เมามายใต้แสงจันทร์

2724 Words
แม่นางแสงจันทร์ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม จึงได้ตรวจสภาพร่างกายชายร่างยักษ์ได้ครบถ้วน และกว่านางจะหาสิ่งที่ต้องการพบ แสงอาทิตย์ได้ลาลับห้วงนภา ดวงจันทร์สีนวลค่อยลอยเลื่อนขึ้นมา ณ ขอบฟ้าบูรพาแล้ว สิ่งที่นางกระทำเป็นเช่นเดียวกับการเหนี่ยวสายเกาทัณฑ์ หากไม่ถอยหลังถึงที่สุดย่อมไร้แรงดีดอันทรงพลัง หากไม่เรียนรู้ข้าศึกให้แตกฉาน ย่อมไม่อาจหาหนทางพิชิตชัยได้เบ็ดเสร็จเด็จขาด แล้วยิ่งกับมนุษย์คงกระพันเช่นนี้ มีเพียงคนเดียวยังรับมือได้ยากเย็น ถ้ามีพวกมันเป็นกองทัพ จะมีใครสยบพวกมันได้อีก ครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยพบพานชาวยุทธที่ฝึกวิชาระฆังทองของวัดเสี้ยวลิ้มยี้ ชายผู้นั้นสามารถผนึกลมปราณต้านศาสตราวุธได้เพียงชั่วครู่ แต่ผิวหนังยังมีรอยช้ำจากการฟาดฟันอยู่ดี ซึ่งแตกต่างจากชายร่างยักษ์ ที่มีร่างกายประดุจเหล็กกล้า เนื้อหนังไร้รอยสกิดขีดข่วนให้ได้เห็น "ถ้ามันไม่ได้อยู่ยงคงกระพันเพราะการฝึกวิชากำลังภายใน เช่นนั้นมันคงต้องใช้โอสถแปลกประหลาดแล้วกระมั้ง ! "... หญิงสาวครุ่นคิดในใจ ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ กว่าจะพบสิ่งผิดปกติที่อยู่ตรงหลังหูช่วงรอยต่อระหว่างกกหูกับท้ายทอย นางพบเข็มทองฝั่งตรึงลึกอยู่… " นี่รึเคล็ดลับของความคงกระพัน ! " หญิงสาวบ่มงึมงำกับตังเอง แววตาวาวโรจน์ขณะเอื้อมมือดึงเข็มทองทั้งสองเล่มออกจากหลังกกหูมัน เข็มทองเล็กแหลมยาวหนึ่งคืบ ดูคล้ายเข็มของซินแซหมอยา ต่างที่เป็นทองคำเปล่งปลั่งบริสุทธิ มีค่าเกินกว่าเป็นของหมอยาธรรมดา นางเพ่งพินิจพลิกมองไปมองมา โดยไม่เคยล่วงรู้ในวิชาแพทย์ประเภทนี้…. " ห้าวซิ่ง !...เจ้ารู้หรือไม่ว่าเข็มนี้คือวิชาอันใดกัน ! " หญิงสาวหันไปร้องถามห้าวซิ่งที่อยู่ถัดไปทางด้านหลังข้างกองไฟ แต่กลับไม่พบผู้ใดให้เห็น นอกจากไฟกองน้อย กับอาชาสูงใหญ่ที่ถูกถอดอานออก แล้วปล่อยให้มันเดินเหินอย่างเป็นอิสระ นางรู้สึกใจหายวาบเมื่อไม่เห็นเงาชายหนุ่มในบริเวณ จนนางต้องรีบย้ำเท้าเข้าทางกองไฟ สอดส่ายสายตามองหามันไปรอบๆ " เจ้าม้าเหงื่อโลหิต สหายคลุ้มๆคลั่งๆของเจ้าหายไปที่ใดแล้ว " หญิงสาวเอ่ยถามแผ่วเบากับเจ้าลอยลม พลางลูบลำคอมันด้วยความชื่นชม " ฮ่า ฮ่า ฮ่า …เราโชคดีแล้วแม่นางแสงจันทร์ ราตรีนี้เรามีอาหารเลอรสที่สุดใรโลกให้รับทานแล้ว ! " เสียงตะโกนเลื่อนลั่นของชายหนุ่มกวักเรียกให้นางหันไปหา จึงได้พบห้าวซิ่งวิ่งชูถุงผ้า เห็นเป็นเงาลางๆย้อนแสงจันทร์ แต่ยังรับรู้ถึงความกระตือลือล้นของมันล้นปริ่ม พอมาถึงหน้าหญิงสาว มันรีบเปิดถุงให้นางดูประหนึ่งอวดโอ้สมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน " แมงป่องเนี้ยนะ ! " แม่นางแสงจันทร์ร้องถามเสียงขรม เมื่อเห็นแมงป่องตัวเขื่องสิบกว่าตัวนอนแน่นิ่งอยู่ในถุง " ใครว่าเป็นแมงป่องเล่า ? มันเป็นกุ้งทะเลทรายต่างหาก ประเดี๋ยวข้าจะปรุงอาหารเทวดาให้เจ้ารับทาน รับรองว่าแม้แต่ในวังกุบไลข่านยังไม่มีให้รับทานเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า …" …มีคนประหลาดบางประเภท ที่ไม่เคยเห็นความแร้งไร้เป็นเรื่องทุกข์เข็ญแม้แต่น้อย หากเห็นเป็นเรื่องให้กระทำสิ่งนอกกรอบ เป็นความสดใหม่ท้าทาย… ห้าวซิ่งจัดเป็นคนประหลาดประเภทนั้นเสมอมา …. …ไม่ช้านาน แม่นางแสงจันทร์จึงได้ท่องแท้ว่ากุ้งทะเลทรายของห้าวซิ่ง มีรสชาติดีงามกว่าอาหารแห้งของนางมากนัก แรกเริ่มนางเพียงส่งสายตาเหยียดๆ มองวิธีการปรุงอาหารของมันอย่างไม่วางใจนัก ห้าวซิ่งมีวิธีปรุงอาหารแปลกพิกลยิ่ง มันเริ่มจากนำดาบด้ามใหญ่ของมันมาวางพาดอังกองไฟ โดยมีไม้ค้ำยันทั้งสองข้าง แปรสภาพดาบเป็นกระทะเหล็กปรุงอาหารไป ส่วนแมงป่องทั้งสิบกว่าตัว มันนำออกมาเด็ดหัวเด็ดหางที่มีพิษ แล้วกรีดท้องมันเป็นทางยาว จากนั้นจึงหยิบถุงเล็กๆออกจากกระเป๋าบนหลังม้า ภายในถุงนั้น บรรจุไว้ด้วยเห็ดตากแห้งสีน้ำตาลอ่อน ห้าวซิ่งนำเห็ดออกมาซอยละเอียดแล้วจัดยัดเข้าไปในท้องแมงป่อง ก่อนจะนำมาวางบนดาบรับความร้อน ทอดบนเหล็กร้อนๆเพียงชั่วครู่ก็เกิดกลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาตามลม รอจนเนื้อแมงป่องเหลืองอล่าม จึงใช้ไม้เสียบหยิบยื่นให้แม่นางแสงจันทร์ ที่จ้องมองมันไม่วางตา " กินได้แน่นะ ? " นางถามคลางแคลง โดยห้าวซิ่งตอบคำนางด้วยการส่งแมงป่องเข้าปาก แล้วกัดขบครึ่งตัว พร้อมขบเคี้ยวเสียงดังกรอบแกร๊บดูน่าอร่อย จนกระเพาะของหญิงสาวส่งเสียงร้องโครกคราก " อืม !...สวรรค์ !...สวรรค์ !...! " ห้าวซิ่งขบเคี้ยวไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข หรี่ตาปรือลงพร้อมแหง่นหน้าขึ้นฟ้า ดั่งเห็นนางฟ้ามาโปรดก็ไม่ปาน " หากไม่อร่อยละก็ ข้าจะจับเจ้าทุ่มให้จมพื้นทรายเลย! " หญิงสาวขู่เสียงเขียว พลางหยิบแมงป่องบนกระทะดาบส่งตรงเข้าโพลงปาก สัมผัสแรกที่ได้ลิ้มรสกุ้งทะเลทราย คือความกรุ๊บกรอบของเปลือกผิว พอเคี้ยวเข้าไปถึงเนื้อนุ่มละมุน จึงได้สัมผัสรสกลมกล่อมหวานปนเค็มเนื้อแน่นเป็นมัน ซ้ำยังมีกลิ่นเห็ดหอมๆละเหยเข้ามาในโพรงจมูก คล้ายกับกินกุ้งอบสมุนไพรก็ไม่ปาน " เป็นยังไงสหาย อร่อยหรือไม่ ? " ห้าวซิ่งถามระรื่น ใบหน้าแดงระเรื่อ พลางหยิบถุงสุราขึ้นกระดกดื่ม " อืม !...ก็ไม่เลวร้าย พอรับทานได้ ! " นางสกดใบหน้าพึ่งพอใจ ทำป็นเรียบเฉย ก่อนจะหยิบแมงป่องส่งเข้าปากอีกตัว ยิ่งขบเคี้ยวยิ่งรู้สึกเอร็ดอร่อย ซ้ำยังรู้สึกซาบซ่าที่โคนลิ้น ไล่ลามไปถึงกระพุ้งแก้ม พอหยิบกินไปถึงตัวที่สี่ นางจึงรู้สึกมึนๆ อารมณ์พลันแช่มชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด คล้ายอาการเมาสุราคราแรกไม่มีผิด นัยน์ตาเขียวขจีของนางเหลียวมองเห็ด ที่ยังค้างคาอยู่ในถุงด้วยความสงสัย " นี่เจ้าใส่อะไรปรุงในเนื้อแมงป่อง ? " " เห็ดเมา "... มันตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ทั้งที่ยังขบเคี้ยวแมงป่องอย่างมีความสุขเปี่ยมล้น ผิดกับหญิงสาวที่ผงะตัวตรง เบิกดวงตามองมันด้วยความตื่นตะลึง " นี่เจ้ากลั่นแกล้งข้ารึ คิก คิก ! …" นางพยายามทำเสียดุ แต่ยังไม่วายหัวเราะคิก คิก โดยไม่อาจหักห้ามตัวเอง เกรงว่าเห็ดเมาเริ่มออกฤทธิ์ใส่นางเสียแล้ว… " ไม่ได้กลั่นแกล้ง ! นี่มันเป็นสูตรอาหารชำระล้างความงมงาย คิก คิก คิก …" " ชำระล้างอันใด งมงายอันใด เจ้ารีบกล่าวมาให้แจ่มแจ้ง อืบ อึบ !... " หญิงสาวแข็งขืนไม่ให้หัวเราะ จับจ้องมองแมงป่องพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ห้าวซิ่งเคี้ยวแมงป่องไป หัวเราะคิกๆคักๆไป พลางกล่าวอารมณ์รวยรื่น " จะมีอันใดงมงายหนักหนาเท่าความรักอีกเล่าแม่นาง ฮึ ฮึ ฮึ " มันหัวเราะฮึฮะในลำคอ พลางแหง่นหน้ามองดวงจันทร์ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ " อย่างวันสารทไหว้พระจันทร์นั้นประไร เจ้าว่ามันเป็นรักงมงายหรือไม่ เวลาทั้งปีจะมีเพียงวันเดียวที่ 'โห้อี้ 'สามารถขึ้นไปพบเจอแม่นาง 'ฉางเอ๋อ ' บนดวงจันทร์ เจ้าว่าความรักชนิดนี้สมควรขำระล้างหรือไม่ ?" " คิก คิก คิก…เจ้านี่วิกลจริตจริงๆ เจ้าจะเอาเห็ดเมาไปชำระล้างใจเทพในตำนานอย่างนั้นรึ ? นี่มันเรื่องบ้าบอที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า …." หญิงสาวหัวร่อร่าไม่อาจระงับ รู้สึกสำราญเบิกบานจนเผลอไผลกัดกินแมงป่องในมืออย่างเพลิดเพลิน " ข้าแค่เปรียบเทียบเท่านั้น ข้ายังไม่วิปลาสพอจะไปมอมเมาเทวดาหรอก คิก คิก คิก ! " ห้าวซิ่งกล่าวเลื่อนลอย นัยน์ตายังจับจ้องมองแสงจันทร์นวล ก่อนจะเปรยเสียงละล่องลอยตามสายตามัน " ที่ข้าจะมอมเมาคือสหายข้าต่างหาก ข้าเห็นมันงมงายกับความรักมานานนับปี ยิ่งดูยิ่งน่าสมเพช หากไม่ช่วยเหลือเกรงว่ามันคงแวกว่ายทะเลน้ำตาไม่สิ้นสุดแล้ว ! " " คิก คิก คิก !...น้ำหน้าอย่างเจ้านิ มีน้ำใจกับสหายถึงเพียงนี้เชียว ! " " ย่อมต้องมีน้ำใจแน่นอน หากไร้มิตรสหายคงไม่มีน้ำหนักถ่วงสมดุลย์ใจคนแล้ว เพราะเมื่อคนผู้หนึ่งถูกความรักครอบงำ จิตใจมันก็เอียงไปทางเสน่หา คล้ายเรือสำเภาใกล้ล่มจมเต็มที " ห้าวซิ่งพูดเลื่อนไหลยืดยาว เมื่อหันมาจึงพบว่าแมงป่องตัวสุดท้ายถูกนางหยิบขึ้นมาขบเคี้ยวเป็นที่เรียบร้อย รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของห้าวซิ่งเบิกกว้าง กับนักปรุงอาหารยากไร้ จะมีรางวัลใดมีค่าเท่ากับการเห็นคนกินอาหารของมันหมดเกลี้ยง " คิก คิก คิก…ล่มจมมีอันใดไม่ดีงาม ความรักเป็นเช่นการล่มหัวจมท้ายมิใช่รึ " หญิงสาวกล่าวหน้าชะแล่ม ทั้งที่กำลังเอร็ดอร่อยกับกุ้งทะเลทรายตัวสุดท้าย " ฮึ ฮึ ฮึ…เจ้าก็เชื่อถือคำพูดเช่นนี้รึ การล่มหัวจมท้ายเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะความรักไม่เคยสมดุลย์เท่าเทียม จะต้องมีฝ่ายหนึ่งทุ่มเทให้มากกว่าเสมอ ยิ่งทุ่มเทอีกฝ่ายยิ่งเรียกร้อง อยากได้ไม่สิ้นสุด เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ชนิดนี้ จะเกิดการล่มหัวจมท้ายได้อย่างนั้นรึ ? " " อ้อ !...ถ้าเช่นนั้นเห็ดเมาเจ้าจะช่วยสหายเจ้าได้อย่างไรเล่า ? "... หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย นัยน์ตาหรี่ปรือด้วยความเมามาย ถึงกระนั้นนางยังหยิบถุงสุราขึ้นกระดกดื่ม ไม่หวาดกลัวความเมามายที่จะเพิ่มเติมมาสักนิด ส่วนห้าวซิ่งได้หยิบห่อผ้าเล็กๆออกจากถุงใบใหญ่ข้างกาย แล้วมันก็เร่งรีบเปิดห่อผ้า เผยให้เห็นขนมรูปทรงสี่เหลี่ยมสีขาวนวลๆ มีใส่เป็นผักซีดๆ มันเรียกว่าดรูฟ เป็นขนมโบราณของชาวเปอร์เซีย " ไม่ใช่แค่เห็ดเมา ต้องถูกเวลาถูกสถานที่ เมื่อใส่ส่วนผสมที่ถูกต้อง แล้วขนมบอกความในใจจะแพร่งพรายทุกสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ ! " " โห้ !...ขนมดาษดื่นแบบนี้ บอกความในใจได้จริงๆนะรึ ? " หญิงสาวเบิกตากลมโตดั่งไข่ห่าน เพ่งมองขนมดรูฟด้วยใบหน้าแดงกร่ำ จากฤทธิ์เห็ดเมาปะปนกับเมลัยเข้าผสมผสาน ห้าวซิ่งที่เมาน้อยกว่า เริ่มกล่าวสรรพคุณขนมของมันด้วยใบหน้าอันภาคภูมิ " ขนมความในใจ ต้องกินในวันสารทไหว้พระจันทร์ ต้องกินพร้อมกับคู่รัก เหมือนร่วมฉลองให้กับโห้อี้ได้เจอฉางเอ๋อ ในแสงจันทร์อาบไล้เห็ดเมาในขนมจะเผยความจริงในใจ ใครจริงใครเท็จ ใครทุ่มเทใครมักมาก ล้วนจะปรากฏออกมาแจ่ม….