นายแพทย์ภวินท์ยืนมองบ้านสภาพกลางเก่ากลางใหม่ที่ได้ข้อมูลจากเพื่อนสนิทว่าเป็นบ้านที่พราวจันทร์เช่าอาศัยอยู่กับลูกชายด้วยหัวใจที่หดหู่
“คงจะลำบากมากเลยสินะ”
เดิมทีพื้นฐานครอบครัวของพราวจันทร์ก็ค่อนข้างขัดสน แม้พ่อของเธอเป็นข้าราชการก็จริง ทว่าหนี้สินที่เกิดจากการที่ท่านกู้ยืมมาลงทุนทำบ้านจัดสรรแล้วเจ๊งไม่เป็นท่านั้น ทำให้ครอบครัวลำบากถึงขนาดที่ว่าไม่มีเงินที่จะส่งเสียให้หญิงสาวเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เธอจึงต้องทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียน
และจากที่จิตภัทราเล่าให้ฟัง พราวจันทร์ต้องออกจากมหาวิทยาลัยกะทันหันเพราะเธอท้อง และในปีเดียวกัน ผู้เป็นพ่อก็จากไปด้วยโรคหัวใจ บ้านที่เคยอยู่อาศัยก็ถูกธนาคารขายทอดตลาดเพื่อชดใช้หนี้สิน เธอกับแม่จึงต้องระเหเร่ร่อนออกมาหาบ้านเช่าอยู่ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่พราวจันทร์จะคลอดลูก ผู้เป็นแม่ก็มาจากไปอีกคน
ยิ่งได้รู้ความเป็นไปของชีวิตหญิงสาว เขายิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนทำไว้ หากว่าในอดีตเขาไม่รักสนุกจนไม่สนถูกผิด พราวจันทร์ก็ไม่เป็นเช่นนี้ เธอคงไม่ลำบากและตอนนี้คงเป็นผู้หญิงวัยทำงานที่มีอนาคตสดใส
“พี่ขอโทษนะพราว” เขาพูดกับตัวแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้จะรู้สึกผิดเพียงใด แต่หากมัวแต่จมอยู่กับความรู้สึกผิดก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่เขาควรทำคือรับผิดชอบชีวิตสองแม่ลูกให้ดีที่สุด
เจ้าของร่างสูงใหญ่ก้าวขาเข้าไปในอาณาเขตบ้านเช่าที่แม่ของลูกเช่าอยู่อาศัย ภวินท์เผยรอยยิ้มออกมาเมื่อมองสำรวจบริเวณโดยรอบ แม้สภาพบ้านจะทรุดโทรม ทว่ากลับสะอาดสะอ้านและร่มรื่นไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ สมกับเป็นบ้านเช่าของพราวจันทร์จริงๆ
เพล้ง!
เสียงถาดสเตนเลสตกกระทบพื้นเรียกให้ภวินท์หันไปมองจุดกำเนิดเสียง ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ตรงหน้า
พราวจันทร์เองก็หาได้แตกต่างจากภวินท์ไม่ นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่หวานดูตระหนกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจ้าหล่อนสบสายตากับผู้ที่บุกรุกเข้ามาภายในอาณาเขตบ้าน เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งผู้ชายสารเลวคนนี้จะมาเยือนที่นี่ และคงมีไม่กี่เหตุผลที่นำพาเขามา
เมื่อตั้งสติได้ พราวจันทร์จึงก้มหยิบถาดใบนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือ เธอช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า เรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ทำให้หญิงสาววัยยี่สิบห้าสุขุมเกินกว่าอายุไปมาก
“พี่มาทำไม”
ความเยียบเย็นและแววตายากจะอ่านของเจ้าหล่อนที่มองมาทำให้เขาประหม่า กว่าจะรวบรวมความกล้าเอ่ยเรื่องที่ทำให้ต้องมาที่นี่ในวันนี้ก็นานหลายนาที
“ฝ้ายเล่าทุกอย่างให้พี่ฟังหมดแล้ว”
แม้หลายปีก่อนเธอจะเอ่ยปากขอร้องแพทย์หญิงจิตภัทราไว้ กระนั้นก็ไม่คิดว่าความลับจะถูกปกปิดไว้ได้ตลอดไป สักวันภวินท์ต้องรู้เรื่องนี้ และทันทีที่เห็นหน้าเขา เธอก็รู้เลยว่าวันนั้นมาถึงแล้ว
แต่รู้แล้วอย่างไร..
รู้แล้วผู้ชายชาติชั่วสารเลวคนนี้จะทำอะไรได้
ทะเบียนสมรสก็ไม่มี จดทะเบียนรับรองบุตรหรือก็ไม่
“กลับไปเถอะค่ะ ไม่ว่าหมอฝ้ายจะเล่าอะไรให้พี่ฟัง พี่ก็แค่ฟังก็พอ อย่าเก็บเอาเรื่องไร้สาระพวกนั้นไปคิดให้รกสมองเลย” ทุกคำที่พูดออกไป ไม่ต่างจากมีดที่กรีดหัวใจให้เจ็บปวด กระนั้นก็ทำได้เพียงเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจแล้วเผยใบหน้าที่แสร้งทำเหมือนว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรออกไปให้ชายหนุ่มได้เห็น หกปีแล้วที่เธอกับพ่อของลูกแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง เราสองคนไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้องกัน เพราะภวินท์มีครอบครัวแล้ว
แม่ของลูกจะโกรธหรือเกลียดเขานั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่เธอจะกีดกันเขากับลูก หาใช่เรื่องที่ถูกต้องไม่
“เรื่องของเรา พี่รู้ว่าพี่ผิด พี่ขอโทษ แต่พราวจะเอาความโกรธความเกลียดไปลงที่ลูกไม่ได้ ให้พี่ได้รับผิดชอบลูกเถอะนะพราว” เขาพูดพลางมองบ้านเช่าของพราวจันทร์ “ฝ้ายบอกพี่ว่าปีนี้ตะวันห้าขวบแล้ว ลูกเข้าเรียนอนุบาล อีกไม่กี่ปีลูกก็ต้องเข้าชั้นประถม แล้วก็เรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ โตขึ้นทุกวัน พราวจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายคนเดียวไหวเหรอ ให้พี่ได้ช่วยเถอะนะ” เขาเลือกหยิบยกเอาเหตุผลนี้ขึ้นมา เพราะมีฐานความคิดที่ว่าแม้กระทั่งเหล็กยังบิ่นได้เพราะเงิน นับประสาอะไรกับใจคน แล้วยิ่งกับพราวจันทร์ด้วยแล้ว สภาวะเศรษฐีกิจเช่นนี้ ประกอบกับฐานะของเจ้าหล่อน อย่างไรการรับความช่วยเหลือจากเขาก็เป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเธอเองและลูก
ทว่าภวินท์ประเมินแม่ของลูกต่ำเกินไป สำหรับพราวจันทร์แล้ว เงินไม่สามารถซื้อใจเธอได้ จริงอยู่ที่ว่าฐานะของเจ้าหล่อนไม่ได้ร่ำรวยเฉกเช่นเขา ทว่าความขยันประกอบกับการที่ขวนขวายหาลู่ทางทำมาหากินอยู่เป็นนิจ ทำให้ชีวิตไม่อับจนจนเกินไป เพราะฉะนั้นความช่วยเหลือจากภวินท์ หาใช่สิ่งที่หญิงสาวต้องการไม่ สิ่งที่ใจปรารถนา คืออยากให้เขาไปไกลๆ จากชีวิตต่างหากเล่า
“จริงอยู่ที่ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย แต่ลูกของหนู หนูเลี้ยงเองได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนนอกอย่างพี่หรอกค่ะ”
“แต่เด็กคนนั้นเป็นลูกพี่ พี่ต้องรับผิดชอบ” ถึงเขาจะเป็นผู้ชายรักสนุก แต่ก็ไม่เคยคิดปัดความรับผิดชอบ ลูกทั้งคน จะไม่ให้ดูดำดูดีได้อย่างไร
“ลูกพี่ที่ไหนกัน ลูกหนูคนเดียวต่างหาก”
“ก่อนพี่มาหาพราว ฝ้ายเอารูปลูกของเราให้พี่ดูแล้ว พราวเคยสังเกตหน้าลูกบ้างไหมว่าเหมือนพี่แค่ไหน” แม้ไม่มีผลดีเอ็นเอมายืนยัน แต่ใบหน้าของตะวันฉายนั้น หาได้มีส่วนคล้ายพราวจันทร์ไม่ ตา จมูก ปาก ล้วนถอดแบบมาจากเขาราวกับคนคนเดียวกัน
เรื่องที่ภวินท์บอกว่าตะวันฉายหน้าเหมือนเขา เธอไม่ปฏิเสธ แต่.. “แล้วไง ในใบเกิดลูก มีชื่อพี่เป็นพ่องั้นเหรอ พี่จดทะเบียนรับรองตะวันเป็นลูกงั้น หรือเราจดทะเบียนสมรสกัน” เจ้าหล่อนช้อนตาขึ้นมองพ่อของลูกที่นิ่งเงียบไปแล้วเหยียดยิ้มหยัน “ไม่มีอะไรสักอย่าง”
“พี่ไม่รู้ว่าพราวท้อง” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเบาเสียจนน่ากลัวว่ามันจะเลือนหายไปกับอากาศ
นัยน์ตาสีดำขลับราวกับสีน้ำหมึกฉายชัดว่าเจ้าของมันรู้สึกผิดมากเพียงใดที่ปล่อยให้พราวจันทร์กับลูกชายใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตลอดระยะเวลาหลายปี
พราวจันทร์เหยียดยิ้มหยันเมื่อเห็นสิ่งที่แววตาพ่อของลูกสื่อออกมา เธอไม่เชื่อว่ามันเป็นความรู้สึกจากใจของภวินท์จริงๆ เพราะคนอย่างเขาร้อยเล่ห์มารยา เสแสร้งเก่งเสียจนไม่มีใครคาดถึง ซึ่งครั้งหนึ่งเธอก็เคยตกหลุมพรางผู้ชายคนนี้มาแล้ว
“พี่จำได้ไหมว่าพี่เคยบอกหนูว่าพี่ไม่มีใคร พี่ทำเหมือนเรากำลังคบกัน” ตอนนั้นเธอคิดว่าสถานะระหว่างตนกับนายแพทย์ภวินท์คือ ‘คนรัก’ แม้เขาไม่เคยเอ่ยปากชัดเจนว่าเราเป็นอะไรกัน แต่การกระทำของชายหนุ่มหาได้ขัดแย้งกับสิ่งที่เธอคิดไม่ “แต่ความจริงแล้วทุกอย่างที่พี่ทำก็เพราะพี่แค่อยากได้ตัวหนู พอพี่ได้ทุกอย่างที่อยากได้ พี่ก็ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ส่วนหนู.. เป็นแค่ลูกจ้างคลินิกของพี่เท่านั้น”
วันที่ภวินท์แต่งงาน ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของชายหนุ่ม เธอสั่งซื้อเค้กจากร้านดังด้วยเงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงาน หวังนำไปเซอร์ไพรส์ชายที่ตนรัก แต่ใครเล่าจะคิดว่าคนที่ถูกเซอร์ไพรส์กลับเป็นเธอเสียเอง
เรียวปากอิ่มคลี่เผยรอยยิ้มบางๆ สวนทางกับแววตาที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “แต่เรื่องพวกนั้นมันก็เป็นแค่อดีตที่ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว หนูไม่อยากพูดถึงอีก ตอนนี้เราต่างคนก็ต่างมีทางเดินชีวิตเป็นของตัวเอง หนูมีชีวิตของหนู พี่เองก็มีครอบครัว เพราะฉะนั้นพี่อย่ามาที่นี่อีกเลยนะคะ”
ไม่มีคำพูดไหนที่ออกจากปากพราวจันทร์ที่ไม่ใช่ความจริง ภวินท์ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาแม่ของลูก เขายอมรับว่าตนนั้นทำผิดกับหญิงสาว เขาหลอกเธอ แต่หากในตอนนั้นเจ้าหล่อนเอ่ยปากบอกเรื่องลูก มีหรือที่เขาจะปัดความรับผิดชอบ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่เธอ แต่อย่างไรลูกก็คือลูกของเขา คือสายเลือดแท้ๆ ของอัศวบวรกุล
“ไม่ได้หรอกพราว ถึงยังไงลูกก็เป็นลูกของพี่ พี่ต้องรับผิดชอบ ต่อให้พราวไล่พี่ พี่ก็จะหน้าด้านมาหาลูกเหมือนเดิม พี่ไม่สนหรอกนะว่าพราวจะเกลียดจะโกรธพี่แค่ไหน แต่ที่พี่สนคือลูก ลูกคือสายเลือดพี่ พี่จะยอมให้เขาลำบากเด็ดขาด” ภวินท์ยืนกรานหนักแน่น
แล้วคิดว่าเธอสนใจหรือว่าเขาจะคิดเช่นไร “ก็อย่างที่หนูบอก ไม่มีอะไรที่ยืนยันได้สักอย่างว่าลูกของหนูมีพี่เป็นพ่อ เพราะฉะนั้นถ้าพี่มาที่นี่ หนูจะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก แล้วก็จะบอกภรรยาพี่ด้วย”
คิดว่าขู่เช่นนี้แล้วเขาจะกลัวสินะ “พราวรู้ไหมว่าทำไมฝ้ายถึงยอมบอกเรื่องลูกกับพี่ ก็เพราะพี่.. หย่าแล้ว ตอนนี้พี่โสด แต่ถึงพี่จะไม่โสด พี่ก็จะไม่มีวันทิ้งลูกตัวเองให้ลำบากเพราะผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น”
คนที่ได้ฟังนายแพทย์ภวินท์พูดเช่นนั้นส่งเสียงฮึออกมา พราวจันทร์ปรายตามองผู้ชายที่ทำลายหัวใจเธอเสียจนยับเยินพลางนึกถึงเรื่องเมื่อหกปีก่อนในงานแต่งของชายหนุ่ม เธอจำได้ไม่มีวันลืมว่าเขามองเธอที่ร้องไห้แทบขาดใจผ่านๆ ด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน ไม่มีถ้อยคำปลอบโยน ไม่มีแม้กระทั่งคำขอโทษ สิ่งเดียวที่เขาทำคือให้เพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้พาเธอออกจากงาน ไปให้พ้นจากงานมงคลของเขา เพราะกลัวว่าผู้หญิงไร้ค่าคนนี้จะอาละวาดทำลายงานแต่ง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าพี่จะเลิกกับภรรยา ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นกับพี่เหมาะสมกันจะตาย คนหนึ่งเป็นนายแพทย์อนาคตไกล อีกคนเป็นลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาล” น้ำเสียงหญิงสาวเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
“บางทีเหมาะสมอย่างเดียวมันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก” เขาแต่งงานกับศรารินทร์เพราะครอบครัวทั้งสองฝ่ายมีความเห็นพ้อง กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าระหว่างเราสองคนไร้ซึ่งความพึงใจ ชีวิตแต่งงานในช่วงแรกมีความสุขมาก เพราะต่างฝ่ายต่างเผยเพียงด้านดีๆ ให้เห็น แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อความหลงใหลเริ่มจืดจาง ธาตุแท้ที่เก็บงำจึงถูกเปิดออก จากชีวิตรักที่เต็มไปด้วยความหวาน จึงผันเปลี่ยนเหลือเพียงความขม “แต่พี่กับปลาเราไม่มีลูกด้วยกันนะ ถ้าพราวห่วงเรื่องนี้ สบายใจได้เลย พี่มีลูกคนเดียวคือลูกของเรา”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอสาแก่ใจที่ชีวิตคู่ของภวินท์ไปได้ไม่รอดตลอดฝั่ง กระนั้นก็ไม่คิดเอ่ยปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ถ้าหนูมีลูกกับพี่จริงๆ พี่เคยคิดบ้างไหมว่าเวลาที่พี่กำลังนอนกอดอยู่กับภรรยา กำลังมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน หนูต้องเจอกับอะไรบ้าง” ภวินท์ก้มหน้าหลุบตาต่ำ เขาไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาเธอ “ฮึ!ไม่เคยคิดสินะ ในสมองพี่ก็คงคิดแค่ว่าพี่ทำหนูท้อง พี่ต้องรับผิดชอบ ทำหน้าที่พ่อของลูก แต่พี่เคยคิดบ้างไหมว่าลูกต้องการพ่อแบบพี่หรือเปล่า พ่อที่เห็นแม่ของเขาเป็นเพียงของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว พ่อที่ทำกับแม่ของเขาราวกับหนูไม่มีหัวใจ”