อรุษจอดรถยนต์คันเก่งของตนเอาไว้ที่โรงจอดรถ จากนั้นเขาก็เหลียวมองดูรถยนต์หรู ที่จอดเรียงยาวกันไปอยู่หลายคันก่อนที่สายตาคู่นี้ของเขาจะมองดูรถทรงสปอร์ตสีขาวคันหนึ่งนานกว่ารถคันอื่น ๆ เป็นพิเศษ เพราะรถคันนี้เป็นคันที่เขาเคยใช้ขับเล่นเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้ มันได้จอดสนิทอยู่กับที่อย่างไม่ได้เอาไปใช้ที่ไหนอีก เพราะเขาไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้องมันแล้ว ตราบใด ที่เขายังไม่ยอมลงให้กับคุณยายผู้ที่เอาแต่ใจของเขานั่นเอง
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับ แล้วเดินจากโรงรถนั่นออกมาอีกเล็กน้อย จึงเห็นรัศมีกำลังเดินนำหน้าสาวใช้อีกสองคนไปทางปีกขวาของคฤหาสน์
"คุณ..."
"จุ๊ ๆ!" ชายหนุ่มรีบจุ๊ปากดักเอาไว้ ยามที่หัวหน้าแม่บ้านทำท่าตาโต และกำลังจะส่งเสียงด้วยความดีใจอย่างเอ่อล้นออกมาที่เห็นเขาเข้า
"ตอนนี้ป้าทิพย์อยู่ไหน?"
"ย่ะ อยู่ที่สวนค่ะ กำลังจะปลูกต้นไม้"
เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะให้สัญญาณมือกับรัศมีว่ามีงานอะไรก็ไปทำต่อเถอะ
"ค่ะ" รัศมีเลยยิ้มรับเท่านั้น แล้วก็เดินพาสาวใช้ทั้งสองไปทางห้องครัวต่อไป
จากนั้น อรุษก็เดินไปทางสวนสวย ๆ ของที่นี่อันเป็นที่ที่คุณป้าของตนโปรดปราน และมักจะใช้เวลาด้วยมากที่สุดยามที่ท่านอยู่บ้าน และแล้วเขาก็ได้เห็นพรรณไม้หลากหลาย พร้อมกระถางเปล่าใบใหม่ ๆ ที่ตั้งเรียงรายตรงหน้า เหมือนเพิ่งถูกสั่งซื้อมา
และก็ใช่ คุณป้าของเขากำลังใช้มือถือถ่ายรูปต้นไม้ที่สั่งซื้อมา และถ่ายไปบริเวณรอบ ๆ สวน จากนั้นก็กดส่งรูปภาพไปให้ใครบางคนดูด้วย
อรุษยังไม่ส่งเสียงให้คนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับพรรณไม้และการกดส่งข้อความผ่านมือถือไปให้ใครบางคน เขายังกอดอกมองคุณป้าที่แสนดีด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ อยู่เงียบ ๆ คุณป้าของเขาโปรดปรานการจัดสวน การออกแบบสวนพักผ่อนให้สวยงามอยู่เสมอเป็นงานอดิเรก
ใช่...คุณป้าของเขา นอกเหนือจากงานที่บริษัทท่านจะมีงานอดิเรกทำ ไม่เหมือนคุณยายหรอก รายนั้นไม่มีงานอดิเรกใดในชีวิต เพราะชีวิตของท่านเหมือนจะมีอยู่สองสิ่งเท่านั้นที่สนใจนั่นก็คือ 'งาน' และ 'เงิน' "
“รุษ"
เสียงเรียกนี้เองได้ดึงสติของอรุษขึ้นจากการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคุณป้าและคุณยาย เขาเห็นคุณป้ากำลังแสดงอาการอ้ำอึ้งเล็กน้อย ที่เห็นหลานชายคนเดียวเข้ามายืนอยู่ด้านหลังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วท่านก็รีบเก็บมือถือลงกับกระเป๋ากางเกง
หลานชายคนเดียวจึงขยับเท้าเข้ามา พลางเอ่ยทักทาย "ไม่เจอกันไม่กี่วัน ป้าทิพย์ดูผอมลงไปมั้ยครับ" หลานชายถาม พลางพิจารณารูปร่างของคุณป้าไปด้วย
อีกฝ่ายมองค้อนตอบให้เล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า "ไม่กี่วันที่ไหน ร่วมเดือน ๆ แล้วนะ"
ชายหนุ่มหัวเราะขึ้น ก่อนจะเกาศีรษะอย่างเก้อ ๆ "ก็คงงั้นมั้งครับ ผมก็ทำแต่งานเลยลืมไปแล้วว่าครั้งล่าสุดที่เจอป้าทิพย์เมื่อไหร่ แล้วนี่ ทำไมต้องรื้อแล้วมาจัดสวนใหม่ล่ะครับ"
ทิพย์อาภาเหลียวมองรอบ ๆ ที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และถางใบใหม่ ก่อนจะหันมาตอบหลานชายว่า "ป้ากำลังจะจัดสวนใหม่ กะจะเอาต้นไม้ที่ช่วยในเรื่องการดูดฝุ่น ลดค่าฝุ่นละออง PM2.5 มาปลูกให้มาก ๆ เพราะอากาศกรุงเทพฯ มันแย่เหลือเกิน นี่ก็จะจัดสวนใหม่ไปเลย เพราะถ้าจะปลูกเพิ่มโดยไม่ดูองค์ประกอบอื่นก็เกรงว่าจะดูรกหูรกตา เลยต้องรื้อเอาต้นไม้ที่ไม่จำเป็นที่สุดออก แล้วเอาพวกนี้ลงไปจัดแทน ป้าอยากให้ได้ทั้งความเหมาะสมและความสวยงามไปด้วย"
อรุษมองต้นไม้หลากหลายที่คุณป้าซื้อมาปลูก เพื่อช่วยฟอกอากาศ ที่เขาเห็นและพอจะรู้จักชื่อก็มี ต้นเยอบีร่า ลิ้นมังกร สาวน้อยประแป้ง เดหลี และอีกสองสามชนิดที่เขาไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร
ขณะที่อรุษมัวแต่พิจารณาต้นไม้หลากหลายอยู่นั้น ทิพย์อาภาก็มองหลานชายด้วยแววตาชื่นชมไปด้วย เพราะด้วยความที่ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ อรุษดูหล่อเหลาขึ้นมาก นี่ล่ะ...ที่เขาว่ามีรูปเป็นทรัพย์เป็นอย่างนี้ ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้มเหนือจมูกโด่ง คางเป็นสันได้รูป และมีริมฝีปากหยักสีระเรื่อนั่นอีก
ช่วงที่อรุษเข้าวงการใหม่ ๆ ตอนนั้นเขายังเป็นนายแบบพรีเซ็นเต้อร์โรลด์ออนด์สำหรับผู้ชายอยู่เลย ยามเขาย่างกรายเข้าบริษัทที สาวๆ ในบริษัทส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ต่างก็พากันพูดว่า วันไหนมาทำงานแล้วได้เจออรุษที่บริษัท วันนั้นถือว่าได้กำไรชีวิตกันไปเต็มๆ
คนเป็นป้าที่ช่วยเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พลอยยิ้มหน้าบานไปด้วย ใครจะไปคิด จากเด็กผู้ชายตัวอ้วนกลม ผมหยิกหยองจะเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรปานนี้ ทั้งนี้ทิพย์อาภายังแปลกใจว่า ตอนเด็กอรุษมีนิสัยเฉื่อยชา ขี้เกียจ และเก็บตัว จู่ ๆ ก็นึกอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการหันมาออกกำลังกาย เล่นกีฬาเกือบทุกอย่างให้มากขึ้น จากเด็กอ้วนกลมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างมาเป็นชายหนุ่มสูงใหญ่ที่ดูดีขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
ทิพย์อาภายิ้มบาง ๆ ก่อนจะวกกลับเข้ามาถามหลานชายตรง ๆ "ว่าแต่นี่รุษต้องการอะไร..."
"ผมจะแวะมาหยิบเอาของสักอย่างสองอย่างครับ ป้าทิพย์"
"อยู่ในห้องนอนล่ะสินะ"
"ครับ แล้วนี่..." เสียงทุ้มของชายหนุ่มเลือนหายไปเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อสั้น ๆ "...คุณยายล่ะ"
"เวลานี้คงพักอยู่ในห้องน่ะแหละ"
เขาพยักหน้าขึ้นลง แล้วไม่ถามอะไรต่อ ก่อนจะมองพืชพรรณที่วางเรียบรายรอบตัวคุณป้าแล้วตัดบท "งั้นผมขึ้นไปเอาของก่อนล่ะกัน"
และก่อนที่หลานชายจะเดินผละไป ทิพย์อาภาก็รีบถามขึ้น "จะไม่ทานข้าวเย็นด้วยกันหน่อยเหรอ"
อรุษมีสีหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย ผู้เป็นป้าเห็นจึงขยับเข้ามาลูบหลังแล้วบอก "ไม่เป็นไร ป้าเข้าใจ ไปเถอะ เดี๋ยวป้าจะจัดต้นไม้พวกนี้ลงกระถางต่อ"
อรุษจึงยิ้มมุมปากให้คุณป้าของเขาอีก ก่อนจะขอตัวเดินกลับขึ้นห้องนอน เพื่อไปหยิบเอาของสำคัญบางอย่างที่อยู่ในนั้นต่อไป
ห้องนอนห้องเดิมที่ตกแต่งในโทนสีขาวดำ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นก็ยังวางอยู่ที่เดิม อรุษกวาดสายตามองสภาพของห้องนอนตัวเองก่อน แล้วจึงเดินไปหากีตาร์ไฟฟ้าสองตัวที่วางพิงอยู่ที่หัวเตียงนอน และนี่ก็คือของสำคัญที่เขาบอกกับคุณป้าว่าจะกลับมาเอาก็คือ กีตาร์ไฟฟ้าสองตัวนี่เอง
ถามว่ากีตาร์ไฟฟ้านี่มีความสำคัญอย่างไร อรุษก็อธิบายไม่ถูก เขาเพียงแต่รู้สึกว่า เมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่ทะเลาะกับคุณยาย เวลาที่เขารู้สึกเบิกบานใจ หรือเกิดความอิ่มเอมใจจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งมา เขาก็จะหยิบกีตาร์นี้ขึ้นมาเล่นเป็นประจำ ทั้งที่ ความจริงก็นานแล้วที่เขาไม่ได้หยิบมาเล่น แต่วันนี้เขากลับรู้สึกแตกต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะ แผลเป็นเหนือหางคิ้วข้างนั้นของเธอ
อรุษว่าเขาจำไม่ผิดหรอก เพราะเขาเคยใช้มือลูบสัมผัสมันมาก่อน เขาจะจำลักษณะของแผลเป็นนั่นผิดไปได้อย่างไร นั่นอาจจะหมายความว่า เด็กผู้หญิงที่มีใจอาจหาญที่เข้ามาช่วยเหลือเขาจากแก๊งเด็กเกเร ก็คือเธอ...
คนเรายามต้องจากกันไปนาน รูปร่างหน้าตาในวัยเด็กอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจนทำให้จำกันแทบไม่ได้ แต่แผลเป็นนั่น ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างแน่นอน แต่ เขาก็ยังไม่ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งหรอก ทั้งนี้ เขาจะต้องหาทางพิสูจน์ก่อนว่าผู้หญิงคนนี้ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ หรือไม่
อรุษหยิบกีตาร์สองตัวขึ้นมาถือ ก่อนจะเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องอีก ไหน ๆ ก็มาแล้ว จึงนึกอยากจะหยิบอะไรที่สำคัญติดมือไปอีกด้วย แล้วสายตาเขาจึงสะดุดเข้ากับอัลบั้มรูปเก่า ๆ บนโต๊ะทำงาน ว่าแล้วเขาก็เดินไปหยิบอัลบั้มรูปเก่า ๆ นั้นติดมือ ก่อนจะเดินออกจากห้องนอน เพราะเขาจะรีบกลับไปท่องบทละครที่คอนโดต่อทันที
ระหว่างที่เขาเดินออกจากห้องนอนมาได้เล็กน้อย เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
"ฉันเห็นรถแกจอดอยู่ จึงไปถามทิพย์ว่าแกกลับมาทำไม ทิพย์บอกว่า แกกลับมาเอาของสำคัญ อะไรคือของสำคัญของแกล่ะ"
อรุษจำต้องถอนหายใจแรง ๆ ก่อน แล้วหันหลังกลับ จากนั้นก็ให้ภาพสิ่งของที่อยู่ในสองมือนี้แทนคำตอบเอง แล้วเขาก็อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เพิ่มอีกว่า "กีตาร์ไฟฟ้าสองตัวนี่ผมเก็บเงินซื้อของผมเอง ไม่ใช่เงินของคุณยายแน่นอน"
คุณมาลาแค่นยิ้มให้กับหลานชายคนเดียวเล็กน้อย พลางกวาดสายตามองดูข้าวของที่อรุษหอบออกจากห้องนอนมา กีตาร์ไฟฟ้าสีขาวและสีดำอย่างละตัว และนั่นก็อัลบั้มเก็บรูปถ่ายเก่า ๆ ของ 'ใครบางคน'
สายตาคุณมาลาเขม่นมองภาพถ่ายเหล่านั้น อย่างเจ็บปวดและรู้สึกสาแก่ใจไปในคราวเดียวกัน ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องของมัน ซึ่งเป็นความจริงที่ตนทนเก็บมานานให้หลานชายคนเดียวได้รับรู้เสียที
จะได้ไม่ต้องมาเข้าใจตนผิด ๆ อีก
และขณะที่อรุษหมุนตัวจะเดินออกไปอีก คุณมาลาก็รีบพูดขึ้น "รูปถ่ายพวกนั้น..."
อรุษชะงักหลุบมองอัลบั้มรูปถ่ายเก่า ๆ ในมือ เขาหมุนตัวกลับมาสบสายตากับคุณยาย ซึ่งบัดนี้ ท่านได้ตวัดสองมือขึ้นมากอดอก พร้อมทั้งว่าอีกว่า
"ฉันไม่ได้เป็นคนฉีกทำลายทิ้งอย่างที่แกเข้าใจฉันผิด ๆ มาตลอดหรอกนะ แม่ของแกเองต่างหากที่เป็นคนฉีกทำลายมันด้วยน้ำมือของตัวเอง เพราะความน่ารังเกียจ ความน่าขยะแขยงของพ่อแกนั่นไง!"