โอ๊ะ โอ๊ะ !....นี่เจ้าทำอะไร ? " ถ้อยคำมันไม่ทันจบสิ้น ห้าวซิ่งต้องเบิกตากว้าง ร้องแตกตื่น เมื่อเห็นนางส่งขนมดรูฟเข้าปาก กัดกินเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย " คิด คิก คิก !...ข้าไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่ายๆหรอกนะ หากไม่ทดลองกับตัว จะรู้ได้อย่างไรว่าความจริงจะหลุดออกจากปาก เมื่อรับทานขนมนี้เข้าไป ! " นางกล่าวเสียงอ้อแอ้ เมื่อรับทานขนมจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงโยนถุงสุราข้างกายไปให้ชายหนุ่ม ประหนึ่งให้เป็นค่าขนมก็ไม่ปาน " เจ้านะเจ้า ชมชอบการรับทานยิ่ง หากเผลอไผลพูดความลับออกมา ข้าไม่รู้ด้วยนะ ! " ห้าวซิ่งกล่าวเบิกบานด้วยใบหน้าแดงกร่ำ พร้อมยกถุงสุราที่มีอยู่น้อยนิด กระดกดื่มคราเดียวหมดเกลี้ยง ขณะเดียวกับที่หญิงสาวเริ่มมีอาการดวงตาพร่าเลือน มองเห็นดวงจันทร์ซ้อนเลื่อมเป็นสามดวง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกวูบไหว เหมือนเห็นเทพเจ้าเล่นมายากลหลอกลวงคน " เจ้าหลอกลวงข้าแล้วเจ้าคนเถื่อน ข้าไม่เห็นสิ่งใดเป็นความจริงเลย เห็นมีแต่สิ่งแปลกปลอมเต็มท้องฟ้า แม้แต่ดวงจันทร์ยังมีสามดวง แล้วแม่นางฉางเอ๋ออยู่ดวงไหนละเนี้ย ! ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ…" เสียงหัวร่อร่าของนางทำเอาห้าวซิ่งเบิกยิ้มกว้าง แล้วเหม่อมองดวงจันทร์ไปกับเสียงเลื่อนลอยเมามาย " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…แม่นางแสงจันทร์ เจ้าเมาแล้ว ดวงจันทร์ไหนเลยจะมีสามดวงได้ ถ้าเป็นใจผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง อย่าว่าแต่แยกเป็นสามเลย แยกได้นับสิบนับร้อยข้าก็เคยพบพาน ! " " เชอะ !...เจ้านี่ คำก็ว่าอิสตรี สองคำก็ว่าอิสตรี เจ้ารู้หรือไม่ในสายตาข้าไม่มีบุรุษหรือสตรีหรอก ในโลกมีคนแค่สองประเภทเท่านั้น! ฮ่า ฮ่า ฮ่า …." นางกล่าวไม่ทันจบก็ลงไปนอนแผ่หรากับพื้น ใช้สายตาหรี่ปรือมองแสงจันทร์นวลใยกลางราตรี ในภาพเลือนลาง " อ้าว !...ทำไมหยุดเสียกลางคันอย่างนั้นเล่า ? เป็นสองประเภทไหนกัน ? " " คิก คิก คิก…ประเภทแรก คือผู้ช่วงใช้ความฝัน อีกประเภทคือผู้ที่ถูกความฝันช่วงใช้ …ดูไปดูมาเจ้าก็จัดอยู่ในคนที่ถูกความฝันช่วงใช้เท่านั้นเอง ! ".... นางกล่าวเสียงเครือ หันมองชายหนุ่มที่กำลังล้มตัวนอนข้างๆนาง เป็นภาพทับซ้อนหลายคนนอนเรียง พอห้าวซิ่งขยับปากเอ่ยถาม ยังได้ยินเสียงลอยรอดมาสามสี่เสียงโดยพร้อมเพรียง " อันใดคือคนช่วงใช้ความฝัน อันใดผู้ถูกความฝันช่วงใช้รึ แม่นางแสงจันทร์ ? " " ก็อย่างเจ้านี้ไงที่เป็นผู้ถูกความฝันช่วงใช้ เจ้ากระทำในสิ่งที่ไม่อาจเป็นจริงได้ ไร้สาระสูญเปล่า ไม่มีอะไรเป็นจริงได้นอกจากความคาดฝันที่หลอกล่อให้เจ้ากระทำ คิก คิก คิก …" นางกล่าวอ้อแอ้ยานคาง ดั่งเมามายนักหนาแล้ว "…จริงๆแล้วเจ้าก็เหมือนคนส่วนใหญ่นะ เพราะข้าเคยเจอบุรุษสามสิบคน ที่มาสู่ขอข้าเป็นภรรยา สุดท้ายพวกมันก็ต้องกลับไปมือเปล่า …เสียเวลา เสียอาชานับร้อยโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ…คิก คิก คิก…นับว่าถูกความฝันช่วงใช้จนงมงาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า…" เสียงนางค่อยๆแผ่วเบาแช่มช้า ไปพร้อมๆดวงตาที่ปรือหลับลง เสียงหัวเราะคิกๆคักๆ แผ่วเบาในลำคอ ก่อนจะค่อยๆเงียบหายไป แตกต่างจากห้าวซิ่งต้องสะดุ้งตัวขึ้นนั่ง หันมองนางด้วยความตกใจ " ห๊ะ!...มีคนมาสู่ขอเจ้าถึงสามสิบคนเชียวรึ ! " คำร้องถามของมันเหมือนจะสลายหายไปในความฝันอันไร้ค่า เพราะไม่มีคำตอบใดย้อนเวลามาสักครึ่งคำ " อ้าวแม่นางแสงจันทร์ เหตุใดทอดทิ้งกันไปง่ายดายเพียงนี้ " ห้าวซิ่งบ่นงึมงำกับตัวเอง เมื่อเห็นหญิงสาวนอนหลับตาพริ้ม นางก้าวย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้ามาทั้งวันทั้งคืน ผสมเข้ากับเห็ดเมาจึงชักพานางหลับใหลไปง่ายดายเช่นนี้ ดวงตาหรี่ปรือของชายหนุ่มพินิจวงหน้างามด้วยความเคลิบเคลิ้ม จมูกโด่งเป็นสันนั้นคมคายบาดตานัก ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อดั่งบุปผาผลิบาน เร่งกระตุ้นหัวใจห้าวซิ่งให้เต้นระทึกโครมคราม " เจ้างามสะคราญถึงเพียงนี้นี่เอง จึงมีคนมาสู่ขอมากมายนัก ! "... ฤทธิ์มึนเมายังไม่สร่างซา สายลมราตรีโชยไหวเบาบาง หอบลอยเอากลิ่นหอมจางๆจากร่างสะคราญมาเข้าจมูก ก่อกำเลิบให้ใจชายหนุ่มฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา " ข้าคงเป็นคนที่ถูกความฝันช่วงใช้จริงๆ หากข้าไม่กลัวกระทำใดสูญเปล่าหรอก เพราะอย่างน้อยการได้กระทำใดๆย่อมยืนยันจ้าว่ายังมีชีวิตอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว! " มันเอ่ยแผ่วเบากับนาง พลางค่อยๆโน้มหน้าลงไปใกล้ๆใบหน้างามมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั้งริมฝีปากมันสัมผัสกับริมฝีปากรูปกระจับของนางแผ่วเบา แต่เพียงชั่วอึดใจ มันกลับล้มตัวลงนอนเคียงข้างนาง ด้วยรอยยิ้มเริ่งร่า ใบหน้าบานกระโล่ ….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD