ตอนที่ 1... คนใบ้
"ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก ถึงที่นั่นแล้ว..."
"โทรบอกแม่ทันที / โทรบอกแม่ทันที” แนท หรือ นันทิชา บอกกับผู้แม่พร้อมกับหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายอย่างใจร้อน
“รู้แล้วน่าแม่ แม่บอกแนทรอบที่สิบแล้วนะ"
"จะไม่ให้แม่เป็นห่วงได้ยังไงล่ะ ลืมอะไรอีกฮะ" ผู้เป็นแม่ทำท่าเหนื่อยใจ
"หาพาสปอร์ตไม่เจออ่ะแม่ แนทว่าแนทหยิบใส่กระเป๋าแล้วนะแม่"
"ก็หนีบไว้อยู่ที่รักแร้นั่นไง จะรอดไปถึงอเมริกาไหมเนี่ยลูกคนนี้ ทำตัวให้เป็นห่วงจนวินาทีสุดท้าย แม่ล่ะเหนื่อยใจแทนป้าจิตจริงๆ"
"เห็นไหม แนทหยิบมาแล้ว" นันทิชาหน้าเสียและชูพาสปอร์ตในมือให้แม่ดู
"มา มาให้แม่กอดที"
"แนทคงคิดถึงแม่กับจัสตินมากแน่ๆ เลย แม่ดูแลตัวเองด้วยนะ" เธอโผเข้าสู่อ้อมกอดของแม่ และทั้งสองก็ใช้เวลาถ่ายทอดความรักและความห่วงใยไม่นาน
"แม่คงเหงาแย่ รักแนทนะลูก ถึงที่นั่นแล้ว..."
"โทรบอกแม่ทันที / โทรบอกแม่ทันที" สองแม่ลูกพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะ
"ฮ่าๆ รอบที่สิบเอ็ด แนทไปแล้วนะแม่ ปีหน้าเจอกันนะ" เธอส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ น้ำใสๆ ไหลเอ่อที่เบ้าตา
"ไม่ต้องขี้แยเลย โตแล้วนะลูก วิดีโอคอลมาหาแม่บ่อยๆนะ" ทั้งสองสวมกอดกันอีกครั้ง ก่อนที่นันทิชาจะเดินเข้าไปด้านของในอาคารผู้โดยสายขาออกระหว่างประเทศ เธอโบกมือให้แม่อีกครั้ง...
"กรี๊ด! แอลเอจ๋า I'm coming real soon!" นันทิชากรี๊ดออกมาเบาๆ เมื่อพ้นสายตาของผู้เป็นแม่ เธอเรียนจบด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอมีความฝันที่จะเปิดรีสอร์ทเล็กๆ เป็นของตัวเองริมทะเลสักที่ในอนาคต และเมื่อเธอได้รับคำเชิญชวน ให้มาทำงานที่โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง จากป้าจิต หรือ จิตรา ผู้เป็นป้าแท้ๆ ของเธอ ซึ่งเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอเนียร์ เมืองที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจ ความบันเทิง กีฬา และการท่องเที่ยวของประเทศสหรัฐอเมริกา เธอตัดสินใจตอบตกลงทันที เธอมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานจากบรรดานักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เข้ามาพักที่โรงแรมแห่งนี้
"อุ๊ย! ขอโทษค่ะ" นันทิชาก้มเก็บเอกสารการเดินทางต่างๆ ที่ตกอยู่ที่พื้น หลังจากที่เดินชนกับใครสักคน
"เอิ่ม... I'm sorry." เธอรีบกล่าวคำขอโทษเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อเห็นว่าคนที่เธอเพิ่งทำให้เขาเดือดร้อนเป็นชายหนุ่มชาวตะวันตกผู้มีดวงตาสีฟ้าเข้ม เขาไม่พูดตอบอะไรนันทิชา สายตาและสีหน้าของเขาเย็นชา เธอรีบก้มหยิบพาสปอร์ตที่ตกอยู่ที่พื้นมาเปิดดู เมื่อเห็นว่าเป็นของเขา จึงยื่นมันคืนให้กับเจ้าของ
"I'm really sorry." เธอกล่าวคำขอโทษอีกครั้งเมื่อเห็นเขามีท่าทางไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มสบตากับนันทิชาเพียงเสี้ยววินาที และทำเพียงแค่รับพาสปอร์ตที่นันทิชายื่นให้ ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
"เป็นใบ้หรือไงฮะ พูดด้วยก็ไม่พูด" เธอมองตามร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเข้มคล้ายกับนัยต์ตาของเขาจากด้านหลังอย่างหงุดหงิด
"คุณนันทิชาคะ สายการบินของเรามีความจำเป็นที่จะแจ้งให้ทราบว่า ที่นั่งของคุณนันทิชามีปัญหาค่ะ" พนักงานบอกกับนันทิชา ก่อนที่เธอจะเดินขึ้นเครื่อง นันทิชาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดในการจองตั๋วเครื่องบินอย่างแน่นอน
"ที่นั่ง A62 บริเวณเบาะเกิดความชำรุดกระทันหันค่ะ เป็นความผิดของสายการบินเอง"
"นั่งที่อื่นก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร" นันทิชายิ้มตอบอย่างสบายใจ เธอมองโลกในแง่ดีว่านั่งตรงไหนก็ถึงอเมริกาเหมือนกันแหละน่า แม้ว่าที่นั่งเดิมนั้น เธอจะทำการเลือกมาเป็นอย่างดีแล้วว่าสามารถชมวิวได้โดยไม่มีส่วนปีกของเครื่องบินมาบดบัง
"ที่นั่งชั้นประหยัดเต็มหมดแล้วค่ะ ทางสายการบินมีนโยบายรับผิดชอบด้วยการอัพเกรดที่นั่งของคุณนันทิชาเป็นชั้นธุรกิจแทนนะคะ" พนักงานบอกด้วยรอยยิ้ม นันทิชาใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ เธอกำลังจะถามพนักงานอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป แต่พอกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็มีพนักงานอีกคนวิ่งเข้ามากระซิบบอกพนักงานคนเดิมอย่างหน้าตาตื่น
"ไม่นะ… อย่าบอกนะว่าซ่อมได้แล้ว" นันทิชาภาวนาในใจ
"คุณนันทิชาคะ ทางสายการบินจำเป็นต้องอัพเกรดที่นั่งของให้คุณนันทิชาเป็นเฟิร์สคลาสเลยนะคะ" เธอบอกอย่างยิ้มแย้ม
"เฟิร์สคลาสเลยเหรอคะ"
"ค่ะ ที่นั่งชั้นหนึ่ง พอดีว่าที่นั่งชั้นธุรกิจที่จะอัพเกรดในตอนแรก ผู้โดยสารเจ้าของที่นั่งมาทันเวลาขึ้นเครื่องพอดีค่ะ"
"ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มใช่ไหมคะ" นันทิชาต้องการความมั่นใจอีกครั้ง เพราะถ้าเกิดต้องเพิ่มเงิน เธอคงไม่ยอมจริงๆ ราคาชั้นประหยัดกับชั้นหนึ่งต่างกันเป็นหมื่นบาทเชียวนะ
"ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเลยค่ะ คุณนันทิชาจะได้รับบริการต่างๆ เทียบเท่ากับผู้โดยสารท่านอื่นๆ ในชั้นเฟิร์สคลาส ทั้งหมดนี้เป็นนโยบายชดเชยจากความผิดพลาดของสายการบินค่ะ"
"ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากค่ะ" นันทิชาดีใจเป็นที่สุด ไม่มีใครโชคดีเท่าฉันอีกแล้ว จ่ายตั๋วราคาประหยัด แต่ได้นั่งเฟิร์สคลาส เธอยิ้มกว้างอย่างเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่
"ที่นั่งของคุณนันทิชาค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่เราจัดที่นั่งติดริมหน้าต่างตามคำขอในอีเมล์ของคุณนันทิชาไม่ได้" แอร์โฮสเตสผายมือบอกที่นั่งของเธอ ที่อยู่บริเวณกลางลำของเครื่องบิน ซึ่งมีอีกหนึ่งที่นั่งข้างๆ เธอ
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ขอบคุณมากนะคะ" นันทิชานั่งลงและสำรวจบริเวณรอบที่นั่งอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าเธอจะเดินทางด้วยเครื่องบินหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยได้นั่งในที่นั่งชั้นหนึ่งแบบนี้มาก่อน อะไรๆ จึงดูแปลกใหม่สำหรับเธอไปหมด และยังไม่ทันที่ความตื่นเต้นจะหายไป เธอก็ต้องเก็บอาการตื่นตูมนี้ไว้ เมื่อมีผู้โดยสายท่านอื่นๆ ทยอยเดินเข้ามา สายตาของนันทิชาพลันไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวสูงที่ยืนหันหลังอยู่ที่นั่งข้างๆ เขาพูดคุยเสียงเบากับผู้ชายที่ตัวสูงกว่าเขาหลายเซนติเมตรอีกสองคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แถมสองคนนั้นยังมองมาทางเธออีกด้วย
"ฉันนั่งที่คนอื่นหรือเปล่าเนี่ย" นันทิชากังวล หน้าเธอฟน้าเปลี่ยนสีเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนเมื่อแอร์โฮสเตสเดินมาหาพวกเขาทั้งสามคนและพูดคุยอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มก็นั่งลงที่ที่นั่งข้างๆเธอ โดยไม่พูดจาอะไร ส่วนชายในชุดสูทสีดำอีกสองคนนั่งอยู่ริมหน้าต่างข้างเธอ และอีกคนก็นั่งอยู่ริมหน้าต่างข้างๆ เขา ผู้ชายผิวสีเข้มหันมามองเธอทางเธอเป็นระยะๆ ความสูงที่นันทิชาเดาเอาว่าคงเกินสองเมตรแน่ๆ และสายตาดุที่มองผ่านมา ทำให้เธอรู้สึกประหม่าและอึดอัด แต่เมื่อเขายิ้มกว้างให้เธอ จึงทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
"ขอโทษนะคะ ดิฉันนั่งถูกที่แล้วใช่ไหมคะ" นันทิชาถามแอร์โฮสเตสที่กำลังเดินผ่านเธอไป
"ถูกแล้วค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ" พนักงานอ่านตั๋วอย่างตั้งใจและถามกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"สามคนนี้เค้าจะนั่งด้วยกันหรือเปล่าคะ ฉันสลับที่กับคุณคนนี้ก็ได้นะคะ" นันทิชากระซิบถาม พลางชี้นิ้วไปที่ผู้ชายยิ้มให้เธอเมื่อครู่อย่างแอบๆ เพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะได้ยิน
"ที่นั่งถูกตามลำดับการเช็คอินแล้วค่ะ รัดเข็มขัดด้วยนะคะ อีกห้านาทีเครื่องจะเทคออฟแล้วค่ะ" แอร์โฮสเตสยิ้มให้เธอก่อนจะเดินจากไป นันทิชาตัดสินใจว่าจะไม่สงสัยอะไรแล้ว เมื่อเครื่องบินบินขึ้นสูงในระดับที่สามารถปลดเข็มขัดออกได้ เธอจึงหยิบหนังสือเกี่ยวกับการจัดการโรงแรมขึ้นมาอ่านไปพลางๆ เพื่อทบทวนความรู้ ก่อนที่จะเริ่มงานจริงในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เธอเหยียดขาสบายๆ พลางยิ้มให้กับความโชคดีที่ไม่ต้องนั่งงอขายาวๆ ของตัวเองตลอดการเดินทางกว่าสิบชั่วโมง
"รับน้ำอะไรดีคะ" แอร์โฮสเตสคนเดิมเอ่ยถามนันทิชา เสียงของเธอมาพร้อมกับรถเข็นที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากหลายประเภทให้เลือกสรร
"เอ่อ..." เธอตัดสินใจไม่ถูกน่ะสิ
"แนะนำเป็นไวน์องุ่นค่ะ ลองชิมหน่อยไหมคะ" เธอยื่นแก้วที่มีน้ำสีม่วงเข้มอยู่ครึ่งแก้วให้เธอ
"ขอบคุณค่ะ" นันทิชาตอบรับอย่างกลัวเสียมารยาท เพราะเธอไม่ถูกกับเครื่องดื่มมึนเมาพวกนี้เลย
"ยินดีค่ะ พี่ชื่อก้อยนะคะ มีอะไรเรียกพี่ได้เลยนะ คุณน้องเป็นไทยคนเดียวในชั้นเฟิร์สคลาสเลย ถ้าเบื่อๆ เดินไปคุยกับพี่ข้างหลังได้นะคะ"
"ดีจังค่ะ หนูคิดว่าหนูต้องนั่งอมน้ำลายตลอดทางซะแล้ว ขอบคุณนะคะพี่ก้อย หนูชื่อแนทค่ะ" นันทิชายิ้มอย่างสบายใจ วันนี้เธอโชคดีอีกแล้ว ทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนจะที่เธอจะเดินไปบริการผู้โดยสารคนอื่นๆ
"ว๊าย!" นันทิชาร้องเสียงดังจนต้องรีบเอามือปิดปากเพื่อเก็บเสียงแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผู้โดยสารต่างหันมามองเธอเป็นสายตาเดียว แก้วไวน์ที่เธอวางไว้ที่ชั้นวางด้านข้าง มันดันหกใส่ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ เสื้อเชิ๊ตสีขาวของเขาเปียกเป็นทางยาวไล่ตั้งแต่อกจนถึงเอว ชายชุดสูทสีดำที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอและเขา ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเดินตรงมายังจุดเกิดเหตุทันที
"I'm sorry." นันทิชายกมือไหว้เขาอย่างรู้สึกผิด เธอไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ตอนนี้เธอยังงงอยู่เลยว่าแก้วไวน์นั้นหกไปเลอะเขาได้อย่างไร เขามองหน้าเธอแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะส่ายหัวอย่างหงุดหงิด และรับกระดาษทิชชู่จากชายตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ มาเช็ด นันทิชามั่นใจว่าได้ยินเสียงความไม่พอใจจากเขา ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินตรงไปยังห้องน้ำ
"Damn it" เธอแน่ใจว่าเขาพูดแบบนั้นจริงๆ เขาพ่นคำสบถตำหนิเธอแน่ๆ แม้มันจะเบาคล้ายว่าเขาพูดคนเดียว และแม้ว่าเธอจะรู้สึกผิดมากเพียงใด แต่ก็อดหมั่นไส้ท่าทางหยิ่งยโสของเขาไม่ไหว ขอโทษตอนเดินชนก็แล้ว ขอโทษตอนนี้ก็แล้ว เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้อภัยเธอเลยสักนิด หนำซ้ำยังทำตัวเป็นคนใหญ่คนโต มีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน แต่เอาเข้าจริงๆ เธอก็ไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาหรอกนะ
"I am so sorry." นันทิชาขอโทษและบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจเมื่อเขาเดินกลับมา สายตาคมมองกลับมาเพียงไม่กี่วินาที เขาหันไปโบกมือให้ชายชุดสูทสีดำ ทั้งสองยืนกุมมือของตัวเองไว้ที่ด้านหน้า เมื่อได้รับคำสั่งให้กลับไปนั่งที่ก็พยักหน้ารับทราบ และกลับที่นั่งของตัวเอง นันทิชาได้ข้อสรุปว่าสองคนนี้ต้องเป็นบอดี้การ์ดของเขาจริงๆแล้วแหละ ร่างสูงหันกลับมานั่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรกับนันทิชาอีกเช่นเคย เธอไม่รู้จะทำยังไงดีจึงนั่งที่ของตัวเองแต่โดยดี
"ด่าฉันยังดีซะกว่า" เธอชำเลืองมองและตำหนิเขาเบาๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นสายคมมองกลับมาที่เธอ ก่อนที่นันทิชาหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อจนเผลอหลับไป
"น้องแนทคะ ทานอาหารค่ะ" กัญจิรา หรือ ก้อย แอร์โฮสเตสคนสวยสะกิดให้เธอตื่น นันทิชาได้กลิ่นอาหารหอมๆ ก็สดชื่นขึ้นมาทันที เธอเริ่มจัดการอาหารแต่ละอย่างเข้าปากอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายชั่วโมงแล้ว
"ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวแนทเดินไปหานะคะ" เธอกระซิบบอกกัญจิราที่เดินมาเก็บถาดอาหาร
"สวัสดีค่ะ" นันทิชายกมือไหว้กัญจิรา เพราะเธออายุมากกว่า
"ว๊าย ไหว้พี่ทำไมคะ พี่สิต้องไหว้น้องแนท น้องแนทเป็นเจ้านายพี่นะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ได้เดินเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งอยู่ตรงนั้นอึดอัดจะแย่"
"ทำไมล่ะคะ มีอะไรที่พี่ดูแลไม่ดีหรือเปล่า" กัญจิราตกใจ
"เปล่าค่ะ พี่ก้อยดูแลดีมากค่ะ แนทแค่เบื่อผู้ชายที่นั่งข้างๆ น่ะค่ะ ที่แนททำไวน์หกใส่เค้าก่อนหน้านี้ไงคะ แนทขอโทษก็ไม่ตอบอะไรแนทสักคำ แถมสายตาที่มองแนทนะ เหมือนจะฆ่าแนทยังไงก็ไม่รู้" นันทิชาพูดยาวเยียด
"ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะน้องแนท คุณจัสตินก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ พี่บินกับคุณจัสตินบ่อยมาก พี่ยังไม่เคยเห็นเค้ายิ้มเลยนะ"
"เค้าชื่อจัสตินเหรอคะ" นันทิชากลั้นขำ
"ใช่ค่ะ เค้าบินมาดูแลธุรกิจที่บ้านเราบ่อยมาก เดือนละสองครั้งได้มั้ง แล้วน้องแนทขำอะไรเหรอ"
"เค้าชื่อเหมือนหมาที่แม่แนทเลี้ยงไว้เลยค่ะ ฮ่าๆ" นันทิชาขำออกมาเบาๆ
"พี่ว่าหมาน้องแนทนั่นแหละค่ะที่แปลก ตั้งชื่อซะเหมือนคนเลย" กัญจิราอมยิ้มกับเรื่องนี้
"แล้วสองคนนั้นเป็นบอดี้การ์ดเค้าเหรอคะ" นันทิชาบุ้ยปากไปทางชายชุดสูทสีดำทั้งสองคนคน
"ใช่ค่ะ คนรวยอ่ะเนอะ ต้องรักษาความปลอดภัยกันหน่อย" กัญจิราอธิบาย ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันสักพัก ก่อนจะที่นันทิชาจะกลับมานั่งที่ของเธอ เธอก้มดูนาฬิกาก็พบว่าเพิ่งเดินมาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น ยังเหลือเวลาที่ต้องใช้ชีวิตบนเครื่องบินอีกหลายชั่วโมง หนังสือที่เธอเตรียมมาก็อ่านจนจบแล้ว เธอมีความคิดอยากจะกลับไปนั่งชั้นประหยัดเหมือนเดิม เพื่อจะได้พูดคุยแก้เบื่อกับคนข้างๆ ที่ไม่ถือตัวแบบผู้ชายคนนี้ เธอตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเสียบหูฟังและเปิดฟังเพลง ถ้าได้นั่งข้างหน้าต่างดูบรรดาก้อนเมฆบ้างก็คงจะดีสินะ...
"Excuse me, You would like to change seats with me? You can sit around with you friend" นันทิชาถามหนึ่งในบอดี้การ์ดของเขาที่นั่งอยู่ด้านข้างของเธอว่าเขาอยากจะเปลี่ยนที่กับเธอ เพื่อที่จะได้นั่งใกล้ๆ กับคนเย็นชาคนนั้นหรือไม่
"Yes, sure!" เขาตอบตกลงและทำท่าลุกจากที่นั่ง เขามองผ่านไหล่ของเธอไปและนั่งลงในทันที ซึ่งท่าทางของเขาทำให้นันทิชางุนงง
"Oh Sorry, I changed my mind. I want to enjoy the views" เขาปฏิเสธเธอในวินาทีต่อมาและหันหน้ามองผ่านหน้าต่าง นันทิชาพยักหน้ารับความผิดหวัง พลางสงสัยในใจว่าเขาจะอยากชมวิวอะไรตอนนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขาแทบไม่ได้สนใจมันเลยด้วยซ้ำ เธอนอนหลับบ้าง กินบ้าง ดูหนังบ้าง ฟังเพลงบ้าง จนในที่สุดการเดินทางอันยาวนานก็สิ้นสุดลงเสียที นันทิชาทิ้งเรื่องอันแสนอึดอัดระหว่างเธอกับชายหนุ่มชุดสูทสีน้ำเงินเข้มไว้บนเครื่องบิน เธอเดินลากกระเป๋าใบโตสามใบออกมายืนรอป้าจิตราที่ประตูด้านหน้าของสนามบิน และสายตาก็พลันหยุดเมื่อคนที่เธอตั้งใจจะลืม กำลังเดินขึ้นรถคันหรูที่มารอรับ เธอมองเข้าไปในรถที่มีติดฟิล์มสีดำสนิท ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นอะไร แต่กลับรู้สึกเหมือนเธอถูกมองกลับมาเช่นกัน
"แนท!" จิตราวิ่งเข้ามาหาหลานสาวอย่างตื่นเต้น
"ป้าจิต!" นันทิชากระโดดกอดจิตราอย่างคิดถึง เธอไม่ได้เจอป้าจิตมากว่าสองปีแล้ว
"หลานป้า... ไม่เจอไม่กี่ปี เป็นสาวสะพรั่งเลยนะ ฝรั่งตาน้ำข้าวมันต้องตามจีบหนูกันทั้งเมืองแน่" เธอสำรวจรูปร่างของหลานรัก นันทิชาผู้มีส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดห้าเซนติเมตรกับหุ่นเฟิร์มกระชับทุกสัดส่วนเหมือนนางแบบ ผมยาวกลางหลังสีน้ำตาลเข้ม บวกกับผิวสีแทนและจมูกโด่งรับกับใบหน้าและยิ้มกว้างของเธอ ทำให้เธอดูสวยเก๋ไม่ซ้ำคนอื่นๆ ในเมืองไทยที่มักจะนิยมผิวขาวๆ นันทิชาภูมิใจในสีผิวของตัวเองเป็นอย่างมากและไม่คิดจะทาครีมอะไรให้ตัวเองขาวเหมือนคนอื่น เธอบำรุงผิวของเธอให้มีสุขภาพดีเท่านั้น
"เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ดีสิคะ แนทจะได้หลอกฝรั่งพวกนั้นมากินข้าวร้านป้าจิตทุกวันเลย" สองสาวต่างวัยคุยกันอย่างสนุกสนานก่อนจะเดินไปขึ้นรถ เธอทักทายกับลุงเบน สามีของป้าจิตด้วยความคิดถึงไม่ต่างกัน สองสามีภรรยานี้ไม่มีลูกเป็นของตัวเอง เขาจึงเอ็นดูนันทิชาเป็นพิเศษ และมักจะชักชวนนันทิชามาอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่เธอปิดเทอม
"คิดถึงลุงเบนจังเลยค่ะ" เธอสวมกอดชายสูงวัยพุงพลุ้ย
"คิดเถิงแนทเหมียนกานคราบ" ลุงเบน หรือ เบนจามิน หอมแก้มเธอฟอดใหญ่
"โห! ภาษาไทยสำเนียงอเมริกาของลุงเบนนี่ยังเท่เหมือนเดิมเลยค่ะ ฮ่าๆ"