ซ่าาาา!
ยังไม่ทันไร หยาดฝนเม็ดโตก็พากันกระหน่ำลงมาจากฝากฟ้า เหล่าเด็กนักเรียนที่อยู่กลางสนามหญ้า พากันวิ่งเข้าร่ม ส่วนนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียน ก็ต้องเรียนต่อไปตามหน้าที่
“นี่ มิรัน” เจ้าของเสียงเรียก ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวโจกคนเดิมที่พากันย้ายโต๊ะเรียนมานั่งข้างๆ ตามด้วยโต๊ะของลูกสมุนอีกสองคน ปิดทางไม่ให้เด็กสาวหนีออกไปจากซอกนี้
นักเรียนในห้องเกือบยี่สิบชีวิต หันมามองเป็นตาเดียว ขณะที่ครูยังไม่เข้ามาสอน คนพวกนี้ก็ยังวุ่นวายกับเธอไม่เลิก
“ฉันยังมีอีกเรื่อง ที่อยากให้เธอรับผิดชอบ”
“ไม่” มิรันปฏิเสธทันที เพราะเธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบใดๆ ลำพังยอมทำการบ้านให้ก็มากพอแล้ว
“ถ้าเธอปฏิเสธ สาบานเลยว่าฉันจะสืบเรื่องของเธอ แล้วเอามาประกาศให้คนทั้งโรงเรียนรู้ ว่าเธอเป็นใครกันแน่”
มาร์คพูดพลางยักคิ้วกวนโอ๊ย ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ขึ้นมาเปิดรูปถ่าย ซึ่งรูปนั้น ถ่ายตอนที่เธอกำลังซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ไปกับพี่ไค จะบอกว่าถ่ายรูปสวยดีก็คงไม่ใช่ เพราะเจตนาของคนพวกนี้ ต้องการที่แบล็กเมลเธอ
“นายต้องการอะไรกันแน่?”
มิรันกดเสียงต่ำ สายตาเริ่มไม่เป็นมิตร
“อย่าทำสายตาน่ากลัวแบบนั้นสิ ฉันแค่อยากให้เธอช่วยอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง” แววตากะลิ้มกะเหลี่ย ทำให้มิรันไม่ค่อยเชื่อใจ ว่าเขาจะมีความคิดที่ดี แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะคิดว่า ทำตามที่ผู้ชายคนนี้บอกไป คงจะดีกว่าทำตัวหัวแข็ง แล้วต้องมาแก้ปัญหาด้วยการย้ายโรงเรียนอีก ซึ่งเธอไม่อยากเป็นภาระให้บอสหรือพี่คิเรียล เธออยากเรียนจบมอปลายไวๆ เพื่อที่จะได้ย้ายไปเรียนต่อที่อื่น ในที่ที่มีรุ่นพี่ในแก๊งศึกษาอยู่ จะไม่ได้ต้องกังวล เรื่องที่ตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งมาเฟีย แล้วจะได้ไม่ต้องมีคนอื่น มายุ่งวุ่นวายแบบนี้
“ทางนี้”
ช่วงเวลาพักกลางวัน มิรันยอมเดินตามสามคนนั้นมาที่หลังตึกเรียน พวกเขาหันซ้ายหันขวาดูลาดเลา ก่อนจะกวักมือเรียกเธอให้เดินไปดูช่องทาง ที่สามารถปีนเข้าไปในห้องเก็บของได้ เธอยังไม่ค่อยเข้าใจ เลยหันไปถามความต้องการ
“พวกนายจะให้ฉันทำอะไร?”
“ปีนเข้าไปหยิบของให้หน่อย” มาร์คตอบกลับ พลางเปิดรูปถ่ายในสมาร์ตโฟนอีกครั้ง ให้เธอดูรูปปืนสั้น สีดำทมิฬ
“วันก่อน อาจาร์ยปกครองเดินผ่านมาตรวจทางนี้ ฉันเลยโยนมันเข้าไป แล้วประเด็นคือ ฉันเอามันออกมาไม่ได้ นอกจากจะปีนเข้าทางรูนี้” มิรันยืนฟัง พร้อมกับใช้สายตามองไปที่ประตูสองบานซึ่งมันมีโซ่ล็อกกึ่งกลางอย่างแน่นหนา
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องรับผิดชอบ” เธอพูดพลางกอดอก
“งั้นก็ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนแล้วกัน ถ้าเธอช่วยเข้าไปหยิบปืนออกมาให้ฉัน พวกฉันก็จะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเธออีกเลย ตกลงไหม?” ถือว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่เขาจะทำตามที่พูดได้จริงใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเธอเข้าไปหยิบปืนออกมาให้ แล้วมาเหลี่ยมใส่ สร้างข้อตกลงนู่นนี่ มาเพื่อแบล็คเมลเธออีก
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไง ว่านายจะทำตามคำพูด?”
“พวกฉันสาบานด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย”
ลูกสมุนพูดขึ้น ถ้าเธอจำไม่ผิด คนนี้น่าจะชื่อเว
“ใช่ๆ ถ้าเธอช่วยปีนเข้าไปในรูหนู แล้วหยิบปืนออกมา พวกฉันจะไม่ตามตอแยเธออีกเลย”
อีกคนหนึ่งชื่ออะไรไม่รู้ แต่ดูจากทรง ปืนนั่นน่าจะมีความสำคัญ ไม่ก็อาจจะเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียว ที่สามคนนี้มี
“ตกลง ฉันจะเข้าไปเอามาให้ แต่พวกนายต้องรักษาคำพูดด้วยนะ ถ้าพวกนายผิดคำพูด ฉันจะใช้ปืนนั่น ยิงแสกหน้าพวกนายซะ” มิรันคาดโทษ หากสามคนนี้ผิดคำพูด ก่อนจะเดินไปดูช่องทางอื่นนอกจากรูเล็กๆ รูนี้ ว่ามีทางเข้าอื่นอีกไหม ซึ่งมันไม่มี มีเพียงรูนี้รูเดียวที่เธอจะสามารถปีนเข้าไปได้
“เดี๋ยวไปเลื่อนโต๊ะมาให้ปีน…พรึบ!”
มิรันไม่รอโต๊ะ แต่ใช้ทักษะที่มีในการกระโดดขึ้นไปเกาะกำแพง แล้วยื่นศีรษะเข้าไปในรูนั้น ท่ามกลางสายตาของเด็กหนุ่มสามคนที่มองการเคลื่อนไหวด้วยความตกตะลึง
“ยอดเลย นึกว่าจีจ้ามาเอง”
หนึ่งในสามเอ่ยปากชม ก่อนที่มิรันจะมุดตัวเข้าไปในรูแล้วกระโดดเข้าไปในห้องเก็บของ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นละออง จากเศษไม้โต๊ะเรียนเก่า มิรันยกมือขึ้นปัดเศษฝุ่นออกจากชุดยูนิฟอร์ม แล้วกระโดดลงไปยืนที่พื้นเบื้องล่าง จากนั้นก็ใช้สมาร์ตโฟนเปิดแฟลช เพื่อมองหากระบอกปืนสีดำทมิฬ
“เจอไหมมิรัน!?”
คนด้านนอกตะโกนถามคนด้านใน แต่เธอยังไม่ตอบกลับไป เพราะยังหาปืนกระบอกนั้นไม่เจอ นัยน์ตาสีน้ำตาลสวย กวาดมองไปรอบบริเวณที่ตนเองยืนอยู่ ก่อนจะก้มหัวเล็กน้อย เพื่อดูใต้โต๊ะเก่าว่ามีปืนสั้นสีดำตกหล่นอยู่หรือเปล่า
“มิรัน ตอบอะไรหน่อยสิ!”
มาร์คยังคงตะโกนถามไม่เลิก
“นายช่วยหุบปากสักห้านาทีได้ไหม!”
มิรันตะโกนตอบกลับไปเพื่อตัดความน่ารำคาญ จังหวะนั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นวัตถุสีดำวางอยู่ใต้โต๊ะด้านใน ดูจากปลายกระบอก ก็รู้ทันที ว่านั่นต้องเป็น ‘ปืน’
“ฉันเจอแล้ว!”
เธอตะโกนบอกคนด้านนอกให้รับรู้ มือเล็กค่อยๆ เอื้อมเข้าไปหยิบกระบอกปืนสั้น โดยที่มืออีกข้างยังคงถือสมาร์ตโฟนส่องแฟลชอยู่ ทว่ายังไม่ทันที่จะได้สัมผัส เสียงของอาจารย์ปกครองก็ตวาดขึ้น แทรกเสียงฝน ที่โหมกระหน่ำ
“พวกเอ็งอีกแล้ว มาแอบยืนสูบบุหรี่กันใช่ไหมฮะ!?”
