บทที่8.1 เจ้ากรรมนายเวร

2760 Words
๑ สัปดาห์ต่อมา... [เมขับรถมาถูกใช่ไหม...วัดเดิมที่เคยจัดพิธีบวงสรวงนะ] “ค่ะๆ เจ๊ขวัญ เมทราบแล้ว กำลังจะไปที่รถ เอาไว้เราเจอกันที่วัดนะคะ...เมขอขับรถก่อน” [ขับรถดีๆล่ะ เจ๊เป็นห่วง] สิ้นเสียงของผู้จัดการส่วนตัว เท้าที่เดินก้าวมายังลานจอดรถก็หยุดลงที่รถสปอร์ตยี่ห้อหรูของตัวเองพอดิบพอดี นั่นจึงทำให้ฉันรีบกดวางสายจากเจ๊ขวัญพร้อมทั้งรีบเปิดล็อกแล้วพาตัวเองขึ้นไปนั่นประจำที่บริเวณฝั่งคนขับทันที ทว่า กึก! “เฮือก!” ทันทีที่ประตูรถปิดลงจนสนิท ฉันก็มีอันต้องสะดุ้ง เมื่อบริเวณเบาะด้านข้างคนขับซึ่งควรจะว่างเปล่า ยามนี้กลับมีร่างสูงของใครอีกคนกำลังนั่งอยู่ด้วยในท่ามาดนิ่งสุขุม ใจน่ะอยากถามเขาอย่างสุดเสียงว่า ใครใช้ให้ขึ้นมานั่งบนรถ!? แต่เชื่อเถอะว่าเสียงที่ถามจริงน่ะมันคือ “ทะ ท่านขึ้นมาทำไมคะ?” เสียงอ้อมแอ้มประหนึ่งโง่ไม่รู้คำตอบใดๆทั้งสิ้น “เจ้าจักให้เราเดินเหินอากาศไปเองอย่างงั้นรึ...เราเป็นแขก เจ้าอย่าลืมเสียสิ” มองบนแรงมาก! แม้ว่านี่จะผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ฉันต้องใช้ชีวิตร่วมกับยักษ์เจ้ากรรนายเวร ซึ่งไม่ว่าอย่างไรฉันก็ไม่รู้สึกชินกับการแว๊บไปแว๊บมาของเขาสักที และการมีท้าวอสุเรนทร์อยู่ด้วยใกล้ตัวตลอดเวลามันก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีที่ไหน หนึ่งเลยก็คือ ฉันไม่เคยหลับตาลงสนิทเลยสักคืนต่อให้วันนั้นจะกลับจากกองถ่ายดึกแค่ไหน เหตุผลก็เพราะฉันจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของเขาเดินวนไปวนมารอบๆห้องตลอดทั้งคืนคล้ายกับจะแกล้งกัน วันดีคืนดีเครื่องเล่นเพลงภายในห้องก็ดังขึ้นเองโดยที่ไม่ได้ถูกใส่ซีดีไว้ แถมเพลงที่ลอดดังออกมาก็เป็นเพลงบรรเลงดนตรีเครื่องสายพานให้คนได้ยินรู้สึกสยองจนแทบไม่อยากอยู่ห้องเพียงลำพัง สองก็คือการมีท้าวอสุเรนทร์อยู่ร่วมห้องด้วยมันทำให้ฉันซึ่งเป็นเจ้าของถูกปรับเปลี่ยนสถานะของตัวเองลงจนดูไม่เหมือนกับเป็นเจ้าของห้องที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น หากว่าตอนนั้นเขาเลือกที่จะนั่งพักนิ่งๆบนโซฟา ฉันซึ่งเป็นคนซื้อโซฟาด้วยเงินที่หามาได้ ย้ำ! ว่าฉันคือคนซื้อ กลับต้องจรลีลงไปนั่งอยู่บนพื้นแทนเสียอย่างงั้น โดยเขาให้เหตุผลว่าชั้นวรรณะระหว่างเราสองคนไม่เท่ากัน ฉันไม่สามารถใช้ข้าวของยกระดับเทียบเท่ากับเขาในตอนนั้นได้ ดูแล้วฉันไม่ต่างอะไรจากบ่าวไพร่ ส่วนเขาเป็นนายเจ้าของเรือนเลยว่าไหม? แต่เพราะชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ฉันจึงพยายามทำจิตใจให้แข็งสู้ทนกับเจ้ากรรมนายเวรที่ตามติดชีวิตเป็นเหมือนเงา ตอนนี้ก็เช่นกัน ฉันยังคงทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการขับรถตรงไปยังที่สำหรับถ่ายละครด้วยตัวเองเนื่องจากเจ๊ขวัญติดธุระมารับไม่ทัน ตลอดเวลาขับรถไปบนถนน ฉันไม่ได้พูดหรือสนใจเจ้ากรรมนายเวรบนเบาะข้างกายเท่าไหร่นัก ที่สนใจก็คือการขับรถพาตัวเองไปให้ถึงกองถ่ายให้ทันเวลาเท่านั้น “เวลาก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว...เรายังมิเห็นเจ้าจะศึกษากรรมเก่าของตัวเองตรงไหน...” แต่ไม่นานนักหรอกความเงียบภายในรถก็ถูกทำลายลงด้วยคำถามของยักษ์หนุ่มที่นั่งติดรถมาด้วย “ฉันต้องทำงาน จะให้เอาเวลาตรงไหนไปศึกษากรรมเก่าของตัวเองล่ะ?” ฉันถามขณะตามองไปยังถนนใหญ่ตรงหน้า มือประคองพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง “โป้ปด!...ยามอยู่เฉย เจ้าก็นิ่งดูดาย มิเห็นจักทำอะไร” “ท่องบทไงท่าน!” ฉันเถียง “งานฉันคือการแสดง ท่านเองก็เห็นอยู่ทุกวัน จะพูดให้ได้อะไรล่ะ?” “วาจาสามหาว!” ด้วยเพราะชักเริ่มจะชินกับเสียงเกรี้ยวกราดเชิงต่อว่าของท้าวอสุเรนทร์ล่ะมั้ง พอได้ยินบ่อยเขาฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องชิน ทำให้การโต้เถียงระหว่างเราเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง “จะสามหาวสี่ห้าวฉันไม่สนหรอก ตอนนี้ฉันต้องการสมาธิ” “เถียงคำไม่ตกฟาก!” สิ้นเสียงตะคอกเกรี้ยวกราดจู่ๆคนตัวใหญ่ก็ทำเรื่องไม่คาดฝันพุ่งมือข้างหนึ่งเข้าคว้าพวงมาลัยรถไว้อย่างรวดเร็วก่อนจัดการหักพวงมาลัยจนรถที่ฉันประคับประคองมาบนถนนเสียหลัก ครั้นจะเหยียบเบรกจู่ๆ คันเบรกก็แข็งจนเหยียบไม่ลงมันเสียอย่างงั้น พลอยให้รถทั้งคันพุ่งเข้าหาสามแยกเกาะกลางถนนอย่างรวดเร็ว ทว่า ก่อนที่รถทั้งคันจะปะทะเข้ากับบังเกอร์สำหรับจุดยูเทิร์นรถมอเตอร์ไซค์ เบรกซึ่งเคยกระแทกเท้าเหยียบเท่าไหร่ก็ไม่จม จู่ๆกับลดฮวบลงสุดอย่างไม่ทันเตรียมตัว ทำเอารถที่พุ่งมาด้วยความเร็วเริ่มหมุนอย่างเสียการบังคับ ส่งเสียงเบรกดังไปทั่วพื้นที่บนถนนจนน่ากลัว อีกทั้งยังเหวี่ยงตัวของคนขับอย่างฉันกระแทกเข้ากับประตูและแรงเหวี่ยงภายในอย่างรุนแรง เอี๊ยดดดดดดดดดด! เหตุการณ์น่าตกใจดังกล่าวเกินขึ้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานก็สงบลงเมื่อรถทั้งคันนิ่งสนิทพร้อมกับกลิ่นยางเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ การที่เป็นเช่นนั้นทำฉันที่รู้สึกเหมือนตัวเองตายไปแล้วรอบหนึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นในอาการตื่นตกใจ พร้อมทั้งรีบกวาดตามองสภาพโดยรอบด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก โชคดีที่ตอนนั้นบนถนนค่อนข้างโล่งจึงทำให้ไม่มีใครได้รับอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต และพอรู้ตัวว่ารอด ฉันก็รีบตวัดหางตามองใครอีกคนซึ่งนั่งอยู่ภายในรถด้วยกัน หากแต่สภาพเขานิ่งกว่าและอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี ดูไม่ได้แสดงอาการตื่นตกใจกับวินาทีฉุกเฉินจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อครู่เลยแม้แต่นิด ซ้ำร้ายยังกระหยิ่มยิ้มย่องคล้ายกับชอบใจที่ได้เห็นฉันในสภาพน่าสมเพช “ทะ ท่านทำอะไรน่ะ เดี๋ยวก็ตายกันพอดี...” แต่ยังไม่ทันออกปากว่าเขาได้จบประโยคดี “แต่เจ้าก็มิวอดวายมิใช่รึ?” ยักษ์หนุ่มเจ้าเล่ห์เอ่ยขัดออกมาเสียก่อนแบบไม่ฟัง “ยามเป็นยักษาทำเทวาร้อนต้องอาดูร กรรมเพิ่มพูนติดตัวชั่วนักหนา...” และฟังดูคล้ายกับเป็นการสั่งสอน “ฉะนั้นยามเกิดเป็นนารีชน จงอย่าฝีปากกล้ากับเรา...” พอได้ฟังเช่นนั้นสิ่งที่ฉันสามารถตอบโต้เจ้ากรรมนายเวรกลับไปได้ จึงมีแค่การกัดปากตัวเองอย่างนึกเจ็บใจพลางกำพวงมาลัยรถแน่นจนสั่นเพื่อกักกลั้นอาการหงุดหงิดที่พุ่งสูงปี๊ดจนแทบควบคุมไม่อยู่ และรีบจัดการสภาพของตัวเองกับรถให้กลับคืนสู่พื้นถนนในสภาพปกติโดยไวที่สุด ก่อนที่รอบตัวจะเกิดไทยมุงจนพลาดเกิดเป็นข่าวฉาวเรื่องการขับรถประมาทบนหน้าหนึ่ง และนี่ล่ะค่ะ คือทั้งหมดที่ฉันต้องเผชิญหน้ามาตลอดหนึ่งอาทิตย์เต็มจนถึงกระทั่งตอนนี้! วัดแห่งหนึ่งกลางกรุงฯ หลังจากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่หลังพวงมาลัย ขับรถไปตามถนนใหญ่อยู่ราวๆสามสิบนาทีเห็นจะได้ ถึงจะสามารถพาตัวเองมายังสถานที่ที่เป็นจุดนัดหมายได้สำเร็จ ที่แห่งนี้คือสถานที่แรกที่ฉันมีโอกาสได้พบเจอกับท้าวอสุเรนทร์ และการพบเจอระหว่างเราก็ดูไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก ทั้งฟ้าฝนเอย แผ่นดินไหวเอย ไหนจะดอกธนูที่เขาตั้งใจจะใช้ปลิดชีวิตนั่นอีก บรื้อ! แค่คิดก็ขนลุกไปหมดแล้ว “นี่ท่าน...” แต่เพราะว่าที่แห่งนี้คือสถานที่แรกที่เรามีโอกาสได้พบกัน ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามและชวนเขาคุยขณะขับรถวนหาที่จอดใกล้ๆ “ครั้งแรกที่เราเจอกัน ท่านเกือบจะฆ่าฉันตายที่นี่น่ะจำได้ไหม?” ถามจบฉันจึงแอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนตัวใหญ่ข้างกายเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาคน ทว่า บุคคลซึ่งเคยนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับมาตลอดทางตั้งแต่คอนโดฯ จนมาถึงวัดแห่งนั้น ยามนี้กลับหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว ทำเอาคนที่ได้เห็นอย่างฉันเผลอจิ๊ปากอย่างนึกหมั่นไส้ปนขัดใจ ผีอะไร คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ไร้มารยาท! เมื่อ หาที่จอดได้สำเร็จ ฉันก็ไม่ลืมเช็กสภาพโดยรวมของตัวเองเป็นหนสุดท้าย ก่อนตัดสินใจลงจากรถเพื่อพาตัวเองไปยังจุดแต่งตัวนักแสดง ซึ่งพอไปถึงดูเหมือนว่าทุกคนก็เตรียมพร้อมกันอยู่แล้วที่จะจัดการกับนักแสดงคนสุดท้ายที่เพิ่งมาถึง “มานี่เลยค่ะน้องเม ทุกคนรอน้องเมอยู่คนเดียวนะคะเนี่ย!” หนึ่งในพวกช่างแต่งหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งรีบตรงเข้ามาดึงแขนฉันไปนั่งยังม้านั่งใกล้ๆ เพื่อจัดการแต่งหน้าทำผมแบบไม่รอให้ผู้ที่มาถึงใหม่ได้พักหายใจ และตอนนั้นเอง กึก! “นี่น่ะเหรอนางเอกเบอร์หนึ่ง มาก็สายทำคนอื่นเขาเสียเวลารอกันทั้งกอง” เสียงเข้มต่อว่าของใครคนหนึ่ง ซึ่งเห็นเพียงแค่เงาก็รู้สึกได้ว่าเกลียดดังขึ้น ฉันไม่ได้หันไปมองเจ้าของคำพูดดังกล่าวตรงๆหรอกนะ แต่เลือกมองหน้าเขาผ่านกระจกชั่วคราวที่ช่างแต่งหน้าให้ถือไว้ในมือต่างหาก “เมนึกว่าในวัดนี้เขาห้ามเอาหมาเข้ามาเสียอีก...เห่าดังจังเลยนะคะ มีใครได้ยินหรือเปล่า?” ส่วนปากก็แสร้งเป็นเอ่ยถามลอยๆ เหมือนไม่ได้ยินเสียงต่อว่าซึ่งนั่นดูเป็นการยั่วโทสะของเขาได้มากน่าดู “เธอว่าใครฮะเมรี!?” ณภัทรถึงได้รีบแทรกตัวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคล้ายกับอยากจะปะทะกันตรงๆ นั่นเลยทำให้ฉันเห็นชัดขึ้นว่าเขาในตอนนี้กำลังสวมใส่เครื่องทรงยักษ์ สำหรับเข้าฉากร่วมระหว่างเราในวันนี้ ฉันยักไหล่แบบไม่สนใจ ส่วนมือข้างหนึ่งก็รีบหยิบบทละครของของตัวเองขึ้นมาเปิดอ่านทวนความจำไปพลางๆระหว่างถูกจับแต่งหน้าทำผม ทั้งที่เลือกจะไม่สนใจแล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่หยุดง่ายๆ “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าตอนนี้เธอมีเป้าหมายจะทำอะไร” ยังคงพูดจาหาเรื่องใส่กันไม่หยุด แถมยังพูดเสียงดังต่อหน้าช่างแต่งหน้าแบบไม่กลัวว่าใครจะเอาไปพูดต่ออีกด้วย “งานกองถ่ายวันแรกที่บ้านทรงไทยน่ะ คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธอกับคุณเรนทร์หายไปไหนด้วยกันมา” คำพูดของณภัทรทำฉันเหลือกตามองหน้าคนพูดนิ่งๆ โดยพยายามเก็บอาการตกใจที่มีหลังได้ฟังไว้ภายใน “ในห้องน้ำที่บ้านทรงไทยน่ะเด็ดไหมล่ะ? ถึงว่าสิคุณเรนทร์ถึงได้มาที่กองถ่ายเพื่อดูการถ่ายทำทุกวี่ทุกวันไม่รู้จักเบื่อ...” ได้ฟังเพียงแค่นั้น ความอดทนที่พยายามกักเก็บไว้ก็มีอันขาดผึ่งออกจากกัน มือข้างถนัดรีบปัดมือของบรรดาช่างแต่งหน้าออกห่างตัว ลุกยืนขึ้นประจันหน้ากับเขาตรงๆพร้อมทั้งต่อว่า “อย่าพูดบ้าๆนะ ไม่อย่างนั้นฉันฟ้องจริงๆด้วย!” “เอาเซ่! ฟ้องเลย ถ้าเธอฟ้องพรุ่งนี้ก็รอดูภาพหลุดได้เลย!” ภาพหลุดเหรอ!? “อยากรู้เหมือนกันว่าภาพหลุดถูกปล่อยไปแล้ว นางเอกสาวคนดังจะให้สัมภาษณ์กับพวกนักข่าวยังไง!” ไอ้ณภัทรเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะทันทีที่พูดจบ ต่างจากฉันที่ทำได้แค่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ไม่รู้หรอกว่าไอ้ภาพหลุดที่เขาพูดถึงน่ะ มันมีอยู่จริงหรือไม่ แต่การที่เขาพูดจวกใส่กันอย่างไม่ไว้หน้าแบบนี้มันน่าโมโหที่สุด! “พอเถอะค่ะคุณภัทร คุณเมรี เดี๋ยวจะไม่ทันแดดเข้าฉากนะคะ คุณพี่ช้างจะว่าเอา” โชคดีที่ทีมงานซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นพูดห้ามเอาไว้เสียก่อน ณภัทรถูกทีมงานอีกคนดึงตัวออกไปจากจุดเปลี่ยนเสื้อผ้านักแสดง ส่วนฉันก็ถูกช่างแต่งหน้าดึงให้นั่งลงเพื่อจะได้จัดการทำธุระของตัวเองให้เสร็จไป ไม่เช่นนั้นฉันกับเขาคงได้ฉะกันอีกหลายประเด็นแน่ๆ เวลาต่อมา... “คัต! คัต!” เสียงของพี่ช้างตะคอกดังลั่นไปทั่วพื้นที่บริเวณพระอุโบสถอย่างไม่ชอบใจ พลอยให้นักแสดงชายร่วมฉากแบบณภัทรทำหน้าเหนื่อยหน่ายคล้ายกับเอือมระอาความสามารถของนักแสดงร่วมหญิงทันที “เมพี่ขอสีหน้าแบบตกใจมากๆ เหมือนว่าเมเห็นหน้าไอ้ภัทรเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้ไหม แล้วก็เรียกชื่อตามบทแบบตกใจนิดๆ รอบนี้ขอแบบผ่านเลยนะจะได้ไม่เสียเวลา!” “ค่ะพี่ช้าง…” นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ฉันถูกพี่ช้างสั่งคัตและต่อว่าเสียงดุ จึงไม่แปลกหรอกหากไอ้ณภัทรจะแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายให้กับเเสดงของฉันที่ถูกตำหนิอยู่บ่อยครั้ง บทบาทและการแสดงน่ะ ความจริงแล้วมันไม่ได้ยากตรงไหนหรอก แต่การต้องเล่นเข้าคู่ร่วมฉากกับคนที่ฉันเกลียดขี้หน้าที่สุดนั่นแหละคือเรื่องที่โคตรจะทำยาก! “เอาใหม่นะครับ! ไฟพร้อมนะ…” หูได้ยินเสียงสั่งและเสียงถามของพี่ช้าง ซึ่งฉันก็ใช้เวลาในตอนนั้นนั่นแหละในการเตรียมตัว พยายามสงบสติอารมณ์และความเกลียดชังของตัวเองลง โดยการกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนต้องสะดุดกับร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งยามนี้แต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวดูเข้ากันดีกับกางสแล็คสีดำ ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างผู้กำกับ และใช่ค่ะ เขาคนนั้นคือท้าวอสุเรนทร์ในร่างจำแลงของคุณเรนทร์ซึ่งถูกไอ้ณภัทรกล่าวหา เครื่องแต่งกายบนตัวเขาซึ่งดูเหมือนคนปกติคือเสื้อผ้าที่ฉันแนะนำให้เขาลองสวมใส่ เพื่อให้ร่างจำแลงเขาดูกลมกลืนกับมนุษย์ปกติ นี่คือเรื่องเดียวค่ะที่เขายอมฟังและทำตามคำพูดอริ อีกอย่างการ..ได้เห็นท้าวอสุเรนทร์แบบนั้น เลยทำให้รู้ได้ว่าที่เขาหายไปจากในรถก็เพราะรีบมานั่งคอยดูการถ่ายทำละครอยู่ใกล้ๆพี่ช้างนั่นเอง ถึงกระนั้นสีหน้าของท้าวอสุเรนทร์ตอนนี้ดูนิ่งเหมือนทุกทีนั่นแหละ เขาใช้แค่นัยน์ตาคมดุดันคู่เดิมในการมองมายังฉันและจับจ้องทุกการกระทำราวกับเห็นเป็นนักโทษ “แอคชั่น!” สิ้นเสียงเดินกล้อง ฉันก็รีบดึงสติและสายตาตัวเองกลับมายังบทบาทที่ได้รับทันที “คุณหลวง...อะ..” ฉันพยายามแล้วที่จะพูดตามบทที่ตัวเองได้รับ แต่พอได้เอียงหน้าอย่างมีจริตตามบทบาทหันไปสบสายตากับไอ้ณภัทรโดยตรงแล้ว ไอ้ที่พยายามอดทนไว้มันก็คล้ายจะควบคุมไม่อยู่มันเสียทุกที แต่แล้วในวินาทีที่ความอดทนเหมือนกำลังจะหมดไป มันก็เป็นฉันเสียเองที่ต้องเบิกตากว้าง เมื่อภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังณภัทรคือภาพของท้าวอสุเรนทร์ในชุดเครื่องทรงยักษ์แทนที่จะเป็นชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างที่เห็นเมื่อครู่ ที่น่าตกใจก็คือเขากำลังก้าวเท้าเดินตรงมายังจุดที่ณภัทรยืนอยู่ก่อนเดินหายเข้าไปในตัวของผู้ชายที่ฉันเกลียดนักเกลียดหนา พร้อมด้วยคำถามตามบทซึ่งฟังแล้วรับรู้ได้ทันทีว่าเสียงที่ได้ยินน่ะ ไม่ใช่เสียงของณภัทรอย่างแน่นอน “หล่อนเรียกฉันรึแม่สร้อย...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD