และแล้วคำภาวนาของเยว่ชิงก็เป็นผล บัดนี้นางอายุได้สามหนาวแล้ว เด็กน้อยตัวกลมสมส่วน ผิวขาวราวหิมะ พวงแก้มสีแดงระเรื่อป่องออกมาจนบิดามารดาและพี่ชายที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องแวะหอมแก้มกลมให้ชื่นใจ จะมีก็เพียงหมิงยู่เท่านั้นที่มักจะชอบบีบแก้มเยว่ชิงเล่นอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนนี้…
“โอ๊ยยย พี่ยอง!” ใบหน้าน่ารักชักสีหน้าใส่พี่ชายของนางอย่างเอือมระอา วันๆ มิคิดจะทำสิ่งใด เดินผ่านไปก็บีบ เดินผ่านมาก็บีบ!
“คุณชายรอง อย่าได้กลั่นแกล้งคุณหนูนักเลยเจ้าค่ะ” แม่นมลี่ที่นั่งเล่นเป็นเพื่อนคุณหนูของนางอดเอ่ยห้ามปรามออกมาไม่ได้
“โถ่ ก็แก้มน้องข้าน่าบีบถึงเพียงนี้ จะให้ข้าอดใจไหวได้อย่างไร ข้าไปหล่ะ ขอไปคัดอักษรก่อนหากวันนี้ไม่แล้วเสร็จ ท่านพ่อจะโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอีก ฮ่าๆ” ว่าแล้วหมิงยู่ก็หยิบโฉยเอาขนมของเยว่ชิงเข้าปากแล้วเดินเข้าห้องของตนเองไป
เยว่ชิงได้แต่ส่ายหัวให้กับท่าทีของพี่ชาย บัดนี้พี่ใหญ่อายุได้สิบหนาว พี่รองอายุแปดหนาว พี่สามอายุหกหนาว และนางอายุได้สามหนาว ซึ่งเป็นวัยเดียวกับที่นางรบเร้าขอเลี้ยงกระต่าย ดังนั้นแล้ววันนี้นางคงจะต้องขอให้ท่านพ่อหาสัตว์เลี้ยงให้นางสักตัวเสียแล้ว ตอนแรกนางนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายคราว่าจะเลี้ยงสัตว์ดีหรือไม่ แต่เยว่ชิงเองก็อยากมีเพื่อนเล่นยามเหงา อย่างน้อยก็ยามที่พี่ๆ เข้าเรียนในสำนักศึกษา
“เยว่ชิงของแม่ มาให้แม่ลองอาภรณ์ตัวใหม่ให้เจ้าเถิด” ซูเมิ่งที่พึ่งตัดเย็บอาภรณ์ให้บุตรสาวและบุตรชายเสร็จก็รีบนำมาให้บุตรสาวลองใส่ เยว่ชิงรีบใช้มือดันพื้นเพื่อจะลุกเดินไปหามารดา เด็กน้อยตัวกลมรีบกางแขนให้มารดาสวมใส่อาภรณ์ให้ เมื่อเสร็จแล้วก็หมุนตัวไปมาให้มารดาดู
“น่าเอ็นดูเหลือเกิน เจ้าชอบหรือไม่” ซูเมิ่งมองบุตรสาวในชุดสีแดงที่นางพึ่งตัดเย็บเสร็จ
“ชอบ! คิกๆ งามๆ” เยว่ชิงมองอาภรณ์ตัวใหม่ของนางแล้วสุขใจไม่น้อย แม้เนื้อผ้าจะมิได้ดีมาก แต่ทว่าฝีมือการปักของมารดานั้นประณีตงดงามหาใครเปรียบได้ยาก
“เจ้าชอบแม่ก็ดีใจ แต่ตอนนี้เราไปอาบน้ำกันก่อนเถิด ประเดี๋ยวท่านพ่อก็จะกลับมาแล้ว” ซูเมิ่งอุ้มตัวบุตรสาวเข้าเอวอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าบุตรสาวของนางจะวิ่งเล่นได้แล้ว แต่บุตรสาวตัวน้อยของนางก็ชอบรบเร้านางให้อุ้มอยู่บ่อยครั้ง
ใช้เวลาเพียงไม่นานซูเมิ่งและบุตรทั้งสี่ก็มานั่งรอลู่หวังเหล่ยในห้องโถง บนโต๊ะมีอาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ลู่หวังเหล่ยที่พึ่งกลับมาก็รีบล้างมือล้างเท้าแล้วเข้าไปหาภรรยาและบุตรทันที ลู่หวังเหล่ยพยายามสลัดความเหนื่อยล้าจากการทำงานออก แต่ทว่าร่างสูงกลับมิอาจควบคุมอาการสั่นเทาของร่างกายตนเองได้
“ท่านพี่ เหตุใดจึงสั่นเทาเช่นนี้เล่า เกิดอันใดขึ้น” ซูเมิ่งตกใจเมื่อเห็นสภาพของสามีนาง
หรือว่าจะถูกกลั่นแกล้งอีกแล้ว…
“มิเป็นไร พี่เพียงแค่หิวเท่านั้น วันนี้มีงานตรวจทรัพย์สินมากมายนัก พี่จึงไปไม่ทันโรงครัว เขาปิดไปก่อนพี่จึงมิได้ทานอันใดตั้งแต่มื้อกลางวัน”
“โถ่ เช่นนั้นก็รีบกินเข้าเถิด นี่เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจะเตรียมขนมไว้ให้ เผื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกนะเจ้าคะ” เยว่ชิงมองบิดาด้วยความสงสาร หากวันหน้าบิดาของนางมิต้องอยู่ใต้บัญชาของผู้ใดก็คงจะดี เรื่องครานี้แม้ท่านพ่อจะไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา แต่นางก็รู้ได้ทันทีว่าคงมิพ้นถูกขุนนางขั้นสูงพวกนั้นกลั่นแกล้งมาเป็นแน่
“ให้!” มือเล็กของเยว่ชิงใช้ตะเกียบปักเนื้อไก่ในจานข้าวของนางไปให้บิดา แม้จะใช้ตะเกียบไม่คล่อง แต่เด็กน้อยก็พยายามนำเนื้อไก่ไปให้บิดาจนได้
“โอ้ เจ้าให้พ่อหรือ ฮ่าๆ ขอบใจเจ้ามาก” ลู่หวังเหล่ยลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ เมื่อลู่หวังเหล่ยคีบอาหารเข้าปากทุกคนจึงได้เริ่มทานข้าวกัน หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ซูเมิ่งก็นำชาและขนมมาให้เด็กๆ ได้ทานเล่น
“เป็นอย่างไรบ้าง คัดตำราพื้นฐานเสร็จตามที่พ่อบอกไว้หรือไม่”
“เสร็จทุกเล่มแล้วขอรับ” เฉิงกงที่อุ้มน้องสาวอยู่บนตักเอ่ยตอบบิดา
“ดีแล้ว พ่อมิมีเบี้ยหวัดมากพอให้พวกเจ้าไปเรียนในสำนักศึกษา แต่ไม่นานหากพ่อได้เลื่อนขั้นเบี้ยหวัดก็จะมากตามไปด้วย ถึงครานั้นพ่อจะส่งพวกเจ้าไปสำนักศึกษาแน่ มิต้องห่วงไป” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยอย่างมีความหวัง ขุนนางในแคว้นเฉินนั้นจะถูกพิจารณาเลื่อนขั้นจากผลงานและอายุการทำงาน ลู่หวังเหล่ยที่มีทั้งผลงานที่โดดเด่นและทำงานมานานจึงได้มั่นใจว่าตนเองจะได้เลื่อนขั้นในไม่ช้า
“ข้าเข้าใจขอรับ ลำพังที่ท่านพ่อสอน ข้าและน้องๆ ก็ได้รับความรู้มากมายแล้ว ท่านพ่อมิจำเป็นต้องเร่งรีบ” เฉิงกงเอ่ยออกไปตามที่เขาคิด
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตั้งใจให้มาก” ลู่หวังเหล่ยตบบ่าลูกชายทั้งสามเบาๆ ครอบครัวกำลังดื่มด่ำกับความรู้สึกซึ้งใจ แต่ทว่า…
“ท่านพ่อ! เยว่ชิงอยากเยี้ยงเสือ” เยว่ชิงเอ่ยโพล่งขึ้นมา ทำเอาทุกคนถึงกับชะงัก
“เลี้ยงเสือหรือ! อ้อ เจ้าคงหมายถึงของเล่นรูปลักษณ์เหมือนเสือใช่หรือไม่” ซูเมิ่งที่ได้สติก่อนใครรีบเอ่ยแก้คำพูดของบุตรสาว
“ม่ายๆ เสือ ยูกเสือตัวเย็กๆ” มือเล็กกลมทั้งสองข้างยกขึ้นมากะขนาดลูกเสือที่นางอยากได้ให้ท่านพ่อและทุกคนดู
“จะเอาเสือที่ใดมาเล่าเยว่ชิง”
“นั้นสิ อีกอย่างเสือมันน่ากลัวนะ เราเลี้ยงกระต่ายดีหรือไม่” ลี่อินพยายามโน้มน้าวใจน้องสาว เพราะหากน้องสาวเลี้ยงเสือขึ้นมาจริงๆ เขาคงมิกล้าก้าวขาออกจากห้องเป็นแน่
“ม่ายๆ น้องชอบเสือ เอาเสือหนึ่งตัว” นิ้วชี้ป้อมยกขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ท่าทีราวกับตอนหมิงยู่งอแงจะเอาขนมมิมีผิด พี่น้องคู่นี้เหมือนกันอย่างกับแกะ
“เอ่อ หาก…หากพ่อเจอแถวตลาดพ่อจะซื้อมาให้แล้วกันนะเยว่ชิง แหะๆ” ลู่หวังเหล่ยส่งยิ้มแห้งไปให้บุตรสาว หวังว่าในตลาดคงจะมีลูกเสือขายนะ
วันแล้ววันเล่าเยว่ชิงก็ยังไม่ได้ลูกเสือจากบิดาเสียที จนนางเริ่มถอดใจแล้ว ชาตินี้นางคงมิมีสัตว์เลี้ยงเหมือนกับคนอื่นเขาแล้ว จะให้เลี้ยงสัตว์ที่ตัวเล็กกว่าสุนัขจรจัดก็กลัวว่าพวกมันจะไม่พ้นคมเขี้ยวของสุนัขพวกนั้น
“เห้อออ เสียดายจริง” เยว่ชิงนั่งถือพู่กันขีดเขียนอักษร แต่ก็มิได้เขียนออกมาเป็นตัวอักษรงดงาม ดูคล้ายจะเป็นตัวยึกยือไปมาเสียมากกว่า
“เยว่ชิงๆ ท่านพ่อมาแล้ว น้องรีบไปดูเร็วเข้าว่าท่านพ่อได้สิ่งใดมา” เยว่ชิงหันไปตามเสียงเรียกของพี่ใหญ่ บิดาของนางไปเข้าร่วมเทศกาลล่าปา ท่านพ่อจึงต้องไปพักแรมในป่าร่วมกับเหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางเพื่อออกล่าสัตว์มาเซ่นไหว้เทพเจ้า
เยว่ชิงรีบวิ่งไปที่หน้าเรือนทันที ร่างเล็กมองเห็นกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มาก พอจะใส่ไก่ลงไปได้สักห้าหกตัว ขาสั้นป้อมเดินเข้าไปใกล้กล่องไม้นั่นเรื่อยๆ จนเห็นว่าด้านในเป็นลูกเสือขาว! ดวงตากลมทั้งสองมีสีฟ้าครามดั่งน้ำในมหาสมุทร
“คื่ออออ!” เสียงขู่คำรามของพยัคฆ์ตัวน้อยดังขึ้น แม้จะมิได้ดังลั่นเรือน แต่ก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้เช่นกัน
“เยว่ชิง! แม่ว่ามันจะกัดเอาได้นะ เราให้ท่านพ่อเอาไปคืนดีหรือไม่” เยว่ชิงไม่ฟังคำทัดทานของผู้เป็นมารดา เด็กน้อยนำขนมที่แอบซุกไว้ในสาบเสื้อ ออกมายื่นให้เจ้าเสือตัวน้อย
“คื่ออ ฟุดๆ ฟิดๆ” จมูกเล็กดมทั้งขนมและมือของเยว่ชิง ลิ้นสากของลูกเสือเลียเข้าที่ขนมราวกับอยากชิมรสชาติ เมื่อเยว่ชิงเห็นว่าลูกเสือเริ่มคุ้นชินกับกลิ่นของนางแล้ว จึงค่อยลูบหัวเบาๆ แล้วค่อยๆ อุ้มเจ้าเสือตัวน้อยออกมาจากกล่อง
“เยว่ชิงอยากได้นม ใส่จานจานเย็กๆ” ลูกเสือตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเยว่ชิงยังคงสูดดมกลิ่นตามอาภรณ์ ทั้งยังใช้ลิ้นเลียอยู่อย่างนั้น เมื่อได้นมมาแล้ว เยว่ชิงจึงได้ป้อนให้เจ้าเสือตัวน้อยทันที
แผลบ แผลบ แผลบ! ลูกเสือน้อยมิสนใจรอบข้างอีกต่อไป มันคงหิวมากทีเดียวจึงได้เลียกินนมจากจานไม่หยุดเช่นนี้
“ดูจะเชื่องนะขอรับท่านพ่อ น้องสามเจ้ามิต้องกลัวไป ออกมาเถิด” เฉินกงเรียกน้องชายที่แอบดูอยู่ห่างๆ ให้เข้ามาดูใกล้ๆ
“ชอบหรือไม่เยว่ชิง”
“ชอบเจ้าค่ะ กี่ตำลึงหยือ วันหน้าเยว่ชิงจะหามาคืน” เยว่ชิงพูดออกมาทั้งที่ตายังติดอยู่กับลูกเสือตัวน้อยของนาง
“ฮ่าๆ มิได้เสียสักตำลึง ไว้พ่อจะเล่าให้ฟังว่าได้มาอย่างไร ตอนนี้เจ้าตั้งชื่อให้มันเสียก่อนเถิด” ทั้งบิดา มารดา รวมถึงพี่ชายและบ่าวรับใช้ต่างหัวเราะให้กับคำพูดที่แสนจะรู้ความเกินเด็กของเยว่ชิง
“มูมู่ เจ้ามูมู่น้อยของเยว่ชิง”