มิรันไม่ได้ตกใจ แต่กลับรีบคว้าปืนออกมาถือเอาไว้
“เปล่านะครับจารย์ พะ พวกผมแค่มายืนสูดอากาศ”
หนึ่งในสามหนุ่มตอบกลับอาจารย์ปกครอง ซึ่งคำแก้ตัวที่ได้ยิน ทำให้มิรันถึงกับส่ายหัวเอือมระอา กับความมีพิรุธ
“สูดอากาศตอนฝนตกเนี่ยนะ พวกเอ็งคิดว่าข้าโง่หรือไงฮะ!?” เธอพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งที่ยังยืนอยู่ข้างใน เพราะตรงจุดที่สามคนนั้นยืนอยู่ ทั้งแฉะ ทั้งมีดินโคลน แถมยังพัดสายฝนเข้ามาอีก ใครจะโง่ไปยืนสูดอากาศตรงนั้นให้ตัวเปียก
“ไปเลย ขึ้นไปที่ห้องปกครองทั้งสามคน!”
“โห่จารย์ พวกผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ!” มาร์คท้วง
“ใช่ครับจารย์ พวกผมแค่จะมาเอาของ…อุ๊บ!”
เสียงคนชื่อเวขาดห้วง น่าจะโดนมาร์คปิดปากเอาไว้
“ของอะไร?” อาจารย์ถามต่อด้วยความสงสัย
“อย่าไปฟังไอ้บ้านี่ครับจารย์ พวกผมแค่มายืนสูดอากาศตอนฝนตกจริงๆ หรือถ้าจารย์ไม่เชื่อ อยากค้นตัวพวกผมก็ได้นะครับ” มาร์ครีบแก้ตัว เพื่อไม่ให้อาจารย์จับได้ ส่วนเธอที่ยังคงยืนอยู่ด้านใน ก็เริ่มส่องแฟลชไปที่กระบอกปืน เพื่อดูลักษณะของปืนกระบอกสั้นที่มีเลขนัมเบอร์สลักอยู่ด้วย
“101130”
มิรันอ่านเลขนัมเบอร์ พลางขมวดคิ้วเรียงสวยด้วยความสงสัย เธอจำตัวเลขพวกนี้ได้ คลับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่พ่อถูกฆ่าตาย
กรึบ!
ชายปริศนากดไกปืน เตรียมระเบิดหัวสมองเด็กน้อย ในระยะสายตา ทำให้อีกฝ่ายที่ถูกจ่อขมับเห็นตัวเลขนัมเบอร์
‘คิดดูอีกที ฆ่าไปก็ไม่ได้อะไรนี่หว่า’
กระบอกปืนถูกลดลง เปลี่ยนเป็นมีดคมกริบ
‘รู้ใช่ไหม ว่าถ้าอยากมีชีวิตรอด ต้องทำยังไง?’
เด็กน้อยก้มหน้าสะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัว
‘จำใส่หัวสมองเล็กๆ ของแกเอาไว้นังเด็กบ้า ถ้าคิดจะเอาคืนแทนพ่อ แกจะมีจุดจบเดียวกัน ที่สู้อย่างเสือ ตายอย่างหมา ถ้าแกอยากจะเดินตามรอยพ่อ ก็แค่มาปรากฏตัวให้ฉันเห็น แล้วฉันจะส่งแก ไปหาพ่อแกในนรกเอง” เสียงทุ้มต่ำน่ารังเกียจ กระซิบข้างใบหูเด็กน้อยที่นั่งตัวสั่นเทิ้ม คมมีดกดลงบนผิวหนังบริเวณลำคอ จนเลือดสีแดงซ่านชโลมเปื้อนเนื้อผ้า
บาดแผลในครั้งนั้น ยังคงฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ
ทำให้มิรันไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไปได้
มือเล็กถือปืนกระบอก ด้วยความคับแค้นใจ แล้วเก็บความสงสัยว่าใครเป็นเจ้าของปืนนี้ เอาไว้ไถ่ถามคนด้านนอก
มิรันรอจนกว่าสามหนุ่มจะเดินตามอาจารย์ขึ้นไปบนห้องปกครอง เธอถึงจะปีนออกมาจากห้องเก็บของ แล้วซ่อนกระบอกปืนเอาไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งรอ บนห้องเรียน
ระหว่างที่นั่งรอ ความทรงจำของเธอกับพ่อก็ไหลเวียนเข้ามาในหัวสมอง เราสองคนเคยมีความสุขด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีแม่เป็นสมาชิกในครอบครัว (แม่เลิกกับพ่อ แล้วยกเธอให้พ่อตั้งแต่แบเบาะ) เราสองคนพ่อลูกมีความทรงจำดีๆ ด้วยกันมากมาย พ่อของเธอเป็นคนใจดี อ่อนโยน และอบอุ่น ทำให้เธอไม่รู้สึกขาดหาย อีกทั้งพ่อยังเป็นคนใจบุญ ชอบพาเธอไปไถ่ชีวิตโคกระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลาทุกอาทิตย์ ทำให้มิรันไม่อยากจะเชื่อ ว่าพ่อจะเป็นนักฆ่าบ้าเลือด ฆ่าใครได้
“มิรัน!”
เสียงเรียกดึงสติของมิรันให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
“เธอบอกว่าเธอเจอมันแล้วใช่ไหม?” มาร์คยิงคำถาม
“ใช่” มิรันตอบเสียงเรียบ แต่ก่อนจะส่งขอคืนให้ เธอก็ดึงแขนมาร์ค แล้วพาออกไปจากห้องเพื่อไปหาที่คุยกันเงียบๆ
“เฮ้ย! เบาได้เบา มือฉันเจ็บอยู่นะ!”
มาร์คโวยวาย แต่เธอไม่สนใจ รีบไปที่มุมตึก
“นี่เธอ ช่วยทะนุถนอมกันหน่อยได้ไหมวะ!?”
“ปืนกระบอกนี้เป็นของใคร?”
ไม่ถามเปล่า แต่กดคอแกร่งกร้านชิดกำแพง
“เป็นอะไรของเธอวะ มิรัน ทำไมจู่ๆ ถึง…กรึบ!”
มิรันยกปืนสั้นขึ้นจ่อขมับอีกฝ่าย เตรียมลั่นไกปืน
“ฉันถามว่าปืนกระบอกนี้เป็นของใคร” เสียงหวานกดต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สีหน้าจริงจังของมิรัน ทำให้อีกฝ่ายเริ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วยกธงขาวเพื่อให้คำตอบเธอ
“ปะ ปืนกระบอกนี้ เป็นของพ่อฉันเอง ฉันแอบขโมยมาอวดเพื่อน” คำตอบที่ได้รับ ทำให้มิรันอยากจะระเบิดหัวสมองคนตรงหน้าให้ตายๆ ไปซะ หากเจ้าของปืนกระบอกนี้ เป็นคนที่ฆ่าพ่อ เธอจะไม่มีวันญาติดี กับผู้ชายคนนี้เด็ดขาด!
“ฉะ ฉันก็แค่อยาก พรึบ!”
มือเล็กผ่อนแรงกดคอแกร่งกร้าน พร้อมกับลดปืนที่จ่อขมับลง ก่อนจะยัดปืนคืนให้เจ้าของ แล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อระงับอารมณ์โกรธแค้นที่กำลังปะทุหนักอยู่ในอกข้างซ้าย มิรันวิ่งมาจนถึงหน้าตึกเรียน แล้วตัดสินใจ วิ่งฝ่าสายฝนออกไป ในขณะที่มาร์คกำลังวิ่งตามมายับยั้งเธอ
“นั่นเธอจะไปไหน!?”
ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนที่วิ่งออกไปแล้ว มีเพียงเสียงฝนที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มาร์คไม่ได้ตามเธอออกมา เธอจึงแอบปีนออกนอกรั้วไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
เรือนร่างเปียกปอนเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย หยาดน้ำฝนจากฝากฟ้าเกาะพราวเต็มใบหน้าสวย มือเล็กที่สั่นเทิ้มจากความโกรธแค้นในอดีต ต้องใช้เวลากว่าจะสงบลง
สุดท้าย มิรันก็มาหยุดยืนอยู่ที่สี่แยกไฟแดง เธอไม่ได้ต้องการที่จะข้ามฝั่ง เพียงแค่อยากยืนมองรถยนต์ขับผ่านไปทีละคัน เพื่อสงบสติอารมณ์จนกว่าสายฝนจะหยุดตกในที่สุด
“มิรัน!”
เสียงเรียกดังมาจากด้านข้าง เมื่อเบือนหน้าไปมอง ก็เห็นมาร์คยืนหอบเป็นหมาในมือถือกระเป๋าเป้ของเธอมาด้วย
“เวรเอ๊ย! เธอเป็นอะไรของเธอวะเนี่ย”
ร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มแดงขาว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะโยนกระเป๋าเป้คืนแล้วจับสายเพื่อดึงร่างเล็กเข้าไปคุย
“นายอยากตายหรือไง?”
“ฉันต้องคนถามเธอมากกว่า ว่าเธออยากตายหรือไงฮะ ถึงได้วิ่งฝ่าสายฝนออกมายืนทำตัวเป็นนางเอกเอ็มวีแบบนี้เนี่ย!?” มาร์คที่ยังหอบอยู่พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น