบหนุ่มหล่อตรงหน้า แต่ไม่คิดว่าจะชวนกันชิ่งหนีเอาดื้อๆ แบบนี้ “เฮ้! แล้วพี่ล่ะ?” ภาคินหน้าตื่นขึ้นมาทันทีทันใดที่ถูกสาวเท “พี่คินจะไปที่ไหนต่อก็ตามใจเลยค่ะ ไวน์จะไปกับเพื่อน” วรันยาบอกพร้อมกับปิดประตูรถใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างไม่แคร์ “แต่เรามากับพี่นะ” ภาคินตรงเข้าไปจะเปิดประตูรถ แต่สาวเจ้าก็มือไวรีบกดล็อกเอาไว้ซะก่อน “ออกรถได้เลยคาร่า” วรันยาหันไปบอกเพื่อนสาวเสร็จก็กดลดกระจกลงนิดๆ แล้วตะโกนตอบจอมทะลึ่งด้วยความรู้สึกที่โคตรจะสะใจ “พี่คินขับรถเร็ว! ไวน์ไม่กลับด้วยหรอก บาย!” “ไวน์! ไวน์! โธ่โว้ย!” คนที่ถูกสาวทิ้งสบถตามอย่างหัวเสีย รีบวิ่งกลับไปที่รถของตัวเอง เตรียมจะขับตามสองสาว แต่เสียงเรียกเข้าของมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน “บ้าจริง! จะโทรมาทำห่าอะไรตอนนี้วะ” ภาคินสบถเมื่อเห็นชื่อของ แฝดผู้น้องโชว์บนหน้าจอมือถือ [ว่าไง] [ทำไมต้องเสียงดังด้วยวะ?] ปลายสายถามอย่างรู้สึกมึนงง [มีอะไรก็รีบๆ พูดมา] [ยายให้โทรถามว่าน้องไวน์ถึงรีสอร์ตหรือยัง] [ถึงที่ไหนล่ะ! หนีขึ้นรถไปกับยัยทอมแล้ว] [เฮ้ย! ทอมที่ไหนวะ?] ภัคคินัยถามอย่างตกใจ [ก็ทอมที่ชื่อคาร่าไง] [! น้องไวน์อาจจะชอบ...อะไรแบบนั้น] [ไม่มีทาง ตราบใดที่กูยังมีชีวิตอยู่ เรื่องบ้าๆ นี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน] ภาคินตอกกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด [ก็ไม่แน่...ป่านนี้อาจจะกำลัง...] ปลายสายได้ทีก็รีบหยอก [ไอ้บ้า!] ภาคินกดวางสายแล้วรีบขับรถตามสองสาวไปอย่างรู้สึกโมโห ตลอดเวลาที่ผ่านมา...เหล่าพนักงานในรีสอร์ตพรรณนารา และคนงานในไร่ของไปรยาเวศไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมองดอกฟ้าที่เขาหมายตา เขาจึงชะล่าใจ แต่สิ่งที่เจอในวันนี้มันกลับเหนือความคาดหมาย อย่างคาดไม่ถึง ด้านคนที่ชิ่งหนีมากับเพื่อนรักก็เอาแต่คิดถึงเรื่องจูบเมื่อคืน ก่อนจะวกกลับมาที่เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อ ‘ณี’ และผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ภาคินเคยมีข่าวด้วย พลัน! ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก “ไวน์! พี่คนนี้ใช่ไหมที่ชอบแกล้งเธอ” คาร่าเอ่ยถามหลังจากที่เห็นเพื่อนสนิทเอาแต่เหม่อลอย “ใช่ คนนี้แหละ” วรันยาพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ไม่น่าเชื่อนะ หน้าตาก็ดูหล่อดี” คาร่าหัวเราะเบาๆ เพราะเคยได้ยินวีรกรรมของชายหนุ่มจากเพื่อนสาวมานาน พอได้เจอตัวจริงก็รู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อย “ชิ! ไม่เห็นจะหล่อเลย” วรันยาบอกพลางเบ้ปากนิดๆ “สงสัยจะเกลียดเข้าไส้จริงๆ” คาร่าส่ายหน้าอย่างเพลียๆ ก่อนจะหักเลี้ยวเข้าทางลัดที่เพิ่งจะตัดผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเมื่อปีก่อน ซึ่งจะใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ไปถึงหน้าเรือนใหญ่ของเพื่อนสาว “อืม! ก็อีตานั่นน่ะร้ายจะตาย” “หึๆ เราว่าเขาอาจจะชอบเธอก็ได้นะ” คาร่าออกความเห็นหลังจากที่ได้สัมผัสความหึงหวงมาสดๆ ร้อนๆ “บ้า! ไม่มีทาง” วรันยาหันไปมองค้อนคนขับรถ ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้สึกหวั่นไหวกับการกระทำของจอมทะลึ่งที่นับวันก็ยิ่งเกินเลยจนบางครั้งเธอเองก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนรักของอีกฝ่ายจริงๆ “มีสิ! สายตาแบบนั้นไม่ผิดแน่” คาร่าบอกด้วยสีหน้ามั่นใจทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยมีความรักมาก่อน “แต่เราไม่ชอบอีตาบ้านั่น” วรันยาหันไปมองข้างทาง ‘ชิ! ป่านนี้คงจะรีบขับรถกลับไปหายัยณีอะไรนั่นแล้วแน่ๆ’ “จริงดิ!” คาร่าแกล้งหยอก “จริง!” วรันยายืนยันเสียงหนักแน่น “ว่าแต่...รถพี่เขาสวยไม่เบาเลยนะ” คาร่ารีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ลุงลูคัสซื้อให้เป็นของขวัญเรียนจบน่ะ” วรันยาบอกอย่างรู้สึกอิจฉาเพราะลูคัสเป็นสายเปย์ ที่ชอบหาแรงจูงใจให้บุตรชายทั้งสามทำตาม เพื่อแลกกับของรางวัลราคาแพง “เฮ้อ...อยากได้สักคันจัง” คนที่เพิ่งจะได้ Honda Civic ป้ายแดงเป็นของขวัญวันเกิดไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ถอนหายใจอย่างรู้สึกเซ็งๆ ไม่ใช่ว่าทางบ้านของเธอไม่มีฐานะ แต่พ่อของเธอไม่มีทางจะซื้อ Audi R8 มาให้ขับแน่ๆ “แหม...แค่นี้ก็ดีแล้วคาร่า ทั้งสวยเฉียบ! แล้วก็นั่งได้หลายคนด้วย” วรันยารีบบอก ไม่ใช่ต้องการจะปลอบใจเพื่อนสาว แต่เพราะชอบรถรุ่นนี้จริงๆ “อ๊ะ! ว่าแต่ใบงาเกาหลีที่ให้มาปลูกครั้งก่อนโตหรือยัง” คนที่กำลังคุยเพลินถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “โตแล้ว ออกใบเยอะเลย” วรันยาอมยิ้ม เมื่อนึกไปถึงต้นงาเกาหลีที่เธอกับเพื่อนสั่งซื้อมาเพาะปลูกพร้อมๆ กัน “ดีเลย! ฉันเตรียมเนื้อหมักกับกิมจิมาด้วย อยู่ในกล่องท้ายรถ” “โห...พร้อมจริงๆ เลยนะคุณคาร่า” วรันยาเอ่ยแซว เธอเพิ่งจะรู้จักกับคาร่า ไคล์ ลูกครึ่งไทย-อิตาลี ที่ย้ายมาเรียนต่อชั้นมัธยมปลาย (ม.4) ได้ไม่ถึงสองปี แต่กลับรู้สึกสนิทกับอีกฝ่ายมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ “เดี๋ยวเราถึงแล้วจุดเตาเลยนะ” คนที่หิวจัดบอกด้วยสายตาเป็นประกาย “หึๆ นี่ถ้าเธอขับรถมาหาฉันที่รีสอร์ตแล้วไม่เจอจะทำยังไงเนี่ย?” วรันยาเอ่ยถามอย่างสงสัย “ก็คงจะย่างเนื้อแล้วนั่งกินรอจนกว่าเธอจะกลับมั้ง” “คิกๆๆ” วรันยาหัวเราะขำๆ กับความชิลล์ของเพื่อนสาวที่ไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนกับสถานการณ์ใดๆ “อ๊ะ! ว่าแต่เธอจะไปเที่ยวอังกฤษเมื่อไหร่เหรอไวน์” “อีก 5 วันจ้ะ” วรันยาบอกยิ้มๆ “แหม...อิจฉาจัง” คนที่มีจุดมุ่งหมายในใจบอกเสียงอ่อน “ไปด้วยกันไหม” วรันยาหันไปถามคนที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่น ผิดกับเธอซึ่งกำลังจะได้เดินทางเป็นครั้งแรก “ไม่! ปิดเทอมนี้ฉันจะทำงานหาเงิน” “แม่เจ้า! อย่าบอกนะว่าเธอจะ...” “ใช่! ฉันจะไลฟ์สดขายเสื้อผ้า” “ฉันเอาด้วย” คนที่อยากจะลองหาเงินเองบอกอย่างรู้สึกตื่นเต้น “จริงดิ?” คาร่ามองเพื่อนซี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ ‘ตายๆ สงสัยจะมีแต่ผู้ชายเข้าดูไลฟ์สดกันเต็มแน่งานนี้’ “จริงสิ” วรันยาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอไม่อายเหรอ?” คาร่าถามย้ำเพื่อความชัวร์ “ไม่อายหรอก ดีเสียอีกจะได้มีเงินเก็บ” วรันยาส่ายหน้าอย่างไม่แคร์ “คิดเหมือนกันเลย ฉันไม่อยากพึ่งพ่อกับแม่ อยากมีเงินใช้เอง เผื่อบางทีจะซื้อ Audi R8 มาขับเล่นดูบ้าง” คาร่าบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่นหลังจากที่เห็นรถของภาคินเมื่อครู่ ก็ทำเอาเธอถึงกับใจสั่นอยากจะลองนั่งดูสักครั้ง วรันยาหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของเพื่อนสาว “งั้นก็รอฉันกลับมาจากอังกฤษก่อนนะ” “ไปนานหรือเปล่าล่ะ?” คาร่าถามก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าบ้าน “เราไปอาทิตย์เดียวเอง” “โอเค! ฉันจะสำรวจตลาดและหาแหล่งเสื้อผ้ารอ อ้อ! เสื้อเแบรนด์เนมเก่าๆ ที่เธอใส่ไม่ได้แล้วอ่ะ เอามาขายคงได้หลายหมื่นนะ” คาร่าบอกอย่างเสียดาย เพราะเห็นเพื่อนสาวเก็บลงกล่องไปเมื่ออาทิตย์ก่อน สภาพแต่ละตัวยังดูดีสุดๆ “เยี่ยมเลย! เดี๋ยวเราจะลองคุยกับคุณดาหลาดูก่อนนะ เพราะเสื้อผ้า แบรนด์เนมที่เราใส่น่ะคุณดาหลาเป็นคนซื้อให้ทั้งหมด” “อืม! แล้วเราจะลงขันกันคนละเท่าไหร่ดี” “สักห้าหมื่นเป็นไง” “ห้าหมื่นก็ห้าหมื่น” คาร่าพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถตามเพื่อนสาว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD