SOMEBODY05:ที่มาของการนอกใจ

2601 Words
ฉันตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าเพราะวันนี้มีเรียนแต่เช้า พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นพี่คิณณ์นอนข้างๆ ปกติแล้วพี่คิณณ์จะกลับมานอนนะ แต่วันนี้แปลกไปจากทุกวัน เพราะเขาไม่ได้กลับเข้าห้องมาเลย แสดงว่าเขาจะต้องทำงานโต้รุ่งอีกแน่ๆ มันจะมีช่วงหนึ่งที่เขาไม่กลับเข้าห้องมาเลยหลายวัน บางวันเราก็แทบไม่ได้เจอกับด้วยซ้ำทั้งที่ก็พักอยู่ห้องเดียวกัน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าบางทีฉันก็น้อยใจที่พี่คิณณ์เลือกงานมากกว่าฉัน แต่ฉันก็ไปต่อว่าอะไรเขาไม่ได้เพราะที่เขาต้องทำงานหนักแบบนี้ส่วนหนึ่งมันก็มาจากฉันด้วยเหมือนกัน เขาบอกว่าจะไม่ทำให้ฉันลำบากที่เลือกอยู่กับเขา พี่คิณณ์ไขกุญแจเข้ามาในห้อง เขาหันมายิ้มให้ฉันแล้วล้มตัวลงนอนที่โซฟาอย่างเหนื่อยๆ เห็นหน้าเขาก็รู้แล้วล่ะว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนแน่ๆ ฉันไม่ได้ต้องการให้เขาทำงานหนักเพื่อฉันเลยนะ เขาไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่ได้ต้องการความสุขสบายอะไรขนาดนั้นหรอกฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง “ไม่ได้กลับเข้าห้องเลยใช่มั้ยคะ?” “อืม ทำงานทั้งคืนน่ะ โคตรเหนื่อยเลย” “พี่คิณณ์ไหวมั้ยคะ?” ฉันเดินเข้าไปถาม คนตรงหน้าพยักหน้าเหมือนตัวเองยังไหว แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ไหวหรอกดูจากสีหน้าที่เหมือนไม่ได้ทั้งคืนแบบนี้ เห็นแล้วก็อดสงสารแฟนตัวเองไม่ได้ ฉันเข้าไปอาบน้ำและเดินออกมาก็เห็นพี่คิณณ์นั่งเล่นมือถืออยู่ เมื่อกี้ยังทำหน้าเหมือนตัวเองเหนื่อยซะเหลือเกิน แต่นี่กลับยิ้มจนตัวเองหายเหนื่อยเลย “คุยกับใครคะ?” “เสร็จแล้วเหรอ?” พี่คิณณ์เก็บมือถือเข้ากระเป๋าเอาไว้แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที เมื่อกี้ฉันแอบเห็นนะว่าเขากำลังคุยแชทไลน์กับใครไม่รู้ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะคุยกับผู้หญิงหรอก พี่คิณณ์ไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นที่เขาทำงานหนักก็เพื่อฉันเลยนะ ฉันเลยไม่คิดว่าเขาจะกล้านอกใจฉันได้หรอก “แล้วเมื่อกี้คุยกับใครคะ?” “เพื่อนน่ะ มันทักมาคุยด้วย” “พี่มินทร์เหรอ หรือว่าพี่อ้อน?” “พี่ซื้อไข่เจียวมาให้นะอยู่ที่โต๊ะ” พี่คิณณ์ไม่ตอบแล้วพูดขึ้นมาว่าเขาซื้อข้าวมาให้ฉันแล้ว “...” ฉันเดินไปนั่งกินเงียบๆ เวลาที่เขาเหนื่อยฉันก็ไม่อยากชวนคุยอะไรมาก เราเคยทะเลาะกันเรื่องแบบนี้แล้ว ตอนที่เขากลับห้องมา ฉันถามนั่นนี่นิดหน่อยเขาก็โวยวายขึ้นมาว่าฉันจู้จี้จุกจิกกับเขาเกินไป ตั้งแต่นั้นมาฉันก็พยายามที่จะไม่ทำให้เขาต้องเหนื่อยเพิ่ม “ลิซ” “คะ?” “พี่ถามไรหน่อยดิ” ฉันเงยหน้ามองพี่คิณณ์ที่มองหน้าฉันอยู่ก่อนแล้ว เขาเหมือนลังเลที่จะถามเหมือนกลัวว่าจะทำให้ฉันคิดมาก สีหน้าของเขาน่ะมันฟ้องมากเลยนะตอนนี้ “จัสมินเป็นคนยังไง?” “จัสมินเหรอ?” ทำไมพี่คิณณ์ถึงอยากรู้เรื่องของจัสมิน อีกอย่างเมื่อวานฉันก็ลืมถามว่าพวกเขารู้จักกันได้ยังไง พอมาวันนี้พี่คิณณ์ก็มาถามถึงเรื่องของเธออีก ทีแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะก็เห็นว่าพี่คิณณ์บอกว่าเราสองคนเป็นแฟนกันต่อหน้าน้อง แต่พอมาถามแบบนี้ฉันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ไอ้ไว้ใจก็ไว้ใจอยู่หรอกแต่ถ้าไว้ใจมากไปมันก็ไม่เป็นผลดีกับเราเท่าไหร่หรอกนะ “หนูไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกค่ะ แต่เท่าที่เห็นน้องก็น่ารักดีค่ะ เมื่อวานหนูทำแหวนหายน้องก็ขับรถเอาแหวนมาคืนให้ ก็เป็นเด็กดีนะคะ” “งั้นเหรอ?” พี่คิณณ์ขมวดคิ้วยุ่งเหมือนเขาคิดต่างจากฉัน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า พี่คิณณ์พอเห็นว่าฉันมองเขาอยู่เขาก็หันไปเปิดทีวีเพื่อที่จะหลบหน้าฉัน อะไรของเขาเนี่ยถามแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจ “มีอะไรหรือเปล่าคะ?” “เปล่า พี่แค่ถามเฉยๆ เห็นว่าลิซกับจัสมินรู้จักกันน่ะ” พี่คิณณ์มาส่งฉันที่มหาลัยและเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงมือถือของเขาดังขึ้น เขามองหน้าฉันแล้วหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามาแต่ปรากฏว่าเป็นเบอร์แปลก และดูเหมือนเขาลังเลที่จะกดรับมันด้วย ฉันมองอย่างงงๆ ว่าเบอร์ที่โทรหาเขาเขารู้จักเจ้าของเบอร์หรือไง แต่สุดท้ายพี่คิณณ์ไม่ยอมกดรับทำให้ฉันแย่งมือถือมาจากเขาแล้วกดรับเอง ฉันอยากรู้ว่าทำไมวันนี้เขาดูแปลกๆ ไป พี่คิณณ์ตกใจแต่ก็คงไม่ทันแล้วล่ะเพราะฉันกดรับไปแล้ว เชื่อมั้ยแค่เขากดรับฉันจะไม่สงสัยอะไรในตัวของเขาเลย แต่พอเห็นเขาลังเลแบบนี้มันก็ทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขามีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า “สวัสดีค่ะ” [...] แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาและไม่นานสายก็ถูกตัดสายไป ฉันยื่นมือถือคืนให้พี่คิณณ์ และสังเกตเห็นว่าเขาถอนหายใจเหมือนโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ยอมพูด ฉันเลือกที่จะไม่ถามและไม่เซ้าซี้ แต่เลือกที่จะเดินเข้ามาในคณะเลยที่ฉันเงียบแบบนี้เป็นเพราะฉันอยากให้เขาบอกกับฉันเอง พี่คิณณ์ไม่เคยมีความลับกับฉันไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ก่อนที่เราจะคบกันเขาเป็นคนบอกฉันเองว่าไม่ชอบคนโกหก เพราะงั้นเขาจะต้องไม่โกหกฉัน ฉันคิดแบบนั้น เพราะมันจะทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจมากขึ้น หรือพูดง่ายๆ มันก็คือเป็นคำพูดที่ใช้ปลอบใจตัวเองเท่านั้นแหละ เพราะเอาเข้าจริงฉันก็ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก การที่แฟนตัวเองมีความลับกับเราไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้หรอกนะ ฉันเดินเข้าคณะมาก็เห็นแม็กกับตุ๊กตายืนคุยกันอยู่ก็เลยเดินไปหาเพื่อน พอเห็นหน้าฉันที่ทำหน้าเหมือนคิดมากก็ไม่มีใครพูดอะไร ปกติแล้วฉันจะเป็นคนที่ชอบพูดและชอบยิ้มตลอด ฉันแค่อยากให้คนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มตามฉันไปด้วย แต่วันนี้ฉันแสร้งยิ้มไม่ได้จริงๆ ในเมื่อในใจมันยังคิดแต่เรื่องที่พี่คิณณ์เปลี่ยนไป ฉันพ่นลมหายใจออกมาพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้คงที่ จัสมินเดินผ่านมาพอดีเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่พอเห็นฉันยืนอยู่เธอก็ลดมือถือลงแล้วยกมือไหว้ฉันและเพื่อนๆ ก่อนจะเดินขึ้นตึกเรียน “เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นถอนหายใจหลายครั้งแล้วนะ” “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจระบายกับเราก็ได้นะ” แม็กพูดขึ้นมาทำให้ฉันยิ้มตอบเขากลับไป “เออนี่วันนี้จัสมินไม่ได้ซ้อมนะเพราะไปทำธุระกับครอบครัวอ่ะ” พอเห็นน้องฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเธอบอกให้ฉันมาบอกตุ๊กตาแทน และเป็นไปอย่างที่ฉันคิดเมื่อตุ๊กตาทำหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด และบ่นพึมพำของมันคนเดียว ทำให้ฉันและแม็กเดินหนีออกมาเพราะขี้เกียจฟังมันบ่นเรื่องไร้สาระ “วันนี้ดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ” มันก็คงจะจริงแหละที่ฉันไม่ค่อยร่าเริง พยายามจะยิ้มแล้วนะแต่มันก็ได้เท่านี้จริงๆ ก็ไม่ได้อยากทำให้เพื่อนไม่สบายใจไปด้วย แต่จะให้ยังไงได้ในเมื่อฉันมีเรื่องให้คิดในหัวเต็มไปหมด “เรียนเสร็จไปดูหนังกันป่ะ?” “หนังผีน่ะเหรอ?” วันนี้เป็นวันที่หนังผีเข้าโรงหนังพอดี ฉันไม่ชอบดูหนังผีเพราะมันดูไม่คุ้ม อีกอย่างช่วงนี้ฉันก็นอนคนเดียวบ่อยๆ ฉันเป็นคนกลัวผีน่ะ ถ้าต้องไปดูหนังผีฉันก็คงไม่กล้าที่จะนอนคนเดียวแน่ “เราขอผ่านแล้วกันนะ” “อย่าบอกนะว่ากลัวผีอ่ะ?” แม็กถามยิ้มๆ อย่างรู้ทัน ฉันไม่อายหรอกนะที่ตัวเองโตป่านนี้แล้วยังกลัวผี ที่ฉันกลัวผีมันเป็นเพราะตอนเด็กๆ โดนเพื่อนสนิทแกล้งบ่อย แต่ตอนนี้เพื่อนสนิทคนนั้นของฉันเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ จะเรียกว่าเพื่อนสนิทก็ไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าเป็นคนที่ฉันเคยรักมากจะดีกว่า “ใครๆ ก็กลัวไม่ใช่เหรอ?” “ผีมันไม่มีตัวตนนะลิซ มันไม่น่ากลัวเท่าคนหรอก” “…” “ชีวิตจริงน่ะ คนน่ากลัวกว่าผีเยอะนะ อย่างน้อยผีมันก็ได้แค่หลอกให้เรากลัว แต่มันไม่ได้ทำให้เนราเสียใจได้เท่ากับคนหลอกเราหรอกนะ” คำพูดและรอยยิ้มของแม็กทำให้ฉันคิดเหมือนเขาขึ้นมา ผีมันก็เป็นแค่จินตนาการของเราที่เราสร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองกลัว มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่กับคนน่ะบางทีมันก็น่ากลัวยิ่งกว่าผีซะอีก เพราะเราไม่รู้ไงว่าคนเหล่านั้นคิดจะทำอะไรกับเราได้บ้าง ความคิดของคนมันน่ากลัวกว่าการเจอผีอีกนะ ฉันยิ้มให้แม็กที่ยิ้มให้ฉันก่อน เขาคงไม่อยากให้ฉันไม่สบายใจกับเรื่องที่อยู่ในใจก็เลยชวนคุยเพื่อให้ฉันสบายใจขึ้น บางครั้งฉันก็อยากให้พี่คิณณ์ทำหน้าที่ปลอบฉันเหมือนที่แม็กทำนะ แต่เขาก็ไม่เคยทำให้ฉันเลย แต่ฉันก็เข้าใจว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ได้โรแมนติกอะไร แต่อย่างน้อยบอกรักบอกคิดถึงก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะ แม็กพาฉันกับตุ๊กตามาเดินซื้อของที่ห้างเพราะพวกเราไม่ได้มาเดินด้วยกันนานแล้ว ตอนบ่ายวันนี้ฉันไม่มีเรียนกะว่าจะแวะไปหาพี่คิณณ์ที่อู่รถของอาจารย์เขาหน่อยดีกว่า เพราะฉันไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว อีกอย่างอยากไปดูเขาทำงานด้วยว่ามีสาวๆ ที่ไหนมาเกาะแกะเขาหรือเปล่า ฉันไลน์ไปบอกพี่คิณณ์ก่อนว่าจะแวะเข้าไป เพราะถ้าไปโดยไม่บอกเขา เขาจะโกรธมาก ฉันเคยไปโดยไม่บอกเขาแล้วตอนนั้นเราทะเลาะกันหนักมากเลย เพราะเขาเข้าใจว่าฉันจะไปจับผิดเขาที่ทำงานทั้งที่ฉันแค่อยากไปเซอร์ไพรส์เขาเท่านั้นเอง ALISA_Liz : หนูเรียนเสร็จแล้วกำลังจะเข้าไปหานะคะ ไม่นานก็ขึ้นว่าอ่านแล้วแสดงว่าตอนนี้พี่คิณณ์กำลังจับมือถืออยู่ ฉันเลยขอให้แม็กพาไปส่งที่อู่รถที่พี่คิณณ์ทำงานอยู่ ตุ๊กตาค้านเสียงแข็งบอกว่าไม่อยากไปที่นั่นแต่ก็ต้องยอมเพราะถ้าไม่ไปด้วยเธอก็ต้องกลับเองคนเดียว พอมาถึงฉันก็แวะซื้อน้ำและขนมมาเลี้ยงเพื่อนๆ ของพี่คิณณ์และคนที่ทำงานที่อู่ด้วย พี่คิณณ์เดินมาหาฉันเขาปาดเหงื่อที่ไหลเข้าตาตัวเองออก ทำงานหนักจนเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย น่าสงสารจังแฟนฉัน “มาแล้วเหรอ?” “หนูซื้อของกินมาฝากด้วยค่ะ” ฉันถือของมาวางไว้ที่โต๊ะและเห็นว่าบนโต๊ะมีพวกน้ำอัดลมกระป๋อง และขนมขบเคี้ยวต่างๆ ที่ถูกกินแล้ว นี่พวกเขากินกันแล้วเหรอ “พากันกินแล้วเหรอคะ?” “อืม ลูกค้าซื้อมาให้น่ะ” พี่คิณณ์พูดยิ้มๆ แล้วแย่งของในมือฉันไปเปิดกินเหมือนกลัวว่าฉันจะน้อยใจ พี่มินทร์พี่อ้อนก็เดินมากินด้วยเหมือนกัน พวกเขาพากันมองหน้าฉันเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นหน้าพี่คิณณ์ก็รีบหลบตาแล้วกินของตรงหน้าต่อ อะไรของพวกเขาทำเหมือนพี่คิณณ์ไปทำผิดมาแล้วอยากฟ้องฉันแต่ก็กลัวว่าพี่คิณณ์จะตัดเพื่อนอย่างนั้นแหละ แต่ฉันไม่คิดว่าพี่คิณณ์จะนอกใจฉันแน่นอน เขาอาจจะแปลกๆ ไปแต่ฉันเชื่อว่าจะไม่มีทางทำอะไรที่ทำให้ฉันเสียใจแน่ๆ เขายอมทำงานหนักเพื่อดูแลฉันไม่ให้ฉันต้องลำบาก แล้วคนแบบนี้เหรอที่จะนอกใจฉัน “ทำงานหนักเลยสินะคะ เหงื่อออกเยอะมากเลย” “หนักแค่ไหนก็ต้องทำไง งั้นลิซนั่งรอพี่ก่อนนะพี่จะไปทำงานต่อ” “ได้ค่ะ” ฉันนั่งเล่นมือถือรอพี่คิณณ์ที่ทำงานยังไม่เสร็จ วันนี้ฉันไม่ต้องไปซ้อมน้องๆ เพราะไม่ใช่เวรที่ฉันต้องคุม ฉันไปแค่อาทิตย์ละครั้งสองครั้งเท่านั้น ฉันนั่งเล่นได้สักพักพี่มินทร์ก็เดินเข้ามาหาฉันเมื่อเห็นว่าพี่คิณณ์เดินไปหลังร้านแล้ว ฉันละสายตาจากหน้าจอมือถือมองหน้าพี่มินทร์ อะไรของเขาตั้งแต่ที่มาแล้วนะ มีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่พูดเนี่ยเป็นอะไรหรือเปล่า “รอฟังอยู่ค่ะพี่มินทร์” ฉันจ้องหน้าพี่มินทร์เพื่อให้เขาพูดกับฉัน พอพี่มินทร์อ้าปากกำลังจะพูดพี่คิณณ์ก็เดินเข้ามาขัดจังหวะซะก่อนทำให้เรื่องที่เขาอยากพูดกับฉันไม่ได้ถูกพูดออกมา “ไอ้มินทร์งานมึงยังไม่เสร็จมาทำห่าไรตรงนี้?” พี่คิณณ์ลากพี่มินทร์ให้ไปทำงาน พวกเขาก็ชอบเล่นกันแรงๆ แบบนี้แหละ แต่อาการของพี่มินทร์เมื่อกี้มันก็ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้เหมือนกันนะว่าเขามีอะไรอยากบอกฉันหรือเปล่า ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังร้านและเห็นเสื้อเชิ้ตของพี่คิณณ์แขวนไว้ที่ชั้นวางของ ฉันหยิบมือถือที่อยู่ในประเป๋าเสื้อเชิ้ตของเขาออกมาดู ปกติแล้วฉันไม่ชอบทำตัวจับผิดพี่คิณณ์หรอกนะ แต่ท่าทางของเพื่อนเขาเหมือนมีอะไรอยากบอกฉันมันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะแอบดูแบบนี้ ถึงแม้จะเชื่อใจแฟนตัวเองว่าเขาจะไม่นอกใจก็ตามเหอะ แต่เวลาเปลี่ยนคนเรามันก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกันนี่ สิ่งแรกที่ฉันเปิดเข้าไปคือข้อความไลน์ที่เมื่อเช้าฉันเห็นว่าพี่คิณณ์กำลังคุยกับใครไม่รู้และดูเหมือนเขาก็ไม่อยากให้ฉันรู้ด้วย แต่แล้วก็ไม่มีชื่อของเจ้าของแชทมีเพียงแต่ชื่อแปลกๆ เท่านั้น และมันก็เป็นเบอร์เดียวกับที่โทรเข้ามาเมื่อเช้าแล้วไม่พูด ฉันกดเข้าไปดูทันทีว่าพวกเขาคุยอะไรกัน WHO : ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่อยู่คุยเป็นเพื่อนหนู
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD