ตกเย็นภายในจวนเหลือเพียงจ้าวเยว่กับบรรดาบ่าวไพร่ เนื่องจากท่านพ่อท่านแม่ พากันไปงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหวกันหมด รวมทั้งพี่ชายทั้งสองของนางด้วย ดังนั้นหญิงสาวจึงทำตัวราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ออกจากโพรง มาเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน
เริ่มจากตอนกลางวัน แอบหนีออกจากจวนไปซื้อขนมกุ้ยฮวาหิมะที่ตลาด และกลับเข้าจวนโดยไม่ถูกจับได้ ความสำเร็จครั้งนี้จ้าวเยว่ภูมิใจยิ่งนัก พอกลับมาแล้ว ก็กินขนมจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวจะไปงานเลี้ยง นางก็เอาแต่นอนแช่น้ำอย่างมีความสุข จะมีใครสุขสบายเท่านางคงไม่มีอีกแล้วกระมัง
พี่ชายทั้งสองเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ยอมไปงานเลี้ยง เกรงว่าอยู่คนเดียวแล้วจะเหงา จึงได้เตรียมของเล่นไว้ให้ก่อนไป ของเล่นชิ้นนั้นเป็นแจกันที่ทำจากดินเผาใบหนึ่ง และลูกธนูที่หัวทื่อไปแล้ว อีกราวยี่สิบกว่าดอก ของเล่นที่ว่านี้ ก็คือการปาลูกดอกลงไปในแจกันนั่นเอง
พอทุกคนออกจากจวนไปแล้ว หญิงสาวก็เรียกบ่าวไพร่มารวมตัวกันที่สวนหลังจวน
พอทุกคนมากันครบแล้ว จ้าวเยว่ก็กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ย
“นี่คือของเล่นที่พี่ใหญ่กับพี่รองทำให้ข้า ข้าเห็นว่าเล่นคนเดียวมันก็คงจะไม่สนุก จึงเรียกพวกเจ้ามาเล่นด้วยกัน”
“สิ่งนี้เล่นอย่างไรหรือขอรับคุณหนู” บ่าวผู้หนึ่งยกมือขึ้นถาม
จ้าวเยว่เดิมมายืนอยู่ตรงหน้าแจกันลูกดอกนั้น แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกราวกับเป็นผู้รู้ จากนั้นจึงอธิบายว่า
“สิ่งนี้เรียกว่าการปาลูกดอก ข้าจะเป็นคนกำหนดระยะทางระหว่างแจกันใบนี้กับจุดที่เจ้ายืน แล้วให้เจ้าปาลูกดอกให้ลงไปในแจกันนี้ ในแต่ละรอบก็จะเพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่เหลือเป็นคนสุดท้ายคนนั้นชนะ”
“มีรางวัลให้หรือไม่ขอรับ คุณหนู” บ่าวอีกคนเอ่ยถาม
เพราะปกติแล้วเมื่อมีการละเล่นเกิดขึ้นในจวน มักจะมีของรางวัลให้ทั้งนั้น บางครั้งก็เป็นขนม สิ่งของมีค่า หรือบางครั้งก็ได้เป็นเงิน
“มีแน่นอน สักสองตำลึงเป็นอย่างไร” หญิงสาวตอบกลับ ก่อนจะเสนอเงินรางวัลก้อนโตขึ้นมา
เมื่อได้ยินว่ารางวัลคือเงินสองตำลึง บ่าวไพร่ทุกคนต่างก็ร้องเฮกันดังลั่น หมายว่าจะเป็นผู้ชนะแล้วเอาเงินรางวัลมาให้ได้
ทั้งจ้าวเยว่และบ่าวไพร่พากันเล่นปาลูกดอกอย่างสนุกสนาน นาน ๆ ทีจวนเจ้ากรมจะครึกครื้นขึ้นมาบ้าง บ่าวไพร่ในจวนต่างก็เคารพและรักจ้าวเยว่ ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีที่มีอำนาจน้อยที่สุดในจวน แต่กลับเป็นนายที่ทำให้บ่าวไพร่มีความสุขที่สุด จึงไม่แปลกที่เวลานางหนีออกไปเที่ยว พวกบ่าวไพร่เหล่านี้จะช่วยปกปิดเสมอ
ในแต่ละวันชีวิตของหญิงสาวก็มีแต่เพียงเรื่องกิน เที่ยว เล่น แล้วก็พักผ่อน พฤติกรรมที่เกียจคร้านเช่นนี้ ยากที่จะแก้ไขได้ จนทำให้จ้าวเยว่ในวันสิบหกปี ยังไม่เป็นที่หมายปองของชายใดในฉางอันเลย
พอเอ่ยถึงจ้าวเยว่ขึ้นมา บุตรชายของตระกูลขุนนางเหล่านั้นต่างก็พากับเบือนหน้าหนี ต่อให้นางงามเพียงไร แต่ถ้าเกียจคร้านพวกเขาก็ไม่อยากได้มาเป็นภรรยาหรอก
คนที่ดูจะลำบากใจมากที่สุด เห็นจะเป็นบิดามารดาของหญิงสาว เพราะการที่นางไม่เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มสักคน ทำให้บิดาของนางเสียหน้าเป็นอย่างมาก
พวกขุนนางที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ต่างก็เอาไปนินทากันว่า ท่านเจ้ากรมการคลังมีบุตรสาวเสียเปล่า แต่บุตรสาวกลับไม่เอาไหน ยิ่งพวกที่มีบุตรชายทั้งหลายต่างก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน ว่าถึงอย่างไรจะไม่ยอมให้บุตรชายแต่งกับจ้าวเยว่เด็ดขาด หากมิใช่พระราชโองการจากฮ่องเต้
เสียงล้อรถม้าบดกับพื้นดังมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงฝีเท้าของม้าที่ฟังแล้วน่าจะวิ่งไม่เร็วนัก และเมื่อรถม้าจอดที่หน้าประตู ท่านเจ้ากรมกับฮูหยินก็ก้าวลงมา
“ท่านพี่ ท่านเห็นหรือไม่ ว่าคนพวกนั้นดูถูกบุตรสาวของเราขนาดไหน” เสียงของจ้าวฮูหยินดังมาจากทางประตูหน้าของจวน
จ้าวฝู่หน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ภรรยา “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร พวกเราเปลี่ยนนิสัยนางได้ที่ไหนกัน”
“หากขัดเกลานางสักหน่อย ไหนเลยจะทำไม่ได้ ท่านพี่...นี่นางเลยวัยปักปิ่นมาแล้ว หากยังหาคู่ครองไม่ได้ นางมิต้องเป็นสตรีทึนทึกตลอดไปหรอกหรือ”
จ้าวฝู่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเอ่ยกับภรรยาในประโยคต่อมา
“เดิมทีวันนี้ข้าจะให้นางไปพบกับเซียวเฟิง บุตรชายของท่านโหวสักหน่อย คิดว่าตอนเด็กทั้งสองเคยเล่นเป็นเพื่อนกัน ก็น่าจะมีความหวังอยู่บ้าง แต่ว่านางกลับไม่ไป ข้าหมดหนทางแล้วจริง ๆ”
“โธ่...ท่านพ่อ ท่านแม่ ถ้าน้องไม่อยากจะมีคู่ครองก็จะเป็นไรไป พวกข้าเป็นพี่ชาย ย่อมดูแลนางได้”
จ้าวหลู่เจิน พี่ชายคนโตกล่าวขึ้นมาคนแรก เรื่องเลี้ยงดูน้องสาวนั้น เขาย่อมทำได้และยินดีที่จะทำไปตลอดชีวิต
“ใช่ ๆ พวกข้าเลี้ยงนางได้สบาย”
จ้าวอวี้เฉิน บุตรชายคนรองกล่าวเสริมขึ้นมา ชายหนุ่มคิดแบบเดียวกับพี่ชาย หากไม่มีใครคิดที่จะแต่งน้องสาวเข้าจวน เขานี่แหละจะเลี้ยงดูน้องสาวเป็นอย่างดีเลยละ
“พวกเจ้าหาได้รู้ไม่ ว่าระหว่างพี่ชายกับสามีนั้นไม่เหมือนกัน แล้วก็เป็นเพราะพวกเจ้านั่นแหละ ที่ตามใจนางจนได้ใจ นางถึงได้เป็นแบบนี้” จ้าวฝู่เอ่ยจบก็เดินเข้าจวนไปก่อนเป็นคนแรก
ทางด้านจ้าวฮูหยินสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก่อนจะก้าวเดินตามไป พร้อมกับเอ่ยไปด้วยว่า
“หึ...ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าจะจัดการนางไม่ได้ อย่างไรก็ต้องหาบุรุษสักคนมาเป็นคู่ครองนางให้ได้”
เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้น ชายหนุ่มทั้งสองที่เดินตามมาได้แต่ส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา
จวนสกุลจ้าว...
จ้าวเยว่ที่เล่นปาลูกดอกอยู่กับบ่าวไพร่ตรงสวนหลังจวนนั้นไม่ได้ยินเสียงรถม้า จึงไม่รู้ว่าบิดามารดากลับมาแล้ว และพากันเล่นปาลูกดอกต่อกันอย่างสนุกสนาน
จ้าวฮูหยินได้ยินเสียงเอะอะดังจากทางหลังจวน ก็เปลี่ยนทิศทางทันที แทนที่จะเดินตรงไปที่เรือนนอนของตน กลับเดินไปที่สวนหลังจวนแทน
เมื่อจ้าวฮูหยินไปถึง พวกเขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าฮูหยินมาแล้ว จนมีสาวใช้นางหนึ่งเหลือบไปเห็นเข้า ว่าฮูหยินยืนอยู่ด้านหลัง จึงสะกิดสาวใช้คนอื่นให้ถอนตัวออกมาทีละคน สาวใช้คนอื่นก็สะกิดคนต่อไปเป็นทอด ๆ จนบัดนี้เหลือเพียงแต่จ้าวเยว่กับผิงผิง
จ้าวเยว่เห็นว่าจำนวนผู้เล่นลดลงไปเรื่อย ๆ ก็ตะโกนถามออกมาว่า “พวกเจ้าจะไปไหนกัน ไม่อยากได้รางวัลกันแล้วหรือ”
บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็พากันยิ้มแห้ง ๆ ให้กับจ้าวเยว่ พวกเขาบุ้ยปากให้นางหันไปมองด้านหลัง แต่หญิงสาวยังไม่รู้ตัวและไม่ยอมหันไป
ภาพที่อยู่ตรงหน้าจ้าวฮูหยินตอนนี้ คือสวนหลังจวนที่มีแจกันใบหนึ่งกับลูกดอกที่กระจัดกระจาย และบุตรสาวของนางที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่กับทรงผมที่ฟูฟ่อง เห็นได้ชัดว่าเอาแต่เล่นอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลานานแล้ว นางยืนจ้องมองดูจ้าวเยว่อยู่พักหนึ่ง ด้วยอยากจะรู้ว่าบุตรสาวของตนจะทำอย่างไรต่อไป
ในขณะนั้นจ้าวเยว่กับผิงผิงพากันก้มลงเก็บลูกดอกทีละดอก
“ผิงผิง เจ้าว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับมาหรือยัง” จ้าวเยว่เอ่ยถามสาวใช้คนสนิทออกไป
ผิงผิงก้มเก็บลูกดอกดอกสุดท้ายขึ้นมา ก่อนจะตอบว่า
“น่าจะยังนะเจ้าคะ ปกติแล้วนายท่านกับฮูหยิน จะต้องอยู่จนงานเลี้ยงเลิกทุกครั้ง ตอนนี้ก็น่าจะยามซวี คงใกล้จะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ
“เจ้าว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเสียหน้าหรือไม่ ที่ข้าไม่ไปงานเลี้ยงด้วย” จ้าวเยว่ถามอีก เรื่องนี้นางก็กังวลไม่น้อย
“ก็คงจะเสียหน้าอยู่ไม่น้อยเจ้าคะ แต่ว่าเหตุใดคุณหนูถึงถามขึ้นมาเล่าเจ้าคะ สำนึกผิดหรือ” ผิงผิงถามกลับ นางเลิกคิ้วทั้งสองขึ้นด้วยความงุนงง
“คนอย่างข้าหรือจะสำนึกผิด ข้าไม่ได้ผิดเสียหน่อย ใครใช้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่หน้าใหญ่กันเล่า หน้าที่ใหญ่เวลาแตกก็ย่อมเสียงดัง จริงหรือไม่” จ้าวเยว่เอ่ยล้อเลียน พอเอ่ยจบก็หัวเราะคิกคัก
“คุณหนู! อย่าเอ่ยอย่างนี้นะเจ้าคะ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า แล้วเอาไปฟ้องนายท่านกับฮูหยิน คุณหนูจะแย่เอา” ผิงผิงเตือนด้วยความหวังดี
“ข้าได้ยินหมดแล้ว” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง
ทั้งจ้าวเยว่และผิงผิงกลับหลังหันไปช้า ๆ
เมื่อเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังว่าเป็นผู้ใด ทั้งสองคนก็ถึงกับยิ้มเจื่อน ใบหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที ซ้ำยังทำลูกดอกที่เก็บมาทั้งหมดร่วงลงพื้น
“ท่านแม่ // ฮูหยิน”
ผิงผิงรู้สึกว่าสิ่งที่ตนสนทนาเมื่อสักครู่กับคุณหนูนั้น เป็นการล่วงเกินนายท่านกับฮูหยินเป็นอย่างยิ่ง นางจึงรีบคุกเข่าลงกล่าวขอโทษทันที
“ฮะ...ฮูหยิน บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินได้โปรดเมตตา”
คนเอ่ยแทบจะกลั้นน้ำตาแห่งความกลัวเอาไว้ไม่ได้
ส่วนจ้าวเยว่ก็ได้แต่ส่งสายตามองผิงผิงด้วยความห่วงใย
“ผิงผิง ที่เจ้าเอ่ยนั้นมิได้มีอะไรไม่ดี เจ้าไปได้” จ้าวฮูหยินเอ่ยเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับออกคำสั่ง
ผิงผิงได้ยินเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้น แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยที่สายตายังคงมองผู้เป็นนายสาวของตนด้วยความเป็นห่วง
จ้าวฮูหยินหันมามองบุตรสาวของตน สายตาในยามนี้ช่างดูดุดันและจริงจังยิ่งนัก
“ส่วนเจ้า สิ่งที่เจ้าเอ่ยเมื่อสักครู่สมควรที่จะได้รับการตักเตือน ตามข้ามาที่ห้องโถง”
เมื่อจ้าวเยว่เดินตามผู้เป็นมารดาเข้ามาถึงห้องโถง ก็พบว่าทั้งบิดาและพี่ชายทั้งสองต่างก็รอกันอยู่แล้ว จ้าวเยว่เดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวสุดท้าย ที่ไกลจากคนอื่นมากที่สุด นางทำราวกับว่าหากนางเข้าไปใกล้พวกเขามากกว่านี้ ร่างของนางจะถูกแผดเผา จนมลายหายสิ้น
“มานั่งตรงนี้” ผู้เป็นมารดาเอ่ยเรียก พลางส่งสายตาไปยังเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้ ๆ
จ้าวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ นางทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำตามคำสั่ง พี่ชายทั้งสองเห็นน้องสาวตกที่นั่งลำบากก็พยายามที่จะช่วยเหลือ
“ท่านแม่...ข้าว่า...” จ้าวหลู่เจินกำลังจะขอความเมตตาให้น้องสาว แต่กลับถูกจ้าวฮูหยินตัดบททันที
“พวกเจ้าสงบปากสงบคำเสีย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
ได้ยินดังนั้น พี่ชายทั้งสองก็ถึงกับต้องเงียบ ทำได้เพียงส่งสายตาเป็นกำลังใจให้น้องสาวคนเล็กเท่านั้น
จ้าวฝู่ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในจวน เป็นคนเอ่ยเรื่องหนึ่งออกมาเอง และเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนโยน
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเองก็เลยวัยปักปิ่นมานานแล้ว พ่อกับแม่เป็นห่วงว่าเจ้าจะไม่สามารถหาบุรุษดี ๆ มาเป็นสามีได้ จึงคิดอยากให้เจ้าทำตัวเสียใหม่ นับแต่ตั้งพรุ่งนี้ไปจะมีครูมาสอนเจ้า ทั้งเรื่องตำรา การปฏิบัติตน แล้วก็พวกงานจวนงานเรือนต่าง ๆ เจ้าต้องตั้งใจเรียน เข้าใจหรือไม่”
“แต่ข้าไม่ได้อยากออกเรือนนี่ท่านพ่อ” จ้าวเยว่แย้งขึ้นมา
หากต้องออกเรือนแล้วต้องดูแลสามีและครอบครัวสามี อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่สตรีหลังเรือน นางไม่เอาด้วยหรอก ไม่สู้อยู่เกาะเสาเรือนให้ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่รองเลี้ยงดูแบบนี้ดีกว่า
“ถ้าเจ้าไม่ออกเรือน แล้วภายภาคหน้า ผู้ใดจะดูแลเจ้า”
จ้าวฝู่ตำหนิกลับมาตามตรง
จ้าวเยว่สูดลมหายใจเข้าแล้วยืดอกตอบอย่างภาคภูมิ
“ข้าจ้าวเยว่ แม้ไม่มีสามี ก็ดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะ”
จ้าวฝู่ส่ายศีรษะอย่างหมดหวัง แต่ก็ยังยืนยันคำเดิม
“จะอย่างไรก็เอาตามนี้ พวกเจ้าสองคนเองก็เป็นหูเป็นตาช่วยดูแลนางด้วยแล้วกัน”
เอ่ยจบจ้าวฝู่ก็ชวนภรรยาเดินออกจากห้องโถงไป ทิ้งให้สาม พี่น้องมองหน้ากันอย่างจนปัญญา ทว่าผู้เป็นมารดาก็คล้ายนึกได้บางอย่าง จึงหันกลับมามองที่บุตรสาวที่กำลังเข้าไปออดอ้อนให้พี่ชายทั้งสองช่วยกันปลอบโยนนาง
“จ้าวเยว่!! วันนี้ให้เจ้าไปนั่งคุกเข่าสำนึกความผิด กับคำเอ่ยที่ไม่รู้จักคิดของเจ้าที่หอบรรพชน เผื่อว่าบรรดาบรรพชนของสกุลจ้าว จะช่วยกล่อมเกลาเจ้าแทนแม่ได้บ้าง อ้อ...พวกเจ้าทั้งสองอย่าคิดช่วยนางเชียว ไม่อย่างนั้น แม่จะสั่งให้พวกเจ้าไปคุกเข่าเป็นเพื่อนน้องสาวของพวกเจ้าด้วย”
พอเอ่ยจบจ้าวฮูหยินก็เดินตามสามีไปทันที
ส่วนจ้าวเยว่นั้นพยายามจะโวยวายก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมารดาไม่อยู่ฟังเสียแล้ว นางจึงได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจกับพี่ชาย