“เม...”
ฟึ่บ!
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อบริเวณช่วงแขนถูกฝ่ามืออุ่นของใครแตะลงแบบไม่ทันตั้งตัว รีบตวัดสายตาละจากประตูห้องพักกลับมายังเจ้าของการกระทำก่อนพบว่าเธอไม่ใช่ใคร
“จะ เจ๊ขวัญ...” และการพบว่าเจ้าของการกระทำดังกล่าวคือผู้จัดการคนสนิท นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจเหลือบมองไปยังประตูห้องพักอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนพบว่าหมอและพยาบาลซึ่งยืนคุยกับเจ๊ขวัญอยู่ภายในห้องก่อนหน้านี้กำลังทยอยพากันเดินออกไป
และใช่ ด้านนอกประตูห้องยามนี้ไม่ได้ปรากฏร่างสูงใหญ่ของท้าวอสุเรนทร์ให้เห็นอีกต่อไปแล้วเช่นกัน
“คืนนี้พักผ่อนที่นี่สักคืนเนอะ...” เจ๊ขวัญบอกยิ้มๆ ด้วยสีหน้าหมดห่วง เธอหันไปจัดการจัดเปิดขวดน้ำและรินใส่แก้วอย่างบรรจงโดยปากยังคงว่าไป “เรื่องที่กองถ่ายไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ พี่ช้างน่าจะพักกองไปอีกประมาณอาทิตย์หนึ่งได้”
“กะ เกิดอะไรขึ้นคะ?” ฉันถาม พลางขยับกายหยัดตัวลุกในท่านั่งซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวระดับเท่าๆกันจัดการรินน้ำใส่แก้วเสร็จพอดี
เธอยื่นแก้วน้ำในมือส่งมาให้พร้อมทั้งตอบคำถาม
“จะอะไรอีกล่ะ ก็นักแสดงนำทั้งสองคนของละครประสบอุบัติเหตุทั้งคู่ภายในวันเดียวกัน พี่ช้างก็ต้องสั่งพักกองน่ะสิ"
“อุบัติเหตุเหรอคะ?” ฉันย้อน
“ใช่ ก็ที่คุณวุฒิรถคว่ำไง ส่วนเมก็ซุ่มซ่ามเดินสะดุดธรณีประตูล้มหัวกระแทกพื้นแล้วหมดสติไป พวกช่างแต่งหน้าตกใจกันยกใหญ่เลยนะรู้หรือเปล่า?” เจ๊ขวัญบอกยิ้มๆราวกับเห็นเป็นเรื่องตลก เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มมีอาการในทางที่ดีขึ้น ดูจากสีหน้าเป็นกังวลตอนแรกโดนสิ้นเชิง “เมนอนพักที่นี่...จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ พวกข่าวบันเทิงก็ไม่ต้องไปดูมัน เดี๋ยวจะเครียดเอาเสียเปล่าๆ”
ข่าวบันเทิงเหรอ...
จริงด้วยสิ ป่านนี้คงลงข่าวกันให้แซ่ดว่ากองถ่ายละครเกิดอาถรรพ์เพราะนักแสดงนำประสบอุบัติเหตุกันทั้งคู่ ให้ตายสิ! ไม่อยากจะคิดถึงกระแสในโซเชียลเลย ว่าป่านนี้จะว่าฉันว่ายังไงบ้าง แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องเป็นตัวกาลกิณีอีกเหมือนเคยนั่นแหละนะ
ถ้าฉันประสบอุบัติเหตุล้มหัวกระแทกพื้น งั้นก็แปลว่าภาพของสวนสวยและนางรำที่เห็นนั่นก็อาจเป็นเพียงแค่ความฝันงั้นน่ะสิ ถ้าอย่างงั้น ภาพหลอนของท้าวอสุเรนทร์ที่ฉันเห็นอยู่บ่อยๆตั้งแต่ที่วัดล่ะ มันคือเรื่องจริงหรือเพราะฉันแค่เหนื่อยจนมโนหลอนไปเองล่ะ...
“เจ๊ขวัญ...เมถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?” พอคิดมาถึงตรงนี้ ปากซึ่งเริ่มกลับมาใช้งานได้เป็นปกติก็เอ่ยถามขึ้น
“ว่าไงจ๊ะเม?”
“เจ๊ขวัญ เชื่อเรื่องตำนานท้าวอสุเรนทร์หรือเปล่าคะ?” สิ้นเสียง คนถูกถามก็ชะงักไปเล็กน้อย แสดงสีหน้าคล้ายกับแปลกใจในคำถาม
“เม ถามทำไม...ใครๆเขาก็เชื่อกันทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ” ได้ยินเช่นนั้นฉันก็ไม่รอที่จะเอ่ยปากถามกลับไปแบบทันควัน
“ถ้าอย่างงั้น ท้าวอสุเรนทร์เป็นใครกันคะ”
“ท้าวอสุเรนทร์เป็นเจ้าเมืองยักษ์จ๊ะ...เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหากบูชาและเคารพกัน ท่านจะคอยปกป้องเราจากทุกข์ภัยต่างๆ อ้างอิงจากในตำนานที่ท่านช่วยเหลือมนุษย์และสวรรค์จากการถูกย่ำยีของยักษ์มารยังไงล่ะจ๊ะ”
“แล้วยักษ์มารที่ว่าเนี่ยเขาเป็นใคร แล้วทำไมต้องถูกท้าวอสุเรนทร์ปราบด้วยคะ?”
ด้วยเพราะปกติ ฉันไม่เคยคิดที่อยากจะรู้เรื่องตำนานของยักษ์ล่ะมั้ง ไม่สิ เรียกว่าที่ผ่านมา ฉันไม่เคยเชื่อหรือสนใจเรื่องพรรค์นี้เลยถึงจะถูก พอยิงคำถามใส่เจ๊ขวัญเข้ามากๆ เธอจึงอมยิ้มและมองฉันคล้ายกับสงสัยอะไร
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ยเม...ทำไมอยู่ๆถึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” ครั้นจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังว่าฉันพบหรือฝันเห็นอะไรบ้างเช่นเดียวกับที่เคยเล่าให้สองเพื่อนรักฟัง มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่ ยิ่งด้วยการเข้าแอดมินที่โรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุจากการล้มหัวกระแทกพื้นด้วยแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรจะเล่าเรื่องพวกนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะงั้นฉันจึงบ่ายเบี่ยงที่จะเล่า...
“เผื่อเมจะเข้าใจประวัติท้าวอสุเรนทร์มากขึ้น แล้วนำไปปรับใช้กับอารมณ์เวลาแสดงไงคะ” พอได้รับคำตอบ คนถูกถามก็ขยับยิ้มแล้วยอมเอ่ยออกมาในที่สุด
“ยักษ์มารตนนั้นมีชื่อว่ากุมภัณฑ์จ๊ะ...เคยเป็นทหารเอกและผู้ติดตามที่ท้าวอสุเรนทร์ไว้ใจมากที่สุดในนครยักษ์ ส่วนเหตุผลที่ทำให้กุมภัณฑ์แปรพรรค จนกลายเป็นยักษ์มารเนี่ย...เจ๊เองก็จำไม่ค่อยได้แล้วสิ...”
“งั้นเหรอคะ?” เพราะแบบนี้หรือเปล่า สิ่งที่เห็นในความฝัน จึงเป็นภาพของยักษ์หนุ่มกุมภัณฑ์นอนหมอบกราบอยู่ข้างกายท้าวอสุเรนทร์ในระยะใกล้ชิด ดูแตกต่างจากทหารยักษ์ตนอื่นๆ
“ตอนนี้เจ๊ว่า เมพักผ่อนก่อนเถอะจ๊ะ...” ว่าแล้วเจ๊ขวัญก็ถือวิสาสะดึงแก้วน้ำที่ถูกดื่มจนเกือบหมดไปวางเก็บไว้บนโต๊ะข้างเตียงคนป่วย ก่อนหันมาจัดการประคองฉันให้เอนตัวนอนบนเตียงคนไข้ในท่าสบายๆด้วยความอบอุ่นและใจดี และให้เหตุผลทิ้งไว้สั้นๆ “เก็บแรงเอาไว้เยอะๆ จะได้ไปสู้กันต่อที่กองถ่ายหลังออกจากโรงพยาบาล...”
๑ สัปดาห์ต่อมา...
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ประสบอุบัติเหตุจนเข้าโรงพยาบาลหรือแม้ว่าจะกลับมาพักผ่อนรักษาตัวที่บ้าน ฉันพยายามอ่านบทละครที่ได้รับมาใหม่ทวนอย่างซ้ำๆ เพื่อหาข้อมูลจากบทละครบางส่วนซึ่งน่าจะทำให้ฉันรู้จักและเข้าใจนิสัยของท้าวอสุเรนทร์มากขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามหาข้อมูลจากทางเน็ตไปด้วยอีกแรง
ซึ่งไม่ว่าที่ไหนๆ ข้อมูลที่ทิ้งไว้ก็ดูท่าจะมีแค่เรื่องเด่นอย่างเรื่องที่ท่านปราบยักษ์มารบันทึกไว้แต่เพียงเท่านั้น ประวัติของยักษ์ซึ่งชื่อกุมภัณฑ์เองก็เช่นกัน นอกจากจะบอกไว้เพียงแค่ว่าเป็นทหารเอก ทหารคนสนิท ข้อมูลอื่นใดก็ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้เลย
ขณะที่ฉันกำลังขวนขวายเพื่อหาข้อมูลของท้าวอสุเรนทร์และยักษ์ กระแสเรื่องละครดวงหทัยยักษ์ที่พูดถึงฉันก็ดูย่ำแย่ลงไม่ต่างกัน ทุกถ้อยคำต่อว่ายังคงไว้ซึ่งการเป็นตัวกาลกิณีเช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ ว่าฉัน No สน และ No Care
แต่พอได้ยินบ่อยเข้ามันก็มีบ้างเหมือนกันที่เกือบจะทนไม่ไหว จำต้องพาตัวเองเข้าวัดทำบุญแม้จะดูขัดการภาพลักษณ์ที่ทุกคนเคยเห็นแค่ไหนก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อนกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้จิตใจรู้สึกโล่งสบายและเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร รวมถึงท้าวอสุเรนทร์ที่จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่า ภาพของเขาที่เห็นเป็นเพียงแค่การคิดทึกทักไปเองหรือว่าเรื่องจริงกันแน่
ไม่ใช่อุทิศส่วนกุศลแค่ตอนเข้าวัดทำบุญหรอก แต่รวมถึงการบวงสรวงเปิดกล้องครั้งที่สองของกองถ่ายละครเรื่องดวงหทัยยักษ์ในวันนี้ด้วยเช่นกัน...
“ขอบคุณนะเม ที่ไม่ทิ้งพี่กับคนในกองไปไหน...” หลังเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวงไปแบบไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ พี่ช้างก็เอ่ยปากขอบคุณฉันที่ไม่ทิ้งกองถ่ายละครไปเหมือนอย่างดาราสมทบคนอื่นๆ แต่ถึงจะสูญเสียดาราสมบทไปบางส่วน ก็ใช่ว่าผู้กำกับมือทองอย่างพี่ช้างจะหาคนมารับบทแทนไม่ได้เสียที่ไหน
“พี่รู้นะว่าเมไม่ถูกกับไอ้ภัทรมัน...แต่พี่อยากลองให้มันมีโอกาสมีชีวิตบนเส้นทางสายบันเทิงอย่างเต็มตัวดูสักที อีกอย่างไอ้ภัทรมันก็ศึกษาตำนานของท้าวอสุเรนทร์มาบ้าง มันน่าจะเข้าถึงบทบาทได้ดีไม่แพ้นักแสดงรุ่นใหญ่คนอื่นๆหรอก” แม้ว่านักแสดงที่เขามารับบทแทนคนเก่าจะไม่ถูกชะตากับฉันสักเท่าไหร่ก็ตามที
“ไม่เป็นไรค่ะ เมเข้าใจ เมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ค่ะพี่ช้าง”
“อ่อดีเลย...ถ้าอย่างงั้นอีก 10 นาทีเดี๋ยวเรามาเจอกันที่สวนหน้าเรือนทรงไทยนะ...คราวนี้อย่างสะดุดธรณีประตูล้มหัวกระแทกพื้นอีกล่ะ” พี่ช้างออกปากแซวยิ้มๆ นั่นจึงทำให้ฉันเผลอยิ้มไปด้วยอย่างนึกอายๆ ทว่า จังหวะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบเขากลับไปอยู่นั้น สายตาดันบังเอิญสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าแบบไม่ตั้งใจ
ตึก... ตึก... ตึก...
เขาตัวสูงใหญ่หากแต่ดูมีสง่าราศี แต่งกายด้วยชุดเครื่องทรงยักษ์ดูแปลกจากคนอื่นๆในกองถ่าย แต่กลับเป็นคนเดียวกันกับที่ฉันมักเห็นในภาพหลอนอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำร้ายเขากำลังเดินย่างสามขุมมาหา
ฟึ่บ! กึก!
การที่เห็นภาพหลอนของผู้ชายซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นท้าวอสุเรนทร์ปรากฏกายซึ่งๆหน้าแบบนี้ ทำให้ฉันไม่รอช้ารีบลุกพรวดพราดขึ้นด้วยความหวาดกลัวทันที
ตึก... ตึก... กึก!
หากแต่ ยังไม่ทันจะเคลื่อนตัวหลบหนีไปไหนได้สำเร็จ เท้าเปล่าของชายตัวสูงตรงหน้าซึ่งสวมเพียงกำไลเท้าสีทองสวยก็หยุดลงตรงหน้าพอดิบพอดี ที่แปลกไปจากทุกทีก็คงจะเป็น การที่พี่ช้างซึ่งยืนอยู่ด้วยกันเหลียวมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัย ก่อนปั้นรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า แล้วหันกลับมาพูด ราวกับชายแปลกหน้าในชุดเครื่องทรงยักษ์คือคนที่เขารู้จักดี
“เม พี่ลืมแนะนำให้รู้จัก...ท่านนี้คือคุณเรนทร์ เป็นลูกชายของท่านอธิบดีกรมศิลป์ เขาจะเข้ามาร่วมดูการถ่ายทำละครเรื่องดวงหทัยยักษ์ครั้งนี้ด้วย”
“...”
“ รู้จักกันไว้เสียสิ”