“มิรัน”
ระหว่างที่กำลังมองสองเพื่อนซี้ทำสงครามเย็นทางสายตา เสียงเรียกจากด้านหลัง ก็ดึงความสนใจไป ทันทีที่ทุกคนเห็นเจ้าของเสียง ก็รีบวางกล่องของขวัญในมือ แล้วก้มหัวทำความเคารพพี่คิเรียล ส่วนเธอได้แต่ยืนอึ้ง เพราะไม่คิดว่าพี่เขาจะกลับมาเซอร์ไพรส์ ติดต่อกันล่าสุด บอกว่าจะกลับมาอาทิตย์หน้า ไหง๋ถึงกลับมาก่อนแถมยังมีกล่องของขวัญด้วย!
“นึกว่าจะกลับมาไม่ทันฉลองวันเกิดน้องเล็กซะแล้ว”
มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายสัก วางลงบนศีรษะของคนตัวเล็ก พร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่น แล้วหันไปทักทายพี่ไคกับพี่โจโฉ ที่รับหน้าที่ดูแลรุ่นน้อง ระหว่างที่พี่คิเรียลไปทำงานที่ญี่ปุ่น
“ไงพวกเอ็ง ตกใจที่เห็นข้าอะดิ”
“โธ่เฮีย ผมเกือบช็อกตายแล้วนะ บอกเลย”
พี่โจโฉยกมือลูบอก เหมือนตะกี้หัวใจจะวาย
“อะ” พี่คิเรียลส่งกล่องของขวัญสีแดงให้เธอ
“ข้าอยากมาเซอร์ไพรส์วันเกิดน้องเล็ก แล้วก็อยากมาเซอร์ไพรส์พวกเอ็งทุกคนด้วยไง” พี่คิเรียลยังคงส่งยิ้มใจดีให้ลูกน้องห้าสิบกว่าชีวิต พี่เขาไม่เคยใช้อำนาจที่มีกดขี่ข่มเหงใครเลย ลูกน้องที่อยู่ในแก๊งนี้ส่วนใหญ่นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง มากสุดก็แค่ทำความเคารพ กับรับงานที่ได้รับมอบหมายไปทำให้สำเร็จ แล้วส่วนใหญ่งานในแก๊ง จะเป็นสายงานธุรกิจออกสังคม หน้าตาของคนในแก๊งเลยจัดอยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่หล่อคมเข้ม ก็หล่อตี๋สไตล์เกาหลี ญี่ปุ่น ต่างจากมาเฟียแก๊งอื่น ที่มีแต่หน้าเถื่อน น่ากลัวเหมือนโจรใต้
“ไม่เปิดของขวัญเหรอ?” พี่คิเรียล เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา สไตล์ลูกครึ่งอเมริกา-ญี่ปุ่น เอ่ยถามมิรันที่ยังคงค้างอยู่
“ปะ เปิดค่ะ” เธอดึงสติกลับมา ก่อนจะรีบเปิดกล่องสีแดงใบเล็ก ในนั้นมีสร้อยเพชรเปล่งประกายสวยงาม สวยจนเธอช็อกไปอีกรอบ เรื่องราคาคงไม่ต้องพูดถึงแพงหูฉีกแน่เลย
“หูย~ เฮียให้สร้อยเพชรขนาดนี้ ของขวัญของพวกผมก็เป็นหม้ายสิ” พี่โจโฉหันไปมองกล่องของขวัญสามใบของตัวเองที่ยังไม่ได้แกะ แล้วหันกลับมามองสร้อยเพชรในมือเธอ
“ไม่เป็นหม้ายหรอกค่ะ ของขวัญที่พี่ๆ ทุกคนให้รัน รันถือเป็นของล้ำค่าทุกชิ้น ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่เอ็นดูรันตั้งแต่ปีแรก จนเข้าปีที่แปดแล้ว รันสัญญาว่ารันจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน แล้วจะไม่ทำให้พวกพี่ทุกคนหนักใจค่ะ” มิรันกล่าวคำขอบคุณรุ่นพี่ห้าสิบกว่าคน พร้อมกับยกมือไหว้รอบทิศ แล้วไม่ลืมที่จะส่งยิ้มหวานด้วย แต่แล้วก็ต้องมาชะงักรอยยิ้มที่ใครบางคน เพราะเขายืนกอดอก ดึงหน้า ไม่ยิ้มตอบ
ปกติก็เข้าใจว่าพี่ไคเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบแสดงอารมณ์ แต่ทว่าสีหน้าในตอนนี้ เหมือนเขากำลังบอกเธอว่าให้หุบยิ้มได้แล้ว เขาไม่ชอบเวลาที่เธอยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทุกครั้งที่เธอยิ้ม เขาจะกอดอก ดึงหน้า อย่างไม่สบอารมณ์
“ดึงหน้าใส่น้องอีกแล้วนะมึง” พี่โจโฉยกมือปัดสายตาคู่คม ก่อนจะช่วยรับกล่องของขวัญที่เหลืออีกสี่สิบกว่ากล่อง รับเสร็จ พี่คิเรียลก็เดินนำไปเปิดโต๊ะด้านหน้า ให้เธอเป่าเค้กปอนด์ใหญ่เนื่องในวันเกิด หลังจากนั้น ก็แยกย้ายกันกินเลี้ยงตามอัธยาศัย มีดื่มแอลกอฮอล์ แต่เธอไม่ดื่ม [อายุยังไม่ถึงยี่สิบ] แต่ต่อให้ถึง เธอก็คงไม่ดื่มเพราะมันขมแถมเสียสุขภาพ
“พี่เรียวตะ”
เธอเรียกชื่อนี้ เพราะเขาให้เธอเรียกเพียงคนเดียว
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับของขวัญกับการเซอร์ไพรส์ในวันนี้ หนูช็อกจนทำตัวไม่ถูกเลย” มิรันขอบคุณพี่คิเรียลที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาพยักหน้ารับแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเธอ
“พี่ดูออกว่าหนูช็อก เอ้อ แล้วนี่ไปไหว้พ่อมาหรือยัง?”
“ไปมาแล้วค่ะ พี่ไคเป็นคนพาไป”
มิรันตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ถึงพี่คิเรียลจะเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง แต่ตำแหน่งของพี่เขา อยู่คนละระดับกับเธอ จะให้แสดงความสนิทสนม จนเกินหน้าเกินตาก็คงทำไม่ได้ แค่เรียกชื่อคิเรียลเป็นเรียวตะ เธอยังต้องเรียกในตอนที่เราอยู่ใกล้กัน หรืออยู่กับแค่สองคน เพราะกลัวว่ามันจะไม่เหมาะสม หากเรียกชื่อนี้ ต่อหน้าคนอื่น หรือรุ่นพี่ในแก๊ง
“เสียดาย นึกว่าปีนี้พี่จะได้พาหนูไปไหว้พ่อเสียอีก”
“ถ้าพี่เรียวตะอยากไป เราไปกันอีกรอบก็ได้นะคะ”
เธอเอ่ยปากชวน ถ้าพี่เขาอยากไป เธอก็ไปด้วยได้
“อ้าว ไอ้ไค นั่นมึงจะไปไหนวะ!?” พี่โจโฉตะโกนถามพี่ไค ที่ตอนนี้ลุกออกไปจากโต๊ะแล้ว เธอรีบมองตามจนคอแทบหัก สุดท้ายก็ต้องขออนุญาตพี่คิเรียลไปตามพี่ไคกลับมา
“ไปสิ”
พี่คิเรียลอนุญาต เพราะพี่ไคชอบเป็นแบบนี้ประจำ โดยเฉพาะเวลาที่เธอคุยกับพี่คิเรียลจนลืมว่าพี่เขานั่งอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวหนูรีบกลับมานะคะ”
มิรันยกมือไหว้เป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะรีบวิ่งใส่เกียร์หมาตามพี่ไคออกไปข้างนอกร้าน พี่เขากำลังหยิบมวลบุหรี่สีดำเข้มจากกล่องขึ้นมาจุดสูบ พลางทอดสายตามองไปที่ถนน
“พี่ไค!”
มือเล็กกระตุกชายเสื้อเชิ้ตสีขาว ตอนนี้พี่เขาถอดชุดสูทออกแล้ว เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตปล่อยชาย แถมปลดกระดุมบนสามเม็ด ระบายความร้อน พร้อมกับโชว์แผงอกล่ำสันที่เต็มไปด้วยลายสักรูปมังกร [พี่ไคสักลายทั้งตัว สักโหดพอๆ กันกับพี่คิเรียล เห็นพี่โจโฉเคยบอกว่าเนินจุดสำคัญพี่ไคก็สัก]
เห็นภายนอกชุดสูทเนียนๆ ภายในแทบจะไม่มีที่ว่าง
“บอกแล้วไง ว่าให้เรียกรุ่นพี่ อย่าเรียกชื่อ”
น้ำเสียงเฉยชาพูดขึ้น โดยที่สายตายังมองไปที่ถนน
“ทำไมรันถึงเรียกชื่อรุ่นพี่ไม่ได้ ทั้งที่เราสองคนสนิท…” มิรันหยุดชะงักคำพูด เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งจ้องมองด้วยหางตา พี่ไคเป็นแบบนี้กับเธอมาตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน ถ้าบอสไม่วานให้พี่ไคช่วยฝึกทักษะการต่อสู้ เขาคงไม่มายุ่งด้วย
“เราจำเป็น ต้องทะเลาะกันทุกปีเลยเหรอคะ?”
คำถามของเด็กสาว ทำให้ชายหนุ่มหลบสายตาไปทางอื่น ทุกปีที่เป็นวันเกิดของเธอ เราสองคนต้องมีเรื่องผิดใจกัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาจะเป็นฝ่ายเดินหนีเสมอ ส่วนเธอก็เป็นพวกโรคจิต รู้ว่าเขาไม่ชอบก็ยังจะตามตื๊อ
“รุ่นพี่รู้ใช่ไหม ว่ารันรู้สึกยังไงกับรุ่นพี่”
เป็นครั้งแรก ที่เธอตัดสินใจถามออกไป
ตลอดแปดปีที่ผ่านมา เธอรู้สึกพิเศษกับผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน เธอรู้สึกว่าเขามีความคล้ายคลึงกับพ่อของเธอ ถึงจะไม่ค่อยแสดงออก แต่ก็มีช่วงที่เขาเผลอแสดงความห่วงใย ในตอนที่เธอต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก เขาเป็นคนเดียวที่เข้ามานั่งเฝ้าไข้ข้างเตียงจนถึงเช้าของวันถัดไป
นั่นเป็นจุดเริ่ม ของความรู้สึกรัก (แอบรัก)
“อยากแก้แค้นแทนพ่อไม่ใช่เหรอ?”
จู่ๆ เขาก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ทั้งที่มันไม่เกี่ยวข้องกัน
“ถ้าอยากแก้แค้น ก็เลิกโฟกัสเรื่องไร้สาระ แล้วตั้งใจทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ให้สำเร็จ อย่าให้คนอื่นต้องรู้สึกเสียดายเวลาหลายปี ที่ต้องฝึกเด็กคนหนึ่ง ทั้งที่เด็กคนนั้นไม่มีความมุ่งมั่น มีแต่ความคิดไร้สาระในหัวสมอง” เป็นประโยคที่ยาวที่สุดในรอบแปดปี แต่กลับทำให้เธอรู้สึกจุกอกอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งเขาก็พูดเหมือนอยากให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นแทนพ่อ แต่บางครั้ง เขาก็พูดจาทำร้ายจิตใจ ให้เธอดึงสติกลับมาโฟกัสในสิ่งที่ควรทำ ซึ่งแน่นอน ว่าเขาทำสำเร็จ
“ไปซะ ไปมีความสุขในวันตายของพ่อเธอ”
ประโยคนี้ เปรียบเสมือนมีดปลายแหลม เสียบแทงเข้าที่กลางอกข้างซ้าย หยดน้ำสีใสเริ่มคลอเบ้า มือเริ่มสั่นเทิ้ม
“คำพูดแค่นี้ ยังทำให้เธอเสียน้ำตา เพราะฉะนั้นไปซะ ไปบอกบอสว่าเธอทำมันไม่ได้ แล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ” เขาพูดพลางพ่นควันบุหรี่สีเทาหม่น แววตาคู่นั้นเฉยชา
“รันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เธอกลั้นเสียงสั่น แล้วตอบกลับไป
“รันจะแก้แค้นแทนพ่อให้สำเร็จให้ได้”
“งั้นเหรอ?” ใบหน้าเรียบนิ่ง หันกลับมามองคนตัวเล็กที่ยืนกำหมัดแน่นขนัด เธอพยายามหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลริน
“เธอยังอ่อนหัดเกินไป สำหรับวงการนี้”
“รุ่นพี่อย่ามาตัดสินรัน รันทำได้ รันมั่นใจ”
“งั้นเธอก็อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระกับฉันอีก”
เขาพูดทิ้งท้าย ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น แล้วเดินจากไป มิรันได้แต่ยืนนิ่ง หักห้ามความอ่อนแอไม่ให้แสดงออกมาให้ใครเห็นอีก ถ้าเธออยากจะแก้แค้นแทนพ่อ เธอต้องไม่อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ อย่าทำให้เรื่องหัวใจ มาทำลายความตั้งใจ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำไม่สำเร็จอย่างที่ถูกตราหน้าเอาไว้
“ทะเลาะกันอีกแล้วละสิท่า” พี่โจโฉเดินออกมาทัก
“มันก็เป็นของมันแบบนี้ ปากร้าย แต่ใจเป็นห่วง”
“เขาไม่ได้เป็นห่วงหรอกค่ะ เขาเกลียดหนูต่างหาก”
“เฮ้ย ไปเอาความคิดนั้นมาจากไหน อย่าคิดมากหน่า มันก็แค่ทำตามสันดานมันนั่นแหละ เดี๋ยวสักพักมันก็หาย อีกอย่างนะ ถ้ามันเกลียดเรา มันคงไม่ยอมไปรับไปส่งตั้งแต่เล็กยันโตแบบนี้หรอก” พี่โจโฉพูดพลางขยี้หัวน้องเล็กด้วยความเอ็นดู เธอเลยหันไปสวมกอดร่างสูง แล้วค้างอยู่อย่างนั้นสิบวิ พอครบสิบวิ ก็ถอนกอด แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อดึงสติกลับมา จากนั้นก็ส่งยิ้มแป้นให้พี่โจโฉเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดูทำ เปลี่ยนอารมณ์ไวโคตร”
“หนูรักพี่นะคะ พี่โจโฉสุดหล่อ~”
“รักเหมือนกันนะ ยัยเด็กแสบ~”
เจ้าของผมสีเทาหม่นยกยิ้มร่าให้น้องสาว ก่อนจะจับมือพากันกระโดดโหย่งเหยงเข้าไปฉลองวันเกิดต่อภายในร้าน
รุ่งเช้าของวันถัดมา
มิรันในชุดวอร์มสีแดงสดใส มัดผมยาวสลวยรวบเป็นมวยผม ไม่ให้เกะกะเวลาวิ่งออกกำลังกายยามเช้า ทุกวันสมาชิกในแก๊งจะตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพื่อออกมารายงานตัวกับผู้ดูแล (ท่านสมิธ) ที่เปรียบเสมือนพ่อบ้าน ดูแลสถานที่แห่งนี้
ที่นี่ถูกสร้างให้เป็นบ้านพักของสมาชิกทั้งสามร้อยคน มีสถานที่แบบนี้ทั้งหมดสี่แห่ง แยกอยู่ตามจุดต่างๆ ในประเทศไทย ที่นี่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ เพราะเป็นศูนย์รวมสมาชิกหลัก ที่ต้องดูแลธุรกิจสาขาใหญ่ ทั้งในและนอกประเทศ
เรื่องความเป็นอยู่คงไม่ต้องพูดถึง สุขสบายสมกับค่าตอบแทนที่ได้รับหลักแสน บ้านพักที่คล้ายคลึงกับคฤหาสน์ ทำให้สมาชิกมีอิสระหลังจากเลิกงานแล้ว ทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้ชาย 99.99 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 00.01 เปอร์เซ็นต์ ก็คือตัวเธอกับเหล่าแม่บ้านที่เข้ามาทำหน้าที่ซักผ้า ทำความสะอาดห้องพักให้ชายชาตรี ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องหรู จะอยู่แบบสันโดษหรือนอนรวมกันก็ไม่มีใครมาบังคับ
ที่นี่มีกฎให้ต้องทำตามเพียงสามข้อเท่านั้น
1. ห้ามพาคนนอกเข้ามา เด็ดขาด!
2. ห้ามก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวสมาชิกท่านอื่น
3. ห้ามทะเลาะวิวาทกัน ไม่อย่างนั้นจะโดนลงโทษตามความสมควร [ไม่โดนหักเงินก็โดนสั่งพักงาน]
นอกจากกฎ ก็ยังมีสิ่งที่สมาชิกต้องทำวันต่อวัน
1. รายงานตัวตอนตีสี่ครึ่ง
(ห้ามขาด นอกเสียจากป่วยหนัก)
2. รับงานที่ได้รับมอบหมาย ไปจัดการให้สำเร็จ
(สายงานธุรกิจ ในแต่ละบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ)
3. ฝึกซ่อมทักษะ การต่อสู้ ฝึกมวย ยิงปืน เทควันโด
(ถ้าฝีมือดร็อปลง จะถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น สลับบ้านให้สมาชิกที่มีศักยภาพขึ้นมาเป็นสมาชิกหลักที่นี่)
4. ส่งรายงานเกี่ยวกับธุรกิจที่ไปทำก่อนหมดวัน
(อันนี้มีผลสูงสุด ถ้าสมาชิกทำงานผิดพลาด จะถูกเปลี่ยนสมาชิก หรือถ้าขาดความรับผิดชอบ ก็อาจจะถูกตัดรายชื่อออกจากแก๊ง เพราะเรื่องงานธุรกิจ แก๊งนี้ให้ความสำคัญมาก จะเก่งเรื่องการต่อสู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีความสามารถในการจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย ใครทำผลงานดี รายปี จะมีการจัดงานรวมแก๊งใหญ่ มอบรางวัลให้บุคคลนั้น ซึ่งมูลค่ารางวัล ไม่ต่ำกว่า ยี่สิบล้าน)
เรื่องทักษะการต่อสู้ ในตอนแรกเธอก็ยังไม่เข้าใจ ว่าพวกเขาเคร่งครัดเรื่องฝึกซ้อมกันไปเพื่ออะไร ในเมื่อใช้หัวสมองในการทำธุรกิจ มากกว่าใช้กำลัง แต่พอพี่โจโฉอธิบายให้ฟังว่า บอสเป็นหนึ่งในรายชื่อมาเฟียของประเทศไทย แล้วแก๊งของเราก็ไม่ใช่บริษัทธรรมดา จึงจำเป็นต้องฝึกสมาชิกให้เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ เพราะมีแก๊งอื่น ต่างหมายหัวคนในแก๊งเรา เรียกได้ว่ามาเฟียทั่วทั้งโลกรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของแก๊งคาร์เทลเป็นอย่างดี ถึงจะไม่ได้ขึ้นแท่นเป็นที่หนึ่งในเรื่องการก่ออาชญากรรม ลักลอบค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ส่งออกอาวุธเถื่อนเหมือนแก๊งคิลเลอร์ แต่แก๊งเราก็ยังเป็นเสือใหญ่ ที่สามารถยืนอยู่ในจุดสูงสุดได้นานกว่าแก๊งพวกนั้น
ถ้าไม่มีความสามารถด้านนี้ อาจจะโดนเพ่งเล็งหรือโดนลอบฆ่า จากสมาชิกแก๊งอื่นที่พร้อมจะโค้นเสือใหญ่เสมอ