แม่นางแสงจันทร์ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม จึงได้ตรวจสภาพร่างกายชายร่างยักษ์ได้ครบถ้วน
และกว่านางจะหาสิ่งที่ต้องการพบ แสงอาทิตย์ได้ลาลับห้วงนภา ดวงจันทร์สีนวลค่อยลอยเลื่อนขึ้นมา ณ ขอบฟ้าบูรพาแล้ว
สิ่งที่นางกระทำเป็นเช่นเดียวกับการเหนี่ยวสายเกาทัณฑ์ หากไม่ถอยหลังถึงที่สุดย่อมไร้แรงดีดอันทรงพลัง
หากไม่เรียนรู้ข้าศึกให้แตกฉาน ย่อมไม่อาจหาหนทางพิชิตชัยได้เบ็ดเสร็จเด็จขาด แล้วยิ่งกับมนุษย์คงกระพันเช่นนี้ มีเพียงคนเดียวยังรับมือได้ยากเย็น ถ้ามีพวกมันเป็นกองทัพ จะมีใครสยบพวกมันได้อีก
ครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยพบพานชาวยุทธที่ฝึกวิชาระฆังทองของวัดเสี้ยวลิ้มยี้ ชายผู้นั้นสามารถผนึกลมปราณต้านศาสตราวุธได้เพียงชั่วครู่ แต่ผิวหนังยังมีรอยช้ำจากการฟาดฟันอยู่ดี
ซึ่งแตกต่างจากชายร่างยักษ์ ที่มีร่างกายประดุจเหล็กกล้า เนื้อหนังไร้รอยสกิดขีดข่วนให้ได้เห็น
"ถ้ามันไม่ได้อยู่ยงคงกระพันเพราะการฝึกวิชากำลังภายใน เช่นนั้นมันคงต้องใช้โอสถแปลกประหลาดแล้วกระมั้ง ! "...
หญิงสาวครุ่นคิดในใจ ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ กว่าจะพบสิ่งผิดปกติที่อยู่ตรงหลังหูช่วงรอยต่อระหว่างกกหูกับท้ายทอย นางพบเข็มทองฝั่งตรึงลึกอยู่…
" นี่รึเคล็ดลับของความคงกระพัน ! "
หญิงสาวบ่มงึมงำกับตังเอง แววตาวาวโรจน์ขณะเอื้อมมือดึงเข็มทองทั้งสองเล่มออกจากหลังกกหูมัน
เข็มทองเล็กแหลมยาวหนึ่งคืบ ดูคล้ายเข็มของซินแซหมอยา ต่างที่เป็นทองคำเปล่งปลั่งบริสุทธิ มีค่าเกินกว่าเป็นของหมอยาธรรมดา
นางเพ่งพินิจพลิกมองไปมองมา โดยไม่เคยล่วงรู้ในวิชาแพทย์ประเภทนี้….
" ห้าวซิ่ง !...เจ้ารู้หรือไม่ว่าเข็มนี้คือวิชาอันใดกัน ! "
หญิงสาวหันไปร้องถามห้าวซิ่งที่อยู่ถัดไปทางด้านหลังข้างกองไฟ แต่กลับไม่พบผู้ใดให้เห็น
นอกจากไฟกองน้อย กับอาชาสูงใหญ่ที่ถูกถอดอานออก แล้วปล่อยให้มันเดินเหินอย่างเป็นอิสระ
นางรู้สึกใจหายวาบเมื่อไม่เห็นเงาชายหนุ่มในบริเวณ จนนางต้องรีบย้ำเท้าเข้าทางกองไฟ สอดส่ายสายตามองหามันไปรอบๆ
" เจ้าม้าเหงื่อโลหิต สหายคลุ้มๆคลั่งๆของเจ้าหายไปที่ใดแล้ว "
หญิงสาวเอ่ยถามแผ่วเบากับเจ้าลอยลม พลางลูบลำคอมันด้วยความชื่นชม
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า …เราโชคดีแล้วแม่นางแสงจันทร์ ราตรีนี้เรามีอาหารเลอรสที่สุดใรโลกให้รับทานแล้ว ! "
เสียงตะโกนเลื่อนลั่นของชายหนุ่มกวักเรียกให้นางหันไปหา จึงได้พบห้าวซิ่งวิ่งชูถุงผ้า เห็นเป็นเงาลางๆย้อนแสงจันทร์ แต่ยังรับรู้ถึงความกระตือลือล้นของมันล้นปริ่ม
พอมาถึงหน้าหญิงสาว มันรีบเปิดถุงให้นางดูประหนึ่งอวดโอ้สมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน
" แมงป่องเนี้ยนะ ! "
แม่นางแสงจันทร์ร้องถามเสียงขรม เมื่อเห็นแมงป่องตัวเขื่องสิบกว่าตัวนอนแน่นิ่งอยู่ในถุง
" ใครว่าเป็นแมงป่องเล่า ? มันเป็นกุ้งทะเลทรายต่างหาก ประเดี๋ยวข้าจะปรุงอาหารเทวดาให้เจ้ารับทาน รับรองว่าแม้แต่ในวังกุบไลข่านยังไม่มีให้รับทานเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า …"
…มีคนประหลาดบางประเภท ที่ไม่เคยเห็นความแร้งไร้เป็นเรื่องทุกข์เข็ญแม้แต่น้อย หากเห็นเป็นเรื่องให้กระทำสิ่งนอกกรอบ เป็นความสดใหม่ท้าทาย…
ห้าวซิ่งจัดเป็นคนประหลาดประเภทนั้นเสมอมา ….
…ไม่ช้านาน แม่นางแสงจันทร์จึงได้ท่องแท้ว่ากุ้งทะเลทรายของห้าวซิ่ง มีรสชาติดีงามกว่าอาหารแห้งของนางมากนัก
แรกเริ่มนางเพียงส่งสายตาเหยียดๆ มองวิธีการปรุงอาหารของมันอย่างไม่วางใจนัก
ห้าวซิ่งมีวิธีปรุงอาหารแปลกพิกลยิ่ง มันเริ่มจากนำดาบด้ามใหญ่ของมันมาวางพาดอังกองไฟ โดยมีไม้ค้ำยันทั้งสองข้าง แปรสภาพดาบเป็นกระทะเหล็กปรุงอาหารไป
ส่วนแมงป่องทั้งสิบกว่าตัว มันนำออกมาเด็ดหัวเด็ดหางที่มีพิษ แล้วกรีดท้องมันเป็นทางยาว จากนั้นจึงหยิบถุงเล็กๆออกจากกระเป๋าบนหลังม้า
ภายในถุงนั้น บรรจุไว้ด้วยเห็ดตากแห้งสีน้ำตาลอ่อน ห้าวซิ่งนำเห็ดออกมาซอยละเอียดแล้วจัดยัดเข้าไปในท้องแมงป่อง ก่อนจะนำมาวางบนดาบรับความร้อน ทอดบนเหล็กร้อนๆเพียงชั่วครู่ก็เกิดกลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาตามลม
รอจนเนื้อแมงป่องเหลืองอล่าม จึงใช้ไม้เสียบหยิบยื่นให้แม่นางแสงจันทร์ ที่จ้องมองมันไม่วางตา
" กินได้แน่นะ ? "
นางถามคลางแคลง
โดยห้าวซิ่งตอบคำนางด้วยการส่งแมงป่องเข้าปาก แล้วกัดขบครึ่งตัว พร้อมขบเคี้ยวเสียงดังกรอบแกร๊บดูน่าอร่อย จนกระเพาะของหญิงสาวส่งเสียงร้องโครกคราก
" อืม !...สวรรค์ !...สวรรค์ !...! "
ห้าวซิ่งขบเคี้ยวไปด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข หรี่ตาปรือลงพร้อมแหง่นหน้าขึ้นฟ้า ดั่งเห็นนางฟ้ามาโปรดก็ไม่ปาน
" หากไม่อร่อยละก็ ข้าจะจับเจ้าทุ่มให้จมพื้นทรายเลย! "
หญิงสาวขู่เสียงเขียว พลางหยิบแมงป่องบนกระทะดาบส่งตรงเข้าโพลงปาก
สัมผัสแรกที่ได้ลิ้มรสกุ้งทะเลทราย คือความกรุ๊บกรอบของเปลือกผิว พอเคี้ยวเข้าไปถึงเนื้อนุ่มละมุน จึงได้สัมผัสรสกลมกล่อมหวานปนเค็มเนื้อแน่นเป็นมัน ซ้ำยังมีกลิ่นเห็ดหอมๆละเหยเข้ามาในโพรงจมูก คล้ายกับกินกุ้งอบสมุนไพรก็ไม่ปาน
" เป็นยังไงสหาย อร่อยหรือไม่ ? "
ห้าวซิ่งถามระรื่น ใบหน้าแดงระเรื่อ พลางหยิบถุงสุราขึ้นกระดกดื่ม
" อืม !...ก็ไม่เลวร้าย พอรับทานได้ ! "
นางสกดใบหน้าพึ่งพอใจ ทำป็นเรียบเฉย ก่อนจะหยิบแมงป่องส่งเข้าปากอีกตัว ยิ่งขบเคี้ยวยิ่งรู้สึกเอร็ดอร่อย ซ้ำยังรู้สึกซาบซ่าที่โคนลิ้น ไล่ลามไปถึงกระพุ้งแก้ม
พอหยิบกินไปถึงตัวที่สี่ นางจึงรู้สึกมึนๆ อารมณ์พลันแช่มชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด คล้ายอาการเมาสุราคราแรกไม่มีผิด
นัยน์ตาเขียวขจีของนางเหลียวมองเห็ด ที่ยังค้างคาอยู่ในถุงด้วยความสงสัย
" นี่เจ้าใส่อะไรปรุงในเนื้อแมงป่อง ? "
" เห็ดเมา "...
มันตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ทั้งที่ยังขบเคี้ยวแมงป่องอย่างมีความสุขเปี่ยมล้น
ผิดกับหญิงสาวที่ผงะตัวตรง เบิกดวงตามองมันด้วยความตื่นตะลึง
" นี่เจ้ากลั่นแกล้งข้ารึ คิก คิก ! …"
นางพยายามทำเสียดุ แต่ยังไม่วายหัวเราะคิก คิก โดยไม่อาจหักห้ามตัวเอง
เกรงว่าเห็ดเมาเริ่มออกฤทธิ์ใส่นางเสียแล้ว…
" ไม่ได้กลั่นแกล้ง ! นี่มันเป็นสูตรอาหารชำระล้างความงมงาย คิก คิก คิก …"
" ชำระล้างอันใด งมงายอันใด เจ้ารีบกล่าวมาให้แจ่มแจ้ง อืบ อึบ !... "
หญิงสาวแข็งขืนไม่ให้หัวเราะ จับจ้องมองแมงป่องพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ห้าวซิ่งเคี้ยวแมงป่องไป หัวเราะคิกๆคักๆไป พลางกล่าวอารมณ์รวยรื่น
" จะมีอันใดงมงายหนักหนาเท่าความรักอีกเล่าแม่นาง ฮึ ฮึ ฮึ "
มันหัวเราะฮึฮะในลำคอ พลางแหง่นหน้ามองดวงจันทร์ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ
" อย่างวันสารทไหว้พระจันทร์นั้นประไร เจ้าว่ามันเป็นรักงมงายหรือไม่ เวลาทั้งปีจะมีเพียงวันเดียวที่ 'โห้อี้ 'สามารถขึ้นไปพบเจอแม่นาง 'ฉางเอ๋อ ' บนดวงจันทร์ เจ้าว่าความรักชนิดนี้สมควรขำระล้างหรือไม่ ?"
" คิก คิก คิก…เจ้านี่วิกลจริตจริงๆ เจ้าจะเอาเห็ดเมาไปชำระล้างใจเทพในตำนานอย่างนั้นรึ ? นี่มันเรื่องบ้าบอที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า …."
หญิงสาวหัวร่อร่าไม่อาจระงับ รู้สึกสำราญเบิกบานจนเผลอไผลกัดกินแมงป่องในมืออย่างเพลิดเพลิน
" ข้าแค่เปรียบเทียบเท่านั้น ข้ายังไม่วิปลาสพอจะไปมอมเมาเทวดาหรอก คิก คิก คิก ! "
ห้าวซิ่งกล่าวเลื่อนลอย นัยน์ตายังจับจ้องมองแสงจันทร์นวล ก่อนจะเปรยเสียงละล่องลอยตามสายตามัน
" ที่ข้าจะมอมเมาคือสหายข้าต่างหาก ข้าเห็นมันงมงายกับความรักมานานนับปี ยิ่งดูยิ่งน่าสมเพช หากไม่ช่วยเหลือเกรงว่ามันคงแวกว่ายทะเลน้ำตาไม่สิ้นสุดแล้ว ! "
" คิก คิก คิก !...น้ำหน้าอย่างเจ้านิ มีน้ำใจกับสหายถึงเพียงนี้เชียว ! "
" ย่อมต้องมีน้ำใจแน่นอน หากไร้มิตรสหายคงไม่มีน้ำหนักถ่วงสมดุลย์ใจคนแล้ว เพราะเมื่อคนผู้หนึ่งถูกความรักครอบงำ จิตใจมันก็เอียงไปทางเสน่หา คล้ายเรือสำเภาใกล้ล่มจมเต็มที "
ห้าวซิ่งพูดเลื่อนไหลยืดยาว เมื่อหันมาจึงพบว่าแมงป่องตัวสุดท้ายถูกนางหยิบขึ้นมาขบเคี้ยวเป็นที่เรียบร้อย
รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของห้าวซิ่งเบิกกว้าง กับนักปรุงอาหารยากไร้ จะมีรางวัลใดมีค่าเท่ากับการเห็นคนกินอาหารของมันหมดเกลี้ยง
" คิก คิก คิก…ล่มจมมีอันใดไม่ดีงาม ความรักเป็นเช่นการล่มหัวจมท้ายมิใช่รึ "
หญิงสาวกล่าวหน้าชะแล่ม ทั้งที่กำลังเอร็ดอร่อยกับกุ้งทะเลทรายตัวสุดท้าย
" ฮึ ฮึ ฮึ…เจ้าก็เชื่อถือคำพูดเช่นนี้รึ การล่มหัวจมท้ายเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะความรักไม่เคยสมดุลย์เท่าเทียม จะต้องมีฝ่ายหนึ่งทุ่มเทให้มากกว่าเสมอ ยิ่งทุ่มเทอีกฝ่ายยิ่งเรียกร้อง อยากได้ไม่สิ้นสุด เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ชนิดนี้ จะเกิดการล่มหัวจมท้ายได้อย่างนั้นรึ ? "
" อ้อ !...ถ้าเช่นนั้นเห็ดเมาเจ้าจะช่วยสหายเจ้าได้อย่างไรเล่า ? "...
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย นัยน์ตาหรี่ปรือด้วยความเมามาย ถึงกระนั้นนางยังหยิบถุงสุราขึ้นกระดกดื่ม ไม่หวาดกลัวความเมามายที่จะเพิ่มเติมมาสักนิด
ส่วนห้าวซิ่งได้หยิบห่อผ้าเล็กๆออกจากถุงใบใหญ่ข้างกาย แล้วมันก็เร่งรีบเปิดห่อผ้า เผยให้เห็นขนมรูปทรงสี่เหลี่ยมสีขาวนวลๆ มีใส่เป็นผักซีดๆ มันเรียกว่าดรูฟ เป็นขนมโบราณของชาวเปอร์เซีย
" ไม่ใช่แค่เห็ดเมา ต้องถูกเวลาถูกสถานที่ เมื่อใส่ส่วนผสมที่ถูกต้อง แล้วขนมบอกความในใจจะแพร่งพรายทุกสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ ! "
" โห้ !...ขนมดาษดื่นแบบนี้ บอกความในใจได้จริงๆนะรึ ? "
หญิงสาวเบิกตากลมโตดั่งไข่ห่าน เพ่งมองขนมดรูฟด้วยใบหน้าแดงกร่ำ จากฤทธิ์เห็ดเมาปะปนกับเมลัยเข้าผสมผสาน
ห้าวซิ่งที่เมาน้อยกว่า เริ่มกล่าวสรรพคุณขนมของมันด้วยใบหน้าอันภาคภูมิ
" ขนมความในใจ ต้องกินในวันสารทไหว้พระจันทร์ ต้องกินพร้อมกับคู่รัก เหมือนร่วมฉลองให้กับโห้อี้ได้เจอฉางเอ๋อ ในแสงจันทร์อาบไล้เห็ดเมาในขนมจะเผยความจริงในใจ ใครจริงใครเท็จ ใครทุ่มเทใครมักมาก ล้วนจะปรากฏออกมาแจ่ม….โอ๊ะ โอ๊ะ !....นี่เจ้าทำอะไร ? "
ถ้อยคำมันไม่ทันจบสิ้น ห้าวซิ่งต้องเบิกตากว้าง ร้องแตกตื่น เมื่อเห็นนางส่งขนมดรูฟเข้าปาก กัดกินเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
" คิด คิก คิก !...ข้าไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่ายๆหรอกนะ หากไม่ทดลองกับตัว จะรู้ได้อย่างไรว่าความจริงจะหลุดออกจากปาก เมื่อรับทานขนมนี้เข้าไป ! "
นางกล่าวเสียงอ้อแอ้ เมื่อรับทานขนมจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงโยนถุงสุราข้างกายไปให้ชายหนุ่ม ประหนึ่งให้เป็นค่าขนมก็ไม่ปาน
" เจ้านะเจ้า ชมชอบการรับทานยิ่ง หากเผลอไผลพูดความลับออกมา ข้าไม่รู้ด้วยนะ ! "
ห้าวซิ่งกล่าวเบิกบานด้วยใบหน้าแดงกร่ำ พร้อมยกถุงสุราที่มีอยู่น้อยนิด กระดกดื่มคราเดียวหมดเกลี้ยง
ขณะเดียวกับที่หญิงสาวเริ่มมีอาการดวงตาพร่าเลือน มองเห็นดวงจันทร์ซ้อนเลื่อมเป็นสามดวง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกวูบไหว เหมือนเห็นเทพเจ้าเล่นมายากลหลอกลวงคน
" เจ้าหลอกลวงข้าแล้วเจ้าคนเถื่อน ข้าไม่เห็นสิ่งใดเป็นความจริงเลย เห็นมีแต่สิ่งแปลกปลอมเต็มท้องฟ้า แม้แต่ดวงจันทร์ยังมีสามดวง แล้วแม่นางฉางเอ๋ออยู่ดวงไหนละเนี้ย ! ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ…"
เสียงหัวร่อร่าของนางทำเอาห้าวซิ่งเบิกยิ้มกว้าง แล้วเหม่อมองดวงจันทร์ไปกับเสียงเลื่อนลอยเมามาย
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า…แม่นางแสงจันทร์ เจ้าเมาแล้ว ดวงจันทร์ไหนเลยจะมีสามดวงได้ ถ้าเป็นใจผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง อย่าว่าแต่แยกเป็นสามเลย แยกได้นับสิบนับร้อยข้าก็เคยพบพาน ! "
" เชอะ !...เจ้านี่ คำก็ว่าอิสตรี สองคำก็ว่าอิสตรี เจ้ารู้หรือไม่ในสายตาข้าไม่มีบุรุษหรือสตรีหรอก ในโลกมีคนแค่สองประเภทเท่านั้น! ฮ่า ฮ่า ฮ่า …."
นางกล่าวไม่ทันจบก็ลงไปนอนแผ่หรากับพื้น ใช้สายตาหรี่ปรือมองแสงจันทร์นวลใยกลางราตรี ในภาพเลือนลาง
" อ้าว !...ทำไมหยุดเสียกลางคันอย่างนั้นเล่า ? เป็นสองประเภทไหนกัน ? "
" คิก คิก คิก…ประเภทแรก คือผู้ช่วงใช้ความฝัน อีกประเภทคือผู้ที่ถูกความฝันช่วงใช้ …ดูไปดูมาเจ้าก็จัดอยู่ในคนที่ถูกความฝันช่วงใช้เท่านั้นเอง ! "....
นางกล่าวเสียงเครือ หันมองชายหนุ่มที่กำลังล้มตัวนอนข้างๆนาง เป็นภาพทับซ้อนหลายคนนอนเรียง
พอห้าวซิ่งขยับปากเอ่ยถาม ยังได้ยินเสียงลอยรอดมาสามสี่เสียงโดยพร้อมเพรียง
" อันใดคือคนช่วงใช้ความฝัน อันใดผู้ถูกความฝันช่วงใช้รึ แม่นางแสงจันทร์ ? "
" ก็อย่างเจ้านี้ไงที่เป็นผู้ถูกความฝันช่วงใช้ เจ้ากระทำในสิ่งที่ไม่อาจเป็นจริงได้ ไร้สาระสูญเปล่า ไม่มีอะไรเป็นจริงได้นอกจากความคาดฝันที่หลอกล่อให้เจ้ากระทำ คิก คิก คิก …"
นางกล่าวอ้อแอ้ยานคาง ดั่งเมามายนักหนาแล้ว
"…จริงๆแล้วเจ้าก็เหมือนคนส่วนใหญ่นะ เพราะข้าเคยเจอบุรุษสามสิบคน ที่มาสู่ขอข้าเป็นภรรยา สุดท้ายพวกมันก็ต้องกลับไปมือเปล่า …เสียเวลา เสียอาชานับร้อยโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ…คิก คิก คิก…นับว่าถูกความฝันช่วงใช้จนงมงาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า…"
เสียงนางค่อยๆแผ่วเบาแช่มช้า ไปพร้อมๆดวงตาที่ปรือหลับลง เสียงหัวเราะคิกๆคักๆ แผ่วเบาในลำคอ ก่อนจะค่อยๆเงียบหายไป
แตกต่างจากห้าวซิ่งต้องสะดุ้งตัวขึ้นนั่ง หันมองนางด้วยความตกใจ
" ห๊ะ!...มีคนมาสู่ขอเจ้าถึงสามสิบคนเชียวรึ ! "
คำร้องถามของมันเหมือนจะสลายหายไปในความฝันอันไร้ค่า เพราะไม่มีคำตอบใดย้อนเวลามาสักครึ่งคำ
" อ้าวแม่นางแสงจันทร์ เหตุใดทอดทิ้งกันไปง่ายดายเพียงนี้ "
ห้าวซิ่งบ่นงึมงำกับตัวเอง เมื่อเห็นหญิงสาวนอนหลับตาพริ้ม นางก้าวย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ
คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้ามาทั้งวันทั้งคืน ผสมเข้ากับเห็ดเมาจึงชักพานางหลับใหลไปง่ายดายเช่นนี้
ดวงตาหรี่ปรือของชายหนุ่มพินิจวงหน้างามด้วยความเคลิบเคลิ้ม จมูกโด่งเป็นสันนั้นคมคายบาดตานัก ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อดั่งบุปผาผลิบาน เร่งกระตุ้นหัวใจห้าวซิ่งให้เต้นระทึกโครมคราม
" เจ้างามสะคราญถึงเพียงนี้นี่เอง จึงมีคนมาสู่ขอมากมายนัก ! "...
ฤทธิ์มึนเมายังไม่สร่างซา สายลมราตรีโชยไหวเบาบาง หอบลอยเอากลิ่นหอมจางๆจากร่างสะคราญมาเข้าจมูก
ก่อกำเลิบให้ใจชายหนุ่มฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
" ข้าคงเป็นคนที่ถูกความฝันช่วงใช้จริงๆ หากข้าไม่กลัวกระทำใดสูญเปล่าหรอก เพราะอย่างน้อยการได้กระทำใดๆย่อมยืนยันจ้าว่ายังมีชีวิตอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว! "
มันเอ่ยแผ่วเบากับนาง พลางค่อยๆโน้มหน้าลงไปใกล้ๆใบหน้างามมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั้งริมฝีปากมันสัมผัสกับริมฝีปากรูปกระจับของนางแผ่วเบา
แต่เพียงชั่วอึดใจ มันกลับล้มตัวลงนอนเคียงข้างนาง ด้วยรอยยิ้มเริ่งร่า ใบหน้าบานกระโล่ ….