“นอนไม่หลับหรือเยว่ชิง เหตุใดจึงดูง่วงงุนเช่นนี้” เฉินกงเอ่ยทักน้องสาวที่พึ่งเดินเข้าห้องโถงมา
“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” เพราะคิดเรื่องของท่านทั้งคืนอย่างไรเล่า
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่พักที่เรือนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเป็นห่วงบุตรสาว เขามิอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นตอนที่ลี่อินป่วย กลัวว่าการพักผ่อนมิเพียงพอจะนำไปสู่โรคร้ายแรงได้
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่เยว่ชิงมีบางสิ่งจะปรึกษาท่านพ่อ และทุกๆ คน”
“เช่นนั้นก็มาทานข้าวก่อนเถิด มีสิ่งใดค่อยหารือกันหลังจากทานมื้อเช้า” ซูเมิ่งคีบอาหารใส่จานให้สามีและบุตรทั้งสี่ หลังจากทานมื้อเช้ากันอย่างอิ่มหนำเยว่ชิงจึงเริ่มเอ่ยในสิ่งที่ตนเองคิด
“เรื่องนี้มันอาจจะมิใช่เรื่องที่ดีนัก เพาะเยว่ชิงแอบได้ยินพวกแม่ทัพนายกองที่มาร่ำสุราในร้านซิ่งฟู่พูดคุยกัน เขาเอ่ยว่าพักนี้ชนเผ่านอกด่านหลายชนเผ่ามีท่าทีคุกคามชาวบ้านแถมชายแดน คาดว่าทางราชสำนักจะต้องส่งทหารเข้าไปกำราบ” เยว่ชิงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวให้คนในครอบครัวฟัง แท้จริงแล้วเยว่ชิงรับรู้เรื่องราวเหล่านีจากการอ่านนิยาย มิใช่จากทหารดังที่บอกกล่าวกับทุกคน
“แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรางั้นหรือ”
“ทหารพวกนั้นเอ่ยว่า นอกจากชนเผ่านอกด่านจะรุกรานแล้ว แคว้นหลงที่อยู่ติดชายแดนทางใต้ของเราก็มีท่าทีมิน่าไว้วางใจ ทำให้ต้องตรึงกำลังทหารไว้ที่ชายแดนทางใต้ด้วย จึงทำให้มิมีทหารเพียงพอสำหรับทำศึกกับพวกนอกด่าน… พวกเขาจึงจะเกณฑ์กำลังคนในแต่ละเรือนออกไปรบเจ้าค่ะ” ได้ฟังที่บุตรสาวเล่าลู่หวังเหล่ยถึงกับหน้าซีดเผือด หากเป็นจริงดังที่บุตรสาวว่า เขาจะต้องส่งบุตรชายหนึ่งคนออกไปรบ เพราะตามกฎบ้านกฎเมือง สกุลขุนนางจะต้องส่งบุตรชายออกรบ ส่งบุตรสาวออกเรือน หมายความว่า หากทางการต้องการทหารออกรบ สกุลขุนนางจะต้องส่งบุตรชายไปเป็นทหาร หากทางการต้องการแต่งเชื่อมสัมพันธ์ สกุลขุนนางที่ถูกเลือกจะต้องส่งบุตรสาวออกเรือน เนื่องจากทางราชสำนักยึดถือว่าขุนนางกินเบี้ยหวัดจากภาษีของราษฎร
“เช่นนั้น สกุลของเราจะต้องส่งบุตรชายออกไปรบหรือเจ้าคะ” ดวงใจของผู้เป็นมารดาอย่างซูเมิ่งปวดหนึบขึ้นมาทันใด ครอบครัวของนางมิมีผู้ใดเก่งกาจเรื่องรบราฆ่าฟัน เห็นพอจะมีเพียงเยว่ชิงเท่านั้นที่ดูจะชื่นชอบเรื่องการต่อสู้
“หากเป็นดังที่เยว่ชิงว่า เราจะต้องส่งบุตรชายออกไปรบ”
“ขะ ข้าจะรับหน้าที่นี้เองขอรับ พี่ใหญ่ต้องดูแลกิจการ น้องสามก็ร่างกายมิแข็งแรง” หมิงยู่เอ่ยออกมาเสียงสั่น เพียงแค่เห็นเยว่ชิงถือดาบเข้าหา เขายังวิ่งจนป่าราบ แต่นี่จะให้เขาเป็นถึงทหารในสนามรบ คนเราย่อมหวาดกลัวเป็นธรรมดา
“หากพี่รองไป คงเป็นลมสิ้นสติ ตั้งแต่ได้ยินศัตรูตีกลองเอาฤกษ์เอาชัยแล้วกระมัง” เยว่ชิงเอ่ยค่อนแคะหมิงยู่ที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างนาง
“อย่าได้กังวลไปเลยน้องรอง หากวันนั้นมาถึงพี่จะเป็นคนออกรบเอง เรื่องกิจการพี่เชื่อว่าเจ้าสามารถดูแลได้ดีไม่ต่างจากพี่” เฉินกงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ มิใช่ว่าเขามิเกรงกลัวสงคราม แต่ทว่าหน้าที่นี้ เขาเหมาะสมที่สุด
“อืม อย่าพึ่งร้อนใจไป เรื่องราวยังมิอาจคาดเดาได้” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยขึ้นพลางโอบปลอบภรรยาที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ถึงจะยังไม่แน่นอน แต่เยว่ชิงว่าเราควรเตรียมการไว้ก่อนนะเจ้าคะ อย่างน้อยหากพี่ใหญ่จะได้ออกรบจริง ก็ควรที่จะมีพื้นฐานการต่อสู้ไว้บ้าง” จากที่เยว่ชิงนอนคิดมาทั้งคืน จึงได้ข้อสรุปว่า ในนิยายสาเหตุพี่ใหญ่พิการขา เพราะเข้าไปช่วยอู๋จางหมิ่นที่เป็นรองแม่ทัพ ทั้งที่ตนเองนั้นมิได้เก่งกาจเรื่องการต่อสู้มากนัก เพียงจะเอาตัวรอดจากศัตรูยังยาก ทำให้เมื่อเข้าไปช่วยอู๋จางหมิ่นจึงถูกดึงมากันคมดาบแทน ดังนั้นแล้วการให้พี่ใหญ่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการต่อสู้อาจจะช่วยผ่อนปรนเรื่องราวอาภัพเหล่านั้นได้
“ที่เยว่ชิงว่าก็จริงนะขอรับท่านพ่อ” ลี่อินพยักหน้าเห็นด้วยกับที่น้องสาวเอ่ย หากว่าพี่ใหญ่ของเขาพอต่อสู้เป็นก็คงเอาตัวรอดจากศัตรูได้
“นั่นสินะ…เฉินกง หากพ่อจะให้เจ้าเข้าเรียนในสำนักศึกษา ไปร่ำเรียนการต่อสู้ เจ้าจะว่าอย่างไร” ลู่หวังเหล่ยถามความคิดเห็นจากบุตรชายคนโต เพราะหากบุตรชายมิอยากเล่าเรียน เขาก็จะให้บุตรชายเล่าเรียนศาสตร์อื่นแทน
“ดีเจ้าค่ะ แม้จะไม่มีสงคราม ก็ยังใช้วิชาปกป้องครอบครัวได้” เยว่ชิงตอบรับทั้งที่บิดามิได้ถามตนเอง เด็กหญิงโปรยยิ้มให้บิดา มารดา และพี่ชายอย่างสดใส
“คิกๆ เจ้าตัวเล็ก ท่านพ่อมิได้ถามเจ้าเสียหน่อย หากว่าเจ้าเป็นชายคงจะรบเร้าไปออกรบแทนพี่ชายเจ้าแล้วกระมัง” ซูเมิ่งยกมือขยี้ศีรษะเล็กของบุตรสาว
“แหะๆ”
“หึๆ จริงดังน้องเล็กว่าขอรับ ข้าตัดสินใจจะไปเรียนการต่อสู้ที่สำนักศึกษาขอรับท่านพ่อ” เฉิงกงเห็นด้วยกับคำที่เยว่ชิงว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา หากมีสงครามจริง เขาเองอาจจะช่วยบ้านเมืองได้ แต่หากมิมีสงครามก็ยังใช้ปกป้องครอบครัวได้ดังที่น้องสาวว่า
“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมเถิด อีกห้าวันพ่อจะพาเจ้าไปลงชื่อเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แม้ว่าบัดนี้เฉินกงจะอายุได้สิบสี่หนาวแล้ว แต่ทางสำนักศึกษาก็มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุ เรื่องนี้คงจะมิมีสิ่งใดให้กังวล
“พี่ใหญ่ให้เยว่ชิงฝึกเพลงดาบพื้นฐานให้ท่านดีหรือไม่ เรื่องนี้เยว่ชิงเก่งกาจทีเดียว” เยว่ชิงย้ายตนเองเข้าไปนั่งตักพี่ชายอย่างออดอ้อน นางอยากจะลองเป็นท่านอาจารย์ดูสักครา คงจะดูองอาจไม่เบา คึๆ
“ตัวพี่จะไม่หัก ดังเช่นต้นกล้วยท้ายเรือนใช่หรือไม่” เฉินกงเอ่ยเย้าน้องสาวจนทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลังจากที่ลู่หวังเหล่ยพาเฉินกงเข้าไปลงชื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษา อีกไม่กี่วันต่อมาทางสำนักก็ได้ส่งจดหมายมาที่สกุลลู่ ได้ความว่า ให้เฉินกงเตรียมตัวเข้าเรียนในสำนัก เมื่อรู้ดังนั้นซูเมิ่งจึงได้เริ่มจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นไว้ให้บุตรชายอย่างครบครัน
“เย็นวันนี้ท่านแม่จะเข้าครัว ทำอาหารให้พี่ใหญ่ทาน ก่อนที่พี่ใหญ่จะไปอยู่สำนักศึกษา เจ้าก็มาทานด้วยกันเถิด ท่านแม่ทำเผื่อแผ่ทุกคนในเรือนด้วย” เยว่ชิงเอ่ยกับเผิงจูที่กำลังนั่งพับอาภรณ์ของเยว่ชิงลงหีบไม้
“เจ้าค่ะ แต่ว่าคุณชายใหญ่จะไปนานหรือเจ้าคะ” เผิงจูมิรู้จักว่าสำนักศึกษาเป็นอย่างไร นางจึงมิรู้ว่าหากเข้าเรียนในสำนักศึกษาจะต้องไปอยู่นานเลยหรือ
“สำนักศึกษาที่พี่ใหญ่ไป เขาให้ศิษย์อาศัยอยู่ในสำนัก นานทีปีหนจึงจะอนุญาตให้กลับมาเยี่ยมบ้านได้”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แล้วคุณหนูจะต้องไปอยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่เจ้าคะ”
“แท้จริงข้ามิอยากเล่าเรียนสิ่งใดเลย แหะๆ แต่ก็คงเป็นไปมิได้ ข้าคงจะเลือกสำนักศึกษาที่สามารถกลับมาพักที่บ้านได้ เพราะหากข้าไปพักที่สำนักศึกษา มูมู่กับเจ้าคงไปด้วยมิได้…ข้าคิดถึงพวกเจ้าแย่”
“โฮรก~” มูมู่คำรามตอบรับเยว่ชิง ทั้งยังใช้ลิ้นเปียกชื้นเลียแก้มขาวของเยว่ชิงจนเปียกชื้นไปหมด
“บ่าวก็คงจะคิดถึงคุณหนูมากเจ้าค่ะ” สองนายบ่าวและหนึ่งเสือขาวนั่งเล่นพูดคุยกันได้ไม่นาน แม่นมลี่ก็เข้ามาเรียกไปทานมื้อเย็น ทั้งนายทั้งบ่าวสกุลลู่ต่างอิ่มหนำสำราญ อวยพรให้คุณชายใหญ่ของพวกเขาเดินทางไปสำนักศึกษาอย่างปลอดภัย หลังจากทานอาหารทุกคนก็ยกย้ายกันกลับห้องพักของตน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าลาขอรับ” เฉินกงก้มคำนับแทบเท้าบิดามารดา
“ขอให้เจ้าโชคดี ตั้งใจเล่าเรียน” ทั้งลู่หวังเหว่ยและซูเมิ่งเข้าไปโอบกอดบุตรชายแน่น แม้รับรู้ว่าบุตรชายเพียงลาไปอยู่สำนักศึกษา แต่จิตใจของบิดามารดามีหรือจะอยากให้บุตรห่างจากอก
“ขอรับ พวกเจ้าเองก็ช่วยกันดูแลท่านพ่อท่านแม่แทนพี่ด้วย อย่าดื้อซนให้มากนัก เข้าใจหรือไม่” เฉินกงหันมามองน้องทั้งสามคน ในใจรู้สึกวูบโหวงไม่น้อย เขามิเคยต้องห่างจากครอบครัวไปไกล ยิ่งเห็นว่าตากลมของน้องๆ แดงก่ำ ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“ฮึก เจ้าจะร้องไห้ด้วยเหตุใดเยว่ชิง ลี่อิน” หมิงยู่เอ่ยว่าน้องสาวทั้งที่ตนเองน้ำตาไหลพราก แต่ก็แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม
“พี่รองต่างหากที่ร้องไห้ก่อนผู้ใด” เยว่ชิงรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา
โถ่เอ้ย ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้พี่ใหญ่เป็นห่วงแล้วแท้ๆ
“พี่ใหญ่ ฮึก” ลี่อินเองก็อดกลั้นมิให้น้ำตาไหลออกมามิได้
“อย่าร้องไห้ไปเลย พี่จะกลับมาหาพวกเจ้าบ่อยๆ” เฉินกงเข้าไปโอบกอดน้องทั้งสามของเขาไว้แน่น
“พี่ใหญ่มิต้องเป็นห่วงทางนี้ ข้าจะดูแลท่านพ่อ ท่านแม่ น้องๆ และกิจการของเราเป็นอย่างดี” หมิงยู่ถอยออกจากอ้อมกอดพี่ชายพลางให้คำมั่นด้วยความแน่วแน่ แต่ทว่า…
“อืม ฝากด้วยนะ เยว่ชิง ลี่อิน” ว่าแล้วเฉินกงก็ขึ้นรถม้าที่ท่านพ่อจ้างไว้สำหรับให้ไปส่งที่สำนักศึกษาทันที
“นี่ พี่ใหญ่! ท่านเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร กลับมาขยายความให้ข้าฟังก่อน กลับมานะ~” หมิงยู่โวยวายลั่นที่พี่ชายพูดเหมือนว่าเขานั้นไว้ใจมิได้
“พ่อว่าเรากลับเข้าเรือนเถิด ปล่อยให้โวยวายอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียว” ลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งต่างยิ้มขำให้บุตรชายคนรองของตนและพากันเดินกลับเข้าเรือนไป