“แต่หากเจรจาต่อรองกันนานเสียหน่อย ข้าก็พอจะขึ้นราคาให้ได้ คุณหนูสนใจหรือไม่เล่า” สายตาแทะโลมของเถ่าแก่ทำให้สาวงามนึกขยะแขยง อายุปูนนี้แล้วยังคิดเรื่องตัณหาราคะอีก คนผู้นี้คงไม่แก่ตายเป็นแน่
“อ่า นี่ท่านตั้งใจกดราคากันใช่หรือไม่”
“ไอหยา คุณหนูท่านนี้ดูแคลนกันเกินไปแล้ว ข้ามิได้กดราคา เพียงท่านรับข้อเสนอ ข้าจะให้เพิ่มสามเท่า” ตาเฒ่าหื่นกามยิ้มแสยะ
“เช่นนั้นไม่เป็นไร ข้าจะนำไปขายให้ร้านอื่น แล้วจะโพนทะนาให้ชาวเมืองรู้ว่าร้านท่านกดราคาคนยากไร้” เกาชิงหรูดึงมือกลับ เก็บเอาเครื่องประดับมาไว้กับตัว พลางเชิดหน้าหรี่ตามองอย่างผู้เหนือกว่า
“คะ คุณหนู”
“อ่อ แล้วข้าก็จะบอกว่า เถ้าแก่ร้านนี้หัวงู เห็นข้าเป็นสตรีงามจึงคิดจะ...” ปากเล็กหยุดไว้เท่านั้น ก่อนสองมือขยับสาบเสื้อออกเล็กน้อย
“นี่เจ้าตั้งใจจะข่มขู่ข้าหรือ หึ ไม่มีหลักฐานผู้ใดจะเชื่อเจ้า”
“วัวสันหลังหวะเช่นท่าน ผู้คนย่อมเชื่อข้า” ตาเฒ่าผู้นี้เคยถูกทางการจับตัว เพราะลวนลามลูกค้าในร้าน มารู้ภายหลังว่าสตรีนางนั้นเป็นแขกบ้านแขกเมือง บุตรสาวแม่ทัพแคว้นหยาง ดีที่เป็นเพียงการลูบแขนเท่านั้น จึงมีโทษเพียงถูกโบย แต่ก็ทำให้ลุกไม่ขึ้นไปหลายเดือน
เรื่องถูกเล่าต่อกันไป จึงไม่ค่อยมีผู้คนเข้าร้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเข้า ผู้คนก็ลืมเลือนกันไป จึงพอจะมีลูกค้าผ่านเข้ามาบ้าง และเพราะมีเครื่องประดับที่ประณีตงดงาม คนก็ต่างให้ความสนใจ
แต่หากว่าครานี้มีเรื่องไม่งามผุดขึ้นมาอีก ร้านคงมิอาจฟื้นตัวขึ้นมาได้
“....”
“คิดให้ดีๆ เถิด เครื่องประดับของข้า ตีราคาตามจริงได้เท่าใด”
“ข้า...ข้าให้สิบตำลึงทอง”
“เช่นนี้ค่อยคุยกันได้” เกาชิงหรูยิ้มร้าย ยื่นกล่องเครื่องประดับแลกกับถุงเงิน ก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างอารมณ์ดี
“ท่านป้า ข้าเอาหนึ่งไม้”
“5 อีแปะเจ้าค่ะคุณหนู”
“นี่เจ้าค่ะ จริงสิ ท่านป้าพอจะรู้จักคนที่รับตัดเย็บเสื้อผ้าหรือไม่เจ้าคะ พอดีข้าอยากตัดเสื้อ แต่ร้านแถวนี้ราคาแพงเกินไป” เกาชิงหรูรับเอาถังหูลู่มา พร้อมกับส่งเงินไปให้คนขายครบตามจำนวน
“หากคุณหนูไม่รังเกียจที่จะให้ช่างไร้ชื่อตัดเย็บ เพื่อนบ้านของข้า นางก็พอจะทำได้เจ้าค่ะ”
“ข้าไม่รังเกียจ แต่ข้าต้องขอดูฝีมือนางก่อน จึงจะตัดสินใจ”
เมื่อชิงหรูว่าดังนั้น ป้าร้านขายขนมก็ให้ที่อยู่ของช่างตัดเย็บมา ชายาอ๋องจึงตัดสินใจไปดูฝีมือด้วยตนเอง ที่อยู่ที่ได้มาไม่ได้ไกลจากตลาดมากนัก เดินผ่านเข้าไปทางหลังตลาดไม่นานนักก็พบหมู่บ้านที่เป็นจุดหมาย
“ข้ามาหาท่านน้าผินเจ้าค่ะ” เกาชิงหรูทักทายสตรีที่อายุอานามน่าจะประมาณสามสิบต้นๆ ที่กำลังตากผ้าอยู่
“เอ่อ ข้าเองเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดหรือ”
“อ่อ ข้าจะมาดูฝีมือปักเย็บของท่านน้าเจ้าค่ะ ท่านพอจะมีตัวอย่างข้าดูหรือไม่”
“เชิญๆ เชิญเข้ามานั่งก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะรีบนำมาให้” ท่านน้าผินกระวีกระวาดรีบไปนำผ้าที่ตนเองเคยตัดเย็บมาให้คุณหนูผู้นี้ดู
เมื่อก่อนมีเพียงคนในหมู่บ้านที่มาจ้างนางตัดเย็บ น้อยนักที่จะมีผู้อื่น ยิ่งคุณหนูที่แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีเช่นนี้ก็ยิ่งหายาก
“นี่เป็นผ้าที่ข้าเคยตัดเย็บเจ้าค่ะ หากเนื้อผ้าดีคงช่วยส่งเสริมให้อาภรณ์ผืนนี้งามยิ่งขึ้น”
“...ราคาเท่าใดหรือ” ชิงหรูดูทั้งฝีมือการตัดเย็บและการปักผ้าแล้ว เทียบเคียงได้กับช่างฝีมือดี หากว่าได้ลองปักผ้าเนื้อดีที่นางมี ไม่แน่ว่าอาจจะงดงามกว่าช่างฝีมือในตลาดเสียด้วยซ้ำ
“ทุกทีตัดให้คนในหมู่บ้าน ข้าคิดเพียงห้าสิบอีแปะต่อผืนเจ้าค่ะ แต่ได้ผ้าเนื้อธรรมดานะเจ้าคะ ข้าไม่มีเงินทองไปซื้อผ้าเนื้อดีมาตัดขาย”
“ข้าตกลง แต่ข้าจะนำผ้ามาให้ท่านป้าเอง ห้าสิบอีแปะถือเป็นค่าแรงท่าน”
“เจ้าค่ะๆ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
“ข้าไปส่งเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนเดินออกมาส่งลูกค้าหน้าประตู แต่ยังไม่ทันได้ร่ำลากัน เกาชิงหรูก็เห็นกลุ่มคนที่ทยอยไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฟากตรงข้ามของถนน
“คนเหล่านั้น ไปทำสิ่งใดกันที่นั่นเจ้าคะ หรือผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุม”
“อ่อ มิใช่เจ้าค่ะ เวลานี้ใกล้ยามโหย่วแล้ว (17:00 – 19:00 น.) คนในหมู่บ้านไปรอฟังนักเล่านิทานเจ้าค่ะ”
“ฟังฟรี- เอ่อ ไปฟังโดยไม่เสียเงินหรือ”
“ไม่เสียเงินเจ้าค่ะ แต่ก็มีสินน้ำใจ หากเป็นชาวบ้านยากจนก็จะนำผลไม้พืชพรรณไปให้ แต่ได้ยินมาว่าหากมีคุณหนูคุณชายสกุลใหญ่ชมเรื่องที่เขาเล่าแล้วถูกใจ ก็จะได้เงินทองเป็นกอบเป็นกำเจ้าค่ะ”
“อืม น่าสนใจไม่น้อย” ดวงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสง ประกอบกับความหนาวเย็นที่ค่อยๆ บีบรัด ทำให้เกาชิงหรูจำใจเดินกลับออกจากหมู่บ้าน
เดิมทีคิดจะซื้อข้าวของที่จำเป็น พวกเครื่องนอนสำหรับฤดูหนาว หรือไม่ก็วัตถุดิบทำอาหาร แต่เงินมีอย่างจำกัด นางจึงหยุดความคิดพวกนั้นไปก่อน
“ไปเอาที่จวนอ๋องก็น่าจะมีให้กระมัง ผ้าห่มเพียงผืนเดียว”
“เอ่อ ทะ ท่านอ๋องเอ่ยว่าไม่มีให้พ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไร จวนออกจะใหญ่โต หมอนกับผ้าห่มก็ไม่คิดจะแบ่งเมียเลยหรือ!” ชิงหรูยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าเรือนตะวันออก
หลังจากกลับจากตลาด หิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมา คาดว่าคืนนี้ทั้งคืนคงไม่หยุด จึงได้เดินสั่นมาขอเครื่องนอนที่เรือนของจื่ออ๋อง
“ท่านอ๋องทรงอ่านตำราอยู่พ่ะย่ะค่ะ ขอพระชายาอย่าได้เสียงดังรบกวน” แม้ธารกำนัลเรือนนี้จะพูดด้วยถ้อยคำสุภาพ แต่น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง
“จิ๊ ก็ได้ ข้าจะกลับแล้ว” ร่างเล็กหมุนตัวกลับ ขันทีเฒ่าถึงกลับถอนหายใจโล่งอก ทว่าพอท่านขันทีหูตู๋หละหลวม ร่างเล็กกะทัดรัดก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือนของสวามี ตรงดิ่งไปหาห้องบรรทม ซึ่งก็หาไม่ยากนัก เพราะเป็นห้องใหญ่ที่สุดในเรือน
“พระชายา กลับออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอโทษนะท่านขันที แต่ข้ากลัวหนาวตาย” ชิงหรูไม่ได้สนใจคนแก่ที่วิ่งตามหลัง นางเข้าไปในห้องบรรทมสวามี ก่อนจะลงกลอนให้เรียบร้อย ในใจรู้สึกตงิดอยู่บ้างว่าทำไมไม่มีนางกำนัลมาเฝ้ารับใช้หน้าประตู
แต่ก็ช่างเถิด ที่นางมาก็เพื่อเอาผ้าห่ม แล้วก็ไปเท่านั้น
“เหอะ! ไอ้อ๋องขี้งกเอ๊ย มีหมอนตั้งสองใบ เตาถ่านก็มีแล้ว ไม่ต้องเอาหรอกผ้าห่มน่ะ” มือเล็กคว้าเอาหมอนมาใบหนึ่ง กับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน
ทั้งที่ควรพอเท่านี้ แต่สายตาเจ้ากรรมกลับเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมหนังสัตว์หลายผืนแขวนอยู่ ไวกว่าความคิด เกาชิงหรูคว้าเอาเสื้อนั้นมากอดไว้หนึ่งตัว
“ขอบใจนะตาอ๋องขี้งก หากพ้นฤดูหนาวแล้วข้าจะเอามาคืน คิกๆ” ริมฝีปากแดงระเรื่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กอดสัมภาระหมายจะเดินออกจากห้อง
แต่ทว่า...
“ขโมยของ มีโทษตัดมือ”