#03
บทที่๐๓ บุพเพอาละวาด
“ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่ายักษ์ตนที่ถูกสาปจะชื่อว่า...กุมภัณฑ์ล่ะมั้ง”
ด้วยคำบอกเล่าที่ฟังดูคุ้นเคยคล้ายกับได้ยินที่ไหนมาก่อน พานให้ความคิดในหัวทำงานอย่างรวดเร็ว ก่อนสรุปผลประมวลออกมาด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง
‘ไฉนจึงคิดว่ากู ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม!?’ เสียงโกรธเกรี้ยวและเต็มไปด้วยความคับแค้นของชายแปลกหน้าที่ทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นได้ในทันที ยามต้องนึกถึงใบหน้าคมคามภายใต้ชุดเครื่องทรงยักษ์ ‘ระรานร้อนไปทั่วธรณิน เหยียบย่ำฟ้าดินไม่เกรงใจ ไม่ใช่มึงหรืออย่างไรเล่าไอ้กุมภัณฑ์!’
ตอนนั้น เขาก็เรียกฉันว่ากุมภัณฑ์เหมือนกัน!
“เม!” เสียงของหนึ่งในเพื่อนรัก ทำฉันสะดุ้งจากภวังค์ความคิด รีบช้อนตามองหน้าเจ้าของเสียงเรียกกลับไปทันที ก่อนพบว่าทับทิมกำลังขมวดคิ้วมองฉันคล้ายกับไม่พอใจแต่ในทางกลับกันก็ดูเป็นห่วงด้วยเช่นกัน “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆ เงียบไปล่ะ?”
“ฉัน...ก็แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย”
“แล้วที่คิดอยู่ คือเรื่องอะไรล่ะเม?” คราวนี้คนที่ยิงคำถามสวนกลับมาโดยพลันกลับเป็นไวเกล พอเหลือมองก็พบว่ายัยเพื่อนตัวดีคนนี้กำลังกอดอกอยู่ในท่าเดิม จ้องหน้าฉันเหมือนกับคาดหวังและรอคอยคำตอบ
“ถ้าพูด...เธอจะเชื่อฉันหรือไง?”
“ของแบบนี้มันก็ต้องพูดก่อน เชื่อไม่เชื่อ เดี๋ยวใช้ดุลพินิจตัดสินเอง” ไวเกลยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์ ซึ่งรอยยิ้มดังกล่าวกลับทำให้ฉันรู้สึกลังเล และเลือกที่จะมองหน้าทับทิม ซึ่งยามนี้กำลังมองหน้าด้วยสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
ผลสุดท้าย ฉันก็ไม่มีทางเลือก จำต้องเล่าเรื่องที่รู้สึกอยู่ในอกออกมาในที่สุด
“ก็เรื่องผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันเห็นไง เขาปรากฏตัวตรงหน้าฉันอย่างไร้ที่มา และหายตัวไปราวกับใช้เวทมนตร์...” พอเริ่มเปิดปากเล่า คราวนี้เพื่อนรักทั้งสองก็เงียบไปราวกับตั้งใจฟัง “ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นเขามาแล้วรอบหนึ่งที่วัดก่อนงานบวงสรวงจะเริ่ม ชายคนนั้นเรียกฉันด้วยชื่อยักษ์มารในตำนานของท้าวอสุเรนทร์”
“กุมภัณฑ์เหรอ?” ทับทิมแทรกเสียงขัด ซึ่งฉันก็ทำแค่พยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ โดยไม่ลืมพูดเสริมความคิดเห็นของตัวเองออกมา
“สาบานให้ฟ้าผ่าเลยก็ได้...ฉันไม่เคยอ่านประวัติท้าวอสุเรนทร์อะไรนี่มาก่อน ที่อ่านผ่านตาก็มีแค่บทละครที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานเลยสักนิด แล้วแบบนี้พวกเธอคิดว่ามันแปลกหรือเปล่า?”
ถามจบ คราวนี้คนฟังอย่างทับทิมก็เงียบไป เธอถอนหายใจและเลือกที่จะเหลือบมองหน้าไวเกลมากกว่าจะเป็นฉันซึ่งตั้งคำถาม
“โลกใบนี้น่ะ มันกลมนะรู้หรือเปล่า?” หากแต่คนที่เป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบคล้ายกับเข้าอกเข้าใจทางโลกมันกลับเป็นไวเกลเองนั่นแหละ “มนุษย์เราเวียนว่ายตายเกิดสลับภพภูมิต่างกันไปในแต่ละชาติ ชาตินี้เธออาจจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่ในชาติที่แล้วอาจจะเกิดเป็นหมาแมวบนโลกนี้ที่ไหนสักแห่งก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ทุกสิ่งมีชีวิตเกิดมาแล้วต้องดำรงตำแหน่งรับหน้าที่เหมือนกันทุกคนก็คือการชดใช้เวรกรรมที่เคยทำมาในแต่ละภพแต่ล่ะชาติ...”
“…” เวียนว่ายตายเกิดงั้นเหรอ?
“ฉันก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น เธอเองก็คงไม่ต่างกันนัก”
สิ้นเสียงคำพูดอย่างมีหลักการทางธรรมของไวเกลนั่นกลับเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พื้นที่ด้านนอกเกิดเสียงเอะอะโวยวายของบรรดาเหล่าทีมงานกองถ่ายขึ้นพอดี พลอยให้บทสนทนาระหว่างเราสามคนมีอันต้องหยุดลง และจำต้องรีบรุดออกจากที่นั่งใต้ถุงเรือนทรงไทยออกไปยังต้นเหตุของเสียงทันทีด้วยความสงสัยปนความตกใจ
“อะไรนะ? มาไม่ได้แล้วอย่างงั้นเหรอ!?”
เสียงโวยวายแรกที่ได้ยินคือเสียงของพี่ช้าง ซึ่งฟังดูเป็นกังวลอย่างสุดๆ แต่ขณะเดียวกันก็ดูจะหัวเสียไปด้วย
“ทางผู้จัดการคุณวุฒิเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เองค่ะ” จากเสียงของทีมงานที่ดูเป็นกังวล พอทำให้จับใจความได้ว่า วุฒิ หรือ คุณวุฒิ ที่เธอพูดถึงนั้นประสบอุบัติเหตุ
และสิ่งที่ทำให้ทุกคนในกองถ่ายเป็นเดือดเป็นร้อนกันขนาดนั้นก็เพราะ คุณวุฒิที่พูดถึงคือดารานำชายเจ้าของข่าวฉาวบนหน้าบันเทิงของหนังสือพิมพ์ อีกทั้งเขายังเป็นคนที่จะมารับบทท้าวอสุเรนทร์ในละครที่เราจะแสดงร่วมกันอีกด้วย
“ฉิบหายแล้วงานนี้ ขาดวุฒิไปแล้วเราจะเริ่มถ่ายละครกันได้ยังไง!?”
“เดี๋ยวหนูจะลองโทรติดต่อประสานงานนักแสดงชายท่านอื่นดูก่อนนะคะ พี่ช้างมีใครคนอื่นที่สนใจพิเศษหรือเปล่า?”
“ก่อนมึงจะติดต่อหานักแสดงชายคนใหม่ มึงไปหาพวงมาลัย หาธูปเทียน มาจุดไหว้ขอขมาท้าวอสุเรนทร์ดีกว่าไหม?”
เพราะพี่ช้างยามนี้ดูจะหงุดหงิดและหัวร้อนกับเหตุ Accident ที่เข้ามาไม่ทันให้เตรียมตัว ฉันจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยปากถามเรื่องที่เกิดขึ้นจากปากเขาตรงๆ โดยเลี่ยงเป็นการถามจากทีมงานคนอื่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มากกว่า
“น้องๆ เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมพี่ช้างหัวเสียขนาดนั้นล่ะ?”
“อ๋อ...คืออย่างงี้ค่ะ” ซึ่งทีมงานที่เป็นเป้าหมายก็ดูไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เธอรีบกระชิดเข้ามาใกล้แล้วกระซิบราวกับกลัวพี่ช้างได้ยิน “คุณวุฒิแกประสบอุบัติรถคว่ำขณะเดินทางมากองถ่ายค่ะ”
“รถคว่ำเหรอ?” ฉันย้อนอย่างไม่เชื่อหู ซึ่งดูเหมือนทัมทิมกับไวเกลเองก็ดูจะตกใจไม่ต่างกัน
“ใช่ค่ะ ทางผู้จัดการเขาโทรมา เห็นบอกว่าหลังประสบอุบัติเหตุ คุณวุฒิแกก็เหมือนคนเสียสติไปเลยน่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ?” คราวนี้ทับทิมเป็นคนถาม
“เห็นผู้จัดการคุณวุฒิเล่าว่า หลังประสบอุบัติเหตุคุณวุฒิเอาแต่ยกมือไหว้ท่วมหัวเหมือนกับหวาดกลัวอะไร ปากเอาแต่พูดว่ายักษ์ ยักษ์ ยักษ์ไม่ยอมหยุด”
“…” ยักษ์งั้นเหรอ?
“หนูว่าต้องเป็นอาถรรพ์ของละครตั้งแต่ตอนงานบวงสรวงเปิดกล้องแน่ๆ เลยค่ะ...” คราวนี้ ยังไม่ทันที่เด็กสาวในกองถ่ายจะทันได้เอ่ยบอกจนจบ กลับมีเสียงเข้มของใครอีกคนก็เอ่ยขึ้นคล้ายกับจะเสริม
“ในกองถ่ายมีตัวกาลกิณีปะปนอยู่จริงๆ ด้วยสินะ ถึงได้โดนอาถรรพ์กันถ้วนหน้าแบบนี้”
การที่เป็นเช่นนั้นเลยทำให้ทั้งฉัน ทีมงาน รวมถึงเพื่อนรักอีกสองคน เหลียวมองไปยังเจ้าของเสียงด้วยความสงสัยกันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนพบว่าเขาไม่ใช่ใคร หากแต่เป็น ณภัทร นักขาวแว่นกรอบหนาสายบันเทิงที่ฉันกับผู้จัดการเกลียดขี้หน้ามากที่สุดในโลกใบนี้
“นาย!”
“สวัสดีครับคุณเมรี” เขารีบเอ่ยทักทายขึ้นทันทีเมื่อเท้าหยุดลงตรงหน้า “ผมนับถือใจคุณจริงๆ เลยนะครับ ขนาดถูกกระแสโซเชียลโจมตีหนักขนาดนี้ ยังกล้าแบบหน้ามารับเล่นละครเรื่องนี้ต่อได้แบบไม่แคร์อะไร”
“ณภัทร!” ความแค้นจากหลายๆ สิ่งเลวร้ายเกี่ยวกับฉันที่ถูกรายงานผ่านสื่อบันเทิง ทำให้ร่างกายขยับเคลื่อนไหวไปเอง เงื้อมไม้เงื้อมหมัดเพื่อเตรียมที่จะสั่งสอนคนตรงหน้าให้หลาบจำบ้าง ทว่า สิ่งที่คิดกลับไม่เป็นผลสำเร็จ เมื่อไวเกลซึ่งรวดเร็วกว่ารีบใช้มือรั้งกายฉันไว้เพื่อห้าม นั่นเลยทำให้ผู้ชายสารเลวตรงหน้าถือโอกาสพูดจาใส่กันแบบไม่ไว้หน้าออกมาเป็นหนที่สอง
“เจอหน้าก็คิดจะทำร้ายกันเลยเหรอครับคุณเมรี ไม่กลัวว่าผมจะเอานิสัยเสียๆ ของคุณไปเขียนลงหน้าหนังสือพิมพ์อีกหรือไง?” เขาพูดไปพลางหัวเราะไปคล้ายกับใจเหมือนต้องการจะยั่วโทสะกันไม่มีผิด “แต่ก็ดีนะครับ...ถ้าได้ลงสกู๊ปพิเศษ ผมคงได้เงินค่าข่าวนี้เยอะน่าดู”
“นายมันหน้าเงิน! เขียนข่าวชั่วของคนอื่นแบบมั่วๆ แบบนี้ได้ยังไง ไร้จรรยาบรรณ!”
คนถูกว่าไหวไหล่ไม่ยี่ระต่อคำต่อว่า ขณะเดียวกันนั้นเขาก็ยิ้ม แล้วพูดตอบโต้กลับมา
“ระหว่างจรรยาบรรณกับเงิน ผมว่า…” ยิ่งได้พบหน้า ฉันยิ่งรู้สึกเกลียดและยิ่งแค้นผู้ชายคนนี้มากกว่าที่เคยรู้สึก นอกจากเขาจะไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำแล้ว เขายังดูสนุกกับการทำให้ฉันโมโหเสียด้วยสิ “..ผมเลือกเงินนะคุณเมรี”
หลังจากณภัทรยั่วโทสะได้สำเร็จ เขาก็หัวเราะและเดินเลยผ่านหน้าฉันกับทีมงานหญิงในกองตรงเข้าไปหาพี่ช้างผู้กับกำละครทันที และนี่ คืออีกเรื่องที่ฉันกลัวมากที่สุด
กลัวว่าเขาจะเอาข่าวลือมั่วๆ ที่ตัวเองเขียนใส่ความคนอื่นไปเป่าหูพี่ช้าง จนฉันถูกถอนจากบนนักแสดงนำ หากถามว่าทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้น เหตุผลก็เพราะ ไอ้ณภัทร ผู้ชายสารเลวคนนี้ดันเป็นน้องชายแท้ๆ ของผู้กำกับชื่อดังอย่างพี่ช้างน่ะสิ!
“พี่ช้าง วันนี้แลดูในกองจะวุ่นๆ นะพี่…” ทันทีที่ณภัทรเริ่มเอ่ยปาก เสียงหวานของทับทิมก็เอ่ยติดกระซิบราวกับรู้ใจว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่
“ใจเย็นนะแก...”
“ก็เออน่ะสิ คุณวุฒิดันขับรถคว่ำกลางทาง ตอนนี้พี่แม่งตันไปหมด ถ้าต้องเลื่อนการถ่ายออกไป มีหวังไม่ทันกำหนดออนแอร์แน่ๆ” ซึ่งพอได้ยินทับทิมบอกเช่นนั้น ฉันก็พยายามทำ แม้ว่าบ่อยครั้งจะถูกสายตาของผู้ชายที่เกลียดขี้หน้าเหลือบมองมาแบบเยาะเย้ยอยู่บ่อยครั้งก็ตามที
“ก็แน่สิพี่ ก็ในกองเรามีตัวอัปมงคลปะปนอยู่ด้วย งานมันก็เลยเหมือนจะล่มๆ ตั้งแต่วันบวงสรวงเปิดกล้อง...โอ้ย!” พี่ช้างซึ่งตอนแรกยืนฟังน้องชายตัวเองพูดจาแดกดันอย่างหัวเสีย รีบหันมาตีแขนน้องตัวเองแรงๆ หนึ่งทีเมื่อสายตาเขาเหลือบมาเจอฉันยืนอยู่ไม่ใกล้และไกล
“มึงพูดอะไรเนี่ยไอ้ภัทร มึงให้เกียรติเขาหน่อยสิวะ!” รับรู้ได้ว่าเขาคงรู้สึกผิดแทนน้องชายปากปีจอของตัวเองมากแค่ไหน ถึงได้พยายามก้มหัวลงเล็กน้อยแทนการบอกขอโทษ ซึ่งนั่นไม่ใช่กับนักข่าวสายบันเทิงไร้จรรยาบรรณซึ่งยังคงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เสมือนผู้เหนือกว่าไว้บนหน้า แล้วกล่าวขึ้น
“แล้วนี่ พี่หานักแสดงแทนได้หรือยัง ให้ผมช่วยหาให้ไหม?”
“ยัง ตอนนี้กูอยากทำพิธีไหว้ขอขมาท้าวอสุเรนทร์มากกว่า…” เสียงของพี่ช้างเงียบลงในช่วงท้ายประโยค เมื่อเขายอมละสายตาไปจากหน้าฉันมองกลับไปยังน้องชายตัวเอง และจ้องอยู่เช่นนั้นนิ่งๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยปากสั่ง “ไอ้ภัทร ไหนมึงลองถอดแว่นออกสิ”
“อะไรวะพี่!?”
“กูบอกให้มึงลองถอดแว่นออก!” ณภัทรพอถูกพี่ชายตัวเองสั่งแบบนั้น เขาก็รีบบรรจงถอดแว่นกรอบหนาของตัวเองออกทันที ซึ่งนั่นกลับไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่เขายอมทำตามคำของพี่ชายตัวเอง
“มึงชอบศึกษา ชอบอ่านตำนานของท้าวอสุเรนทร์ด้วยนี่ใช่หรือเปล่า?”
“อะ เออใช่...ทำไมวะพี่?” คนถูกถามดูแปลกใจ ไม่ต่างจากฉันหรือคนอื่นๆ ที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่นัก ก่อนต้องเปลี่ยนเป็นอาการช็อก เมื่อพี่ช้างพ่นคำถามหลังใส่น้องชายตัวเอง
“มึงสนใจอยากลองเล่นละครสักเรื่องไหม?” และคำถามดังกล่าวนั่นแหละ ทำให้ฉันเริ่มเชื่อแล้วว่า ละครเรื่องนี้มีอาถรรพ์จริง!
เพราะรู้สึกไม่โอเค ฉันจึงไม่รอช้าที่จะสะบัดตัวออกจากการจับกุมของเพื่อนรัก ตั้งท่าที่จะเดินเข้าไปคุยกับพี่ช้างอีกครั้ง ทว่า
“พี่ช้างคะ เมว่า...อะ” นี่ก็เป็นเหตุครั้งที่สองแล้ว ซึ่งทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้พูดความรู้สึกของตัวเอง
“คุณเมรีคะ...เดี๋ยวเราไปแต่งหน้าแต่งตัวทางนู้นกันดีกว่าค่ะ” เพราะทีมงานสาวซึ่งยืนพูดคุยอยู่ด้วยกันในตอนแรกดันเอ่ยแทรกออกมาเสียก่อน ไม่ใช่แค่นั้นแต่เธอยังได้ลูกมือเป็นเพื่อนสาวคนสนิทที่ช่วยกันพยายามดึงแขนคล้ายกับอยากพาออกไปจากบริเวณสวนสวยหน้าบ้านทรงไทยอีกด้วย
ครั้นจะเอ่ยแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไปอีกที พี่ช้างก็ไม่ได้รอที่จะฟัง เหมือนว่าเขาไม่ได้ยิน ซ้ำร้ายยังกอดคอณภัทรพาเดินแยกออกไปคุยกันแบบสองต่อสอง โดยที่ฉันเองก็ถูกพาตัวเดินออกห่างจากพวกเขาไปไกลเรื่อยๆ ได้แต่ภาวนาในใจว่าสิ่งที่พี่ช้างพูดกับไอ้ณภัทรเมื่อครู่นี้จะเป็นเพียงมุกตลกร้ายที่เขาพูดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ไม่สู้ดีภายในกองถ่ายเท่านั้น
ตลอดเวลาที่ถูกพามายังจุดที่พวกช่างแต่งหน้าและคอสตูมรวมตัวกันอยู่จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่พวกเขาจัดการแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนชุดสำหรับเข้าฉากให้จนเสร็จ บอกเลยว่าตลอดเวลาเกือบร่วมชั่วโมงที่ผ่านมานั้น ฉันไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการท่องบทที่อ่านมาเลยสักนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ทับทิมกับไวเกลแยกตัวออกไปหลังจากพาฉันมาส่งที่ห้องแต่งตัวสำเร็จเพื่อทำตามหน้าที่ของตัวเองด้วยแล้ว ในหัวเอาแต่หมกมุ่น ครุ่นคิดถึงเรื่องบทพระเอกที่พี่ช้างเสนอให้ไอ้ณภัทรรับเล่นแทนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งฉันทำใจไม่ได้จริงๆ หากว่าต้องร่วมเล่นละครกับคนที่เกลียดขี้หน้ามากที่สุดในชีวิตแบบนั้น
“ไหนๆ เมรีของเจ๊แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จหรือยังจ๊ะ?” ท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจของพวกช่างแต่งหน้า เสียงแจ๋นของใครคนหนึ่งซึ่งฟังดูคุ้นดีก็ดังขึ้น “สวัสดีจ้ะ...ตายแล้ว เมรีของเจ๊แต่งตัวแบบนี้แล้วดูสมเป็นหญิงไทยที่สุด”
ฉันเหลือบมองหน้าผู้จัดการของตัวเองยิ้มๆ อย่างนึกขอบคุณคำชม ทว่า พอเผลอได้สบตาเข้ากับนัยน์ตาคู่สวยของเจ๊ขวัญ ภาพที่เธอร่ายรำใต้ต้นไทรกลับดอยแว๊บเข้ามาในหัวจนในอกรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเสียอย่างงั้น
“เมหิวหรือเปล่า เดี๋ยวต่อฉากแรกเสร็จ เจ๊จะให้คนไปหาซื้อของชอบของเมมาให้”
“ไม่หิวหรอกค่ะ ตอนนี้เมกินอะไรไม่ลงทั้งนั้นแหละ” ต่อให้ลึกๆ จะรู้สึกแปลก ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังพูดจาตอบโต้เธอกลับไปด้วยถ้อยคำและท่าทางปกติ “พี่ช้างจะให้ไอ้ณภัทร เข้าร่วมเล่นละครเรื่องนี้ด้วย เจ๊รู้เรื่องหรือยัง?”
“ฮะ!? ไอ้นักข่าวเลวนั่นน่ะนะ” เสียงอุทานของเจ๊ขวัญทำฉันรีบตวัดหางตามองไปยังกลุ่มพวกช่างแต่งหน้าคนอื่นทันที และตัดสินใจลุกขึ้นใช้มือดึงแขนผู้จัดการตัวเองให้เดินออกไปทางอื่น
ทันทีที่หลบพ้นจากสายตาคนอื่น เจ๊ขวัญก็เอ่ยถามขึ้นด้วยอาการร้อนรนเป็นหนที่สอง
“พูดจริงเหรอเม? คุณช้างให้ไอ้ณภัทรมาเล่นละครเรื่องนี้ด้วยจริงๆ เหรอ?”
“ใช่ แต่เมก็แอบคิดนะว่าพี่ช้างอาจจะพูดเล่น บทพระเอกน่ะ จะเอาคนนอกมาเล่นมั่วๆ ได้ยังไงกันจริงไหมคะ?” แต่พอตอบ คนฟังกลับแสดงสีหน้าแปลกใจ อีกทั้งยังถามเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“บทพระเอกมันหน้าที่ของคุณวุฒิเขานี่...แล้วทำไมไอ้ณภัทรถึงจะต้องมาเล่นแทนล่ะ?”
“ก็คุณวุฒิเขาประสบอุบัติเหตุระหว่างมากองถ่ายนี่คะ นี่เจ๊ไปอยู่ตรงไหนมา เขาพูดกับให้แซ่ดทั้งกองเลยไม่รู้เรื่องได้ยังไง?”
“ขอโทษทีจ้ะ พอดีก่อนหน้านี้เจ๊...” เจ๊ขวัญทำท่าคล้ายกับจะบอกอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป สังเกตจากสีหน้าแล้วเธอดูอึดอัดและเป็นกังวลนิดหน่อย แต่ครู่เดียว เธอก็กลับมายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “งั้นเดี๋ยวเจ๊จะลองออกไปคุยกับพี่ช้างให้ เผื่อว่ามันจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่นก็แล้วกันเนอะ”
พูดจบเธอก็รีบแกะมือฉันที่จับแขนเธอไว้ออกแล้วปลีกตัวเดินออกจากห้องแต่งตัวไป
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่าเจ๊ขวัญดูมีอาการร้อนรนและรีบร้อนแปลกๆ หากไม่นับเรื่องที่เธอมีความเกลียดชังในตัวณภัทรเหมือนอย่างฉันล่ะก็ เรื่องอื่นที่อยู่ในความคิดเธอฉันก็ไม่สามารถเดาได้เลย
“เดี๋ยวเม ขอออกไปเดินดูรอบๆ หน่อยนะคะ” เพราะคิดแบบนั้น ฉันจึงอยากพาตัวเองออกไปให้เห็นถึงที่มาของอาการรีบร้อนของเจ๊ขวัญ รีบเอ่ยปากบอกพวกช่างแต่งหน้าแต่งตัวของคนในกองถ่ายและเดินเท้าเปล่าตามหลังเธอออกไปแบบติดๆ
กึก...
ทันทีที่เท้าก้าวข้ามธรณีประตูออกมาสู่พื้นที่ด้านนอก ภาพของสวนสวยภายในบ้านทรงไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป รวมถึงภาพของบรรดาทีมงานในกองถ่ายซึ่งกำลังเดินผ่านไปมาด้วยก็เช่น
สวนสวยยังคงเคล้าของสวนขนาดใหญ่หากแต่ดูแปลกตาไปจากที่เคยเห็น โดยเฉพาะกับผู้คนที่กำลังเดินผ่านหน้าไปคล้ายกับสวนสนาม พวกเขาไม่ได้สวมเสื้อยืดของกองละครดวงหทัยยักษ์ หากแต่แต่งกายด้วยเครื่องทรงยักษ์สีน้ำตาลไหม้หากแต่ไร้เครื่องประดับ มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ตามละครพื้นบ้าน บนหัวสวมหมวกทรงประพาสสีเดียวกับเครื่องทรง ดูสวยและแปลกตา ในสภาพเท้าเปล่า โดยถือหอกไว้คนละด้ามในมือ
พวกเขาทำราวกับว่ามองไม่เห็นฉันซึ่งยืนอยู่บริเวณเดียวกันหรือไม่ก็เลือกที่จะเดินวนไปโดยรอบผนังกำแพงโบราณสูงเหนือหัวไปแบบไม่สนใจ
ภาพอัศจรรย์ตรงหน้าทำเอาร่างทั้งร่างหยุดชะงักลงไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความตกใจ ด้วยเพราะสิ่งที่ปรากฏต่อสายตายามนี้ดูไม่เหมือนกับสถานการณ์ภายในกองถ่ายอย่างที่เคยรู้สึกและเจอมา สิ่งแรกที่ฉันตัดสินใจทำในตอนนั้นคือการชักเท้าเตรียมหันกลับเข้าห้องแต่งตัวอีกครั้ง ทว่า บานประตูซึ่งน่าจะเคยอยู่เบื้องหลังยามนี้กลับอันตรธานหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงแค่กำแพงโบราณสูงเหนือหัวแต่เพียงเท่านั้น
ฉันกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจจวนเจียนที่จะช็อก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามกลั้นใจเคลื่อนไหวร่างกายต่อสู้กับภาพของสถานที่สวยงามแสนแปลกที่ได้เห็นด้วยการก้าวเท้าเดินย้ำออกไปออกเชื่องช้า
พื้นที่ของสวนสวยแห่งนี้ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและดูร่มรื่นกว่าสวนของบ้านทรงไทยที่เคยเห็นมากนัก แม้จะไม่มีต้นไม้ใหญ่สูงมากนัก หากแต่มีสวนดอกไม้และพุ่มไม้ป่าสีสวยและดูหายากล้อมเป็นกอไว้ ยิ่งเดินลึกเข้ามาในสวนหูก็คล้ายกับได้ยินเสียงบรรเลงเพลงจากวงเครื่องสายดังมาตามลมให้ได้ยิน และไม่นาน มันก็เป็นอีกครั้งที่เท้าทั้งสองข้างมีอันต้องหยุดลง
เมื่อภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกลุ่มของชายในชุดเครื่องทรงยักษ์สีน้ำตาลไหม้นับสิบคนกำลังนอนหมอบกราบลงแนบพื้นหญ้าโดยหันทิศทางไปยังนางรำแสนสวยซึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องครบด้วยเครื่องประดับแบบไม่ขาดตกบกพร่องกำลังร่ายรำเคียงคู่กับชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีขาวนวลดูเข้ากลับเครื่องประดับเครื่องทรงสีทองอร่ามอย่างเข้าคู่
ทว่า ภาพของคู่ชายหญิงซึ่งกำลังร่ายรำด้วยกันนั้นกลับไม่ได้ตกอยู่ในสายตาฉันได้เท่ากับ ภาพของชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ในชุดเครื่องทรงยักษ์สีเขียวเข้มราวกับหลุดมาจากโรงแสดงโขน คนเดียวกับที่เคยเห็นในมโนภาพหลอนบ่อยครั้ง ซึ่งที่ข้างกายเขามีชายหนุ่มอีกคนนั่งหมอบกราบอยู่ใกล้ๆ
“น้องชายเราร่ายรำเคียงคู่กับดวงใจ ดูงามตามิใช่น้อย มึงคิดเหมือนกูรึไม่..ไอ้กุมภัณฑ์” และตอนนั้นฉันก็ได้ยินเสียงถามตอบ
“หามิได้ขอรับ ท่านท้าวอสุเรนทร์...”