ฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อแสงแดดกระทบเข้าตา พอลุกขึ้นนั่งแล้วรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวไปหมด ฉันหันไปมองพี่คิณณ์ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ
เมื่อคืนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างทำไมตัวเองถึงมีภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้ ฉันกำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำก็รู้สึกหน่วงๆ ที่ท้อง
ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนตอนที่มีอะไรกับพี่คิณณ์เลย แต่คงไม่ใช่หรอกเพราะบนตัวฉันกับเขาก็มีเสื้อผ้าด้วยกันทั้งคู่
และพี่คิณณ์เองก็คงไม่คิดที่จะทำอะไรฉันในห้องของเพื่อนเขาแน่ๆ ฉันเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกใจเมื่อเพื่อนพี่คิณณ์ทุกคนกำลังยืนยิ้มให้ฉันอยู่
“มองหน้าหนูแบบนี้ทำไมคะ?”
“เมื่อคืนมีไรเกิดขึ้นป่ะลิซ?”
พี่มินทร์เพื่อนสนิทของพี่คิณณ์เอ่ยถามขึ้นมา พอเขาถามแบบนี้มันก็ทำให้ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
เกิดอะไรขึ้นเหรอ ฉันจำได้ว่าพวกเรานั่งฉลองงานวันเกิดของพี่มินทร์ แล้วหลังจากนั้นฉันก็เล่นเกมแพ้ทำให้ต้องดื่มเหล้าหมดแก้ว ต่อจากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้เลย
แต่พอจำได้รางๆ ว่ามีพี่คิณณ์นอนอยู่ข้างๆ เท่านั้นเอง ทำไมถามอะไรแปลกๆ แบบนี้ล่ะ เมื่อคืนพวกเราก็อยู่ด้วยกันทั้งคืนไม่ใช่เหรอ
หรือว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นหรือเปล่า เพราะสายตาของเพื่อนๆ พี่คิณณ์ ที่มองมาที่ฉันนั้นดูอยากจะรู้มากว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
“ทำหน้าแบบนี้อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“หนูจำไม่ได้หรอกค่ะ ก็ดื่มหนักกันหมดเลย”
ฉันส่ายหัวอย่างงุนงง พี่คิณณ์ลุกขึ้นมาแล้วเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นแล้วกอดคอฉันเอาไว้ ฉันมองหน้าเขาที่เลิกคิ้วให้เพื่อนอย่างรู้กันทั้งที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับฉันอย่างนั้นเหรอ ทำไมทำหน้าเหมือนรู้กันแค่เพื่อนของเขาเท่านั้น เวลาที่ฉันเมาฉันก็มักจะจำอะไรไม่ได้ซะด้วยสิ หรือว่าฉันเผลอทำอะไรที่มันน่าอายออกไปใช่มั้ย
“พี่คิณณ์คะ...”
“กลับเหอะ”
พี่คิณณ์พูดแทรกขึ้นมาเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังจะถามอะไร ฉันเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเพื่อให้ตัวเองสดชื่นขึ้น
แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บๆ อยู่ที่ส่วนนั้นของฉัน ทำให้ฉันต้องสำรวจมันถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้ตัวเองไม่ได้นอนอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน
ถึงว่าล่ะทำไมมันรู้สึกจุกๆ ที่ท้องแปลกๆ ฉันเดินออกมาถามพี่คิณณ์ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงห้อง พอเขาเห็นฉันก็บี้บุหรี่ทิ้งเพื่อไม่ให้ควันบุหรี่มันมาโดนตัวฉัน เขาจะรู้ว่าฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ที่สุด
“เสร็จแล้วไง เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ”
“หนูมีเรื่องอยากถามค่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“พี่คิณณ์ทำหนูต่อหน้าเพื่อนหรือเปล่าคะ?”
ฉันถามออกไปตรงๆ เพราะเราเองก็คบกันมานานแล้วไม่จำเป็นต้องอายเรื่องแบบนี้หรอก อีกอย่างฉันกับพี่คิณณ์ก็เคยมีอะไรกันหลายครั้งแล้วด้วย
แต่ครั้งนี้ฉันจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันกลัวว่าพี่คิณณ์จะทำอะไรต่อหน้าเพื่อนๆ ของเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็คงอายจนไม่กล้ามองหน้าเพื่อนเขาแล้วล่ะ
“อย่าโกหกหนูนะคะ ตอบความจริงมา”
“เปล่า”
ร่างสูงตอบแค่นั้นแล้วเดินเข้าไปใส่เสื้อยืดของตัวเองที่พาดอยู่ที่โซฟา แล้วหันหน้ามาเรียกให้ฉันไปกินข้าวที่เพื่อนของเขาทำไว้ให้ ก็ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดฉันก็สบายใจ
“มากินข้าวเหอะเดี๋ยวพี่จะได้พากลับ”
“ที่พูดเมื่อกี้พูดจริงๆ ใช่มั้ย ไม่ได้พูดเพื่อให้หนูสบายใจใช่มั้ย?”
“อืม ก็บอกแล้วไงว่าเอากันแค่สองคนไม่ได้ทำให้คนอื่นเห็นหรอก”
พี่คิณณ์ก็เป็นคนนิสัยแบบนี้แหละ แบบว่าไม่ค่อยแสดงออกว่ารักหรือเป็นห่วง เขาเป็นคนปากแข็งนิสัยดิบเถื่อน ไม่มีความโรแมนติกเอาซะเลย
ฉันเองก็เคยถามนะว่าทำไมถึงไม่ทำตัวเหมือนแฟนคนอื่นๆ บ้าง แล้วรู้มั้ยเขาตอบว่าอะไร เขาบอกว่าอย่าเอาเขาไปเทียบกับคนอื่น เพราะคนเรามันไม่เหมือนกัน
ถ้าฉันรับที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ได้ก็ให้ฉันเดินออกไปจากชีวิตเขาได้เลย เพราะที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้เขาทำเพื่อฉันทั้งนั้น และนั่นก็ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะตั้งคำถามแบบนี้กับเขาอีกเลย
จริงอยู่ที่พี่คิณณ์เป็นแฟนที่ไม่มีความโรแมนติก แต่บางมุมของเขาก็ดูแลฉันมาตลอดสองปี มันก็เลยทำให้ฉันอยู่กับเขาได้จนถึงตอนนี้ไง
“กินได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้พี่จะไปซื้ออย่างอื่นมาให้กิน”
“ได้ค่ะ”
ฉันพยักหน้าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ เห็นมั้ยว่าต่อให้เขาไม่มีความโรแมนติกแต่เขาก็คอยถามฉันตลอดเลยนะ
“ยังเจ็บอยู่มั้ยตรงนั้นน่ะ”
“นิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวก็หายแล้ว”
“เออคิณณ์ผู้หญิงที่เอารถมาเข้าอู่เมื่อวันก่อนอ่ะ เธอให้เอารถไปส่งให้เธอที่บ้านนะ”
พี่อ้อนเพื่อนสนิทของพี่คิณณ์อีกคนพูดขึ้นมาตอนที่เรากำลังนั่งกินข้าวกัน พี่คิณณ์พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจเหมือนว่ามันเป็นงานประจำที่เขาต้องทำอยู่แล้ว แต่ประโยคต่อมาของพี่อ้อนทำให้พี่คิณณ์ชะงักช้อนที่จะตักข้าวเข้าปากไว้
“เธอเรียกร้องว่าจะต้องเป็นมึงเท่านั้นที่เอารถไปส่งให้ สงสัยน้องเขาคงติดใจมึงซะล่ะมั้ง”
“ติดใจเรื่องซ่อมรถดีอันนี้พอได้นะเว้ย แต่ติดใจอย่างอื่นนี่กูว่ามันก็เกินไป”
พี่มินทร์ก้มมองเป้ากางเกงพี่คิณณ์ทำให้รู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร ฉันวางช้อนลงเสียงดัง ไม่ชอบคำพูดของพี่มินทร์เลย
เขาพูดเหมือนว่าพี่คิณณ์ชอบมีอะไรกับลูกค้าอย่างนั้นแหละ พี่คิณณ์เงยหน้าจากจานข้าวตัวเองมามองหน้าฉัน ทำให้ฉันลุกเดินหนีออกไปจากห้องอย่างไม่ชอบใจแล้วได้ยินพี่มินทร์พูดตามหลังมา
“เมียมึงไม่พอใจไรวะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก อารมณ์ผู้หญิงน่ะ”
ฉันมายืนรอพี่คิณณ์ที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างอารมณ์เสีย จริงอยู่ที่พี่คิณณ์เป็นผู้ชายหน้าตาดีและมีผู้หญิงเข้ามาติดพันมาก ก่อนที่เราจะคบกันฉันก็ได้ยินข่าวเรื่องที่เขาเคยมีแฟนมาแล้วหลายคน
แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไปเพราะเขาไม่มีเวลาให้ แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่สนใจ เพราะคิดว่าเขาเป็นคนดีมากพอที่จะไม่นอกใจฉัน
เรื่องงานที่เขาทำอยู่ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยเพราะมันคืองานของเขา และพยายามเข้าใจว่าที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อฉัน
บอกเลยว่าวันแรกที่พี่คิณณ์พาฉันมาส่งที่หอพักตอนที่ฝนตกหนักเขาไม่คิดเงินกับฉันสักบาท เหตุผลน่ะเหรอ เขาบอกว่าทำให้ฉันตัวเปียกเพราะงั้นเขาไม่เอาเงินด้วย
“นี่เงินค่ะ ถ้าไม่ได้พี่หนูแย่แน่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่คิดเงิน”
“ไม่ได้นะคะ แบบนี้พี่ก็ขาดทุนน่ะสิ รับลูกค้าแต่ไม่คิดเงิน อีกอย่างตัวพี่ก็เปียกหมดด้วยนะคะ”
“ที่พี่ไม่คิดเงินเพราะพี่ก็ทำให้ลูกค้าตัวเปียกเหมือนกันไง เอาเป็นว่าวันนี้ฟรีครับผม”
“งั้นก็…ขอบคุณนะคะพี่วินสุดหล่อ”
และหลังจากนั้นฉันก็เจอพี่คิณณ์ที่หน้ามหาลัยบ่อยๆ เพราะเขาเป็นวินฯ อยู่ที่นั่น และฉันก็ใช้บริการเขามาตลอดจนกระทั่งเราสนิทกัน ฉันก็เลยขอเบอร์เขาเอาไว้เพื่อที่จะโทรให้เขามารับมาส่ง
รู้มั้ยว่าฉันชอบพี่คิณณ์เพราะอะไร ฉันชอบในความใจดีของเขา ชอบความห่วงใยที่เขามีให้ฉัน ต่อให้เขาจะไม่ได้มีเงินทองหรือร่ำรวยเหมือนฉัน แต่ฉันเชื่อว่าถ้าฉันอยู่กับเขา ฉันจะต้องไม่ลำบาก
ที่ผ่านมาพี่คิณณ์เองก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่าเขาสามารถดูแลฉันได้ แต่ตอนนี้ฉันเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าเขายังเหมือนเดิมกับฉันอยู่มั้ย พี่คิณณ์เดินตามลงมา
เขามองหน้าฉันที่ทำหน้าบึ้งตึงกอดอกพิงรถอยู่ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่ และโยนหมวกกันน็อกประจำตัวของฉันมาให้
ไอ้คำว่าโรแมนติกไม่มีอยู่ในหัวของผู้ชายที่ชื่อคิณณ์แน่ๆ เขาไม่ถามฉันสักคำว่าไม่พอใจเรื่องอะไรถึงได้เดินออกมาแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงว่าเขาน่ะเป็นคนดิบๆ มาตั้งนานแล้ว
เห็นว่าฉันไม่พอใจก็ไม่คิดที่จะถามว่างอนเรื่องอะไรหรือง้อให้ฉันหายงอนเลย ไม่เคยมีหรอกเพราะเขามักจะปล่อยให้ฉันหายเอง อีกอย่างเขาก็ไม่เคยโทรมาบอกฝันดีฉันด้วย มีแต่ฉันเท่านั้นที่โทรไปหาเขา
ถ้าฉันไม่โทรหาเขาก็ไม่คิดที่จะโทรมาเหมือนกัน พอโทรไปก็บอกว่าไม่ว่างแล้วตัดสายทิ้งเลย และไม่คิดจะโทรกลับด้วยนะ มันน่าโกรธมั้ยล่ะ
ฉันเองก็น้อยใจอยู่เหมือนกันนะแต่ก็พูดไม่ได้ไง ถ้าพูดออกไปว่าน้อยใจอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็จะเอางานมาอ้างทุกที ทำให้ฉันเงียบไปและไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
ก็พยายามพูดปลอบใจตัวเองมาตลอดว่าที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาต้องทำงานหาเงินมาให้ฉัน
“ไม่คิดจะถามเลยเหรอคะว่าหนูเป็นอะไร?”
“ถ้าหนูอยากบอกก็บอกมาเลยดีกว่า ไม่อยากถาม”
“…”
“วันนี้พี่ไม่ได้ไปรับนะติดลูกค้า”
พี่คิณณ์หันมาพูดกับฉันขณะที่รถจอดติดไฟแดง เขาก็ไม่ค่อยจะว่างให้ฉันหรอก วันสำคัญของเราสองคนเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ
อย่างเช่นวันนี้ไงเป็นวันครบสองปีเต็มที่เราคบกันมาเขาก็ไม่สนใจที่จะจำเลย ฉันเลยไม่แปลกใจว่าทำไมแฟนเก่าของเขาหลายๆ คนถึงได้เลิกรากันไปแบบนั้น
ก็เพราะว่าเขาไม่ค่อยสนใจหรือไม่คิดจะดูแลแฟนของตัวเองเลย เขาปล่อยปละละเลยเหมือนว่าจะมีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร แล้วแบบนี้จะมีฉันไว้ทำไมกันล่ะ
“ได้ยินป่ะเนี่ยที่บอกอ่ะ?”
“อืม ได้ยินแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับไปแบบไม่เต็มใจ
พี่คิณณ์มาส่งฉันที่หอพักแล้วก็ขับออกไปทำงานที่อู่รถของอาจารย์เขาเลย นี่ก็ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของเขาถึงมีแต่งานกับงาน เขาไม่คิดที่จะหาความสุขใส่ตัวเองบ้างเหรอ
เชื่อมั้ยว่าฉันคบกับพี่คิณณ์มาหลายปีเราสองคนไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนกันเลย พูดอย่างไม่อายเลยนะเวลาที่เรามีอะไรกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็ต้องรีบออกไปทำงานแล้ว
พอฉันถามว่าในชีวิตของเขามีแต่งานอย่างเดียวใช่มั้ย เขาก็มักจะตอบแค่ว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ เพราะเขาเองก็กำลังทำเพื่อฉันเหมือนกัน
“จะอยู่ส่งกันก่อนก็ไม่ได้” ฉันบ่นกับตัวเองอย่างน้อยใจ
“ลิซ”
ฉันหันไปมองหน้าร้านกาแฟที่เปิดอยู่หน้าหอพักก็เห็นว่าเป็นตุ๊กตาเพื่อนสนิทของฉันเอง มันก็พักอยู่ที่หอเดียวกับฉันแต่อยู่คนละชั้นและคนละห้อง
มันหันไปมองพี่คิณณ์ที่ขี่รถออกไปทำงานแล้วก่อนจะหันมาจ้องหน้าฉันแล้วทำหน้าเหมือนไม่ชอบแฟนฉันมาก
“เมื่อกี้เห็นนะว่าใครมาส่งอ่ะ”
“แล้วไง ก็พี่คิณณ์เขาเป็นแฟนฉันอ่ะ มากับเขาก็ไม่เห็นแปลกเลย”
ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะมองพี่คิณณ์ยังไง ถึงหลายคนจะมองเขาเหมือนเป็นพวกนักเลงไม่มีอนาคตแต่ฉันไม่เคยมองแบบนั้น เพราะฉันคิดว่าตัวเองรู้จักเขามากพอกว่าคนอื่น
พี่คิณณ์อาจจะเป็นผู้ชายไม่โรแมนติก เอาใจคนอื่นไม่เป็นแต่เขาก็มีน้ำใจกับคนทั่วๆ ไปนะ เวลาที่เราเดินจับมือกันไปไหนมาไหนก็มักจะมีสายตาของคนที่มองมาเหมือนจะเปรียบเทียบฉันกับเขาว่าเราไม่เหมาะสมกัน
ทุกคนต่างรู้จักฉันในฐานะที่ฉันเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท CER ที่มีชื่อเสียงในประเทศ
“ทำไมต้องมองแบบนี้ด้วย?”
“แกไม่กลัวพ่อแม่แกจะขายหน้าเหรอที่ลูกสาวคนเดียวของท่านมาอยู่กับผู้ชายที่ทำงานเป็นกรรมกรอ่ะ”
“ทำไม คนทำงานแบบนี้เขาไม่ควรมีความรักหรือไง เขาเป็นคนเหมือนเรานะเว้ย ทำไมจะรักกันไม่ได้”
ฉันมองแรงใส่ตุ๊กตา ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดถึงพี่คิณณ์แบบนี้ จริงอยู่ที่เขาไม่รวยและมีฐานะเทียบฉันไม่ได้แล้วมันทำไมอ่ะ
คนทำงานเป็นกรรมกรไม่ใช่คนหรือไงทำไมจะต้องมาดูถูกกันขนาดนี้ คนจนไม่มีขาเหมือนคนรวยหรือไง
แล้วอีกอย่างคนรวยมันบินได้เหรอ ก็ไม่นี่ แล้วทำไมจะต้องมองว่าคนจนเป็นคนไม่ดีด้วยล่ะ ฉันเคยพูดกับตุ๊กตาแล้วนะว่าพี่คิณณ์ถึงเขาจะเป็นแบบนี้แต่เขาก็ไม่เคยให้ฉันลำบากเลย อีกอย่างเขาไม่ได้ใช้เงินของฉันเลยสักบาทด้วย
“พี่คิณณ์เขาไม่เคยให้ฉันลำบากเลยนะ”
“แน่ใจเหรอ ก่อนที่แกจะคบกับเขาอ่ะแกเคยนอนเตียงนุ่มๆ ใหญ่ๆ นั่งรถคันหรู มีเงินใช้ไม่ขาดมือ มีคฤหาสน์ให้อยู่สุขสบาย มีคนรับใช้ให้เรียกตลอดเวลา แล้วตอนนี้ดิ แกไม่ลำบากเลยว่างั้น?”
“ถ้าแกไม่รู้จักพี่คิณณ์ดีพอแกหยุดพูดไปเลยดีกว่าตุ๊กตา”
ฉันต่อว่าเพื่อนตัวเองที่พูดจาแย่ๆ ให้พี่คิณณ์ ฉันพยายามที่จะไม่ถือสาคนรอบข้างแล้วนะ แต่บางทีมันก็ไม่ไหวจริงๆ กับคำพูดแต่ละคำที่สาดใส่แฟนของฉัน ต่อให้เขาจะไม่ได้ทำให้ฉันลุขสบายขนาดนั้นได้
แต่ฉันเชื่อว่าอนาคตเขาจะไม่ปล่อยให้ฉันต้องลำบากแน่ๆ ฉันเชื่ออย่างนั้น
“ฉันไม่อยากรู้จักหรอกแฟนจนๆ ของแกอ่ะ”
“ก็๋ดี เพราะงั้นก็เลิกพูดถึงเขาได้แล้ว”