แม่ทัพเสวี่ยเมื่อมาถึงเมืองหมิงเวย ก็มุ่งหน้าไปที่พระราชวังโดยไม่หยุดพักที่ใด ถึงแม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการกรำศึกมาเป็นเวลาหลายเดือน แต่ทว่าความมุ่งมั่นในการทำเพื่อแผ่นดินของเขานั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จึงต้องนำรายงานไปกราบทูลฮ่องเต้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีตราประทับของท่านแม่ทัพใหญ่ ที่จะต้องส่งคืนให้ถึงมือ รวมถึงเครื่องบรรณาการต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเมืองอวี้โจว
“เร่งฝีเท้าเร็วเข้า อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนาน” แม่ทัพเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงจริงจัง
ขบวนของแม่ทัพเสวี่ยเปลี่ยนจากการเดินเท้าด้วยความเร็วมาเป็นวิ่งเหยาะ เพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเดิม
โดยครั้งนี้แม่ทัพเสวี่ยนำทหารมาด้วยเพียงหนึ่งร้อยนายเท่านั้น ส่วนทหารที่เหลือในกองทัพ ได้ถูกสั่งการให้เดินทางกลับเข้าค่ายทหารซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองไปเรียบร้อยแล้ว
ในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ขบวนของแม่ทัพหนุ่มก็เคลื่อนมาถึงพระราชวัง
“แม่ทัพเสวี่ยมาถึงแล้ว!” เสียงทหารเฝ้าประตูวังดังขึ้น
แม่ทัพเสวี่ยเดินตรงเข้าไปยังท้องพระโรงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนรองแม่ทัพและทหารที่เหลือ ต่างยืนรออยู่หน้าประตู พร้อมกับเคลื่อนย้ายเหล่าเครื่องบรรณาการที่ยึดมาได้ไปไว้ด้านข้าง
“เสวี่ยช่างเจิ้นถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
“ลุกขึ้นเถิด แล้วรายงานมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจและพอพระทัย ที่ครั้งนี้ได้ชัยชนะกลับมา
เนื่องจากทุกครั้งที่เขาเข้าวังหลวง จะเป็นหลังจากที่ไปออกรบแล้วนำชัยชนะกลับมา ดังนั้นการรายงานเรื่องการศึก จึงเป็นสิ่งที่แม่ทัพเสวี่ยชำนาญอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาก็ไม่เคยประหม่าแม้แต่น้อย
บางครั้งถึงกับกราบทูลอย่างตรงไปตรงมา จนวาจานั้นไปเสียดแทงหูขุนนางท่านอื่นเข้าก็มี
“ในครั้งนี้ที่กระหม่อมสามารถนำชัยชนะกลับมาได้ ล้วนเป็นเพราะบารมีของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเสวี่ยตอบฮ่องเต้อย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทรงพระสรวลขึ้นมาอย่างพอพระทัยแล้วตรัสว่า “เจ้ามิต้องมาเยินยอเรา มีหรือที่เราจะไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะความเก่งกาจของเจ้า เจ้ารายงานมาเถอะ ว่าได้อะไรมาบ้าง”
แม่ทัพเสวี่ยหยุดคิดสักครู่ แล้วเรียงร้อยสิ่งที่คิดไว้ออกมา
“การศึกในครั้งนี้ยึดได้เมืองอวี้โจว ได้บรรณาการมาเป็นทหารห้าพันนาย เงินทอง หยก เครื่องเคลือบ และแพรพรรณจำนวนหนึ่ง อีกทั้งได้ตราประทับของท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เอ่ยจบแม่ทัพหนุ่มก็ยื่นตราประทับให้กับหงกงกง จากนั้นหงกงกงก็นำขึ้นถวายองค์ฮ่องเต้ทันที
“ดี ๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านลองตรวจสอบดูว่านี่เป็นของจริงหรือไม่” ฮ่องเต้ดูแล้วก็ส่งคืนให้หงกงกงและตรัสกับแม่ทัพใหญ่
หงกงกงนำตราประทับนั้นมายื่นให้กับแม่ทัพใหญ่เหยียนโหวตรวจสอบ เมื่อพบแล้วว่าเป็นของจริงก็กล่าวชื่นชมแม่ทัพหนุ่มเป็นการใหญ่ โดยฮ่องเต้ก็พอพระทัยกับผลงานในครั้งนี้อย่างมาก
“เจ้าทำดีมาก แล้วเราจะมีรางวัลให้เจ้าอย่างสมควร”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสวี่ยช่างเจิ้นรีบก้มให้เจ้าแผ่นดินด้วยความนอบน้อม
หลังจากนั้นก็มีการประชุมหารือราชการในเรื่องอื่นกันต่อ การประชุมในท้องพระโรงหลังจากที่แม่ทัพเสวี่ยนำข่าวดีกลับมา เป็นไปอย่างเคร่งเครียด ถึงแม้ว่าครั้งนี้แม่ทัพหนุ่มจะสามารถเอาชนะแคว้นสือเจ้ามาได้ก็จริง แต่อีกไม่นานชาวเจี๋ย ชนกลุ่มน้อยที่เป็นกองกำลังลับของแคว้นสือเจ้า จะต้องเตรียมกำลังทหารเพื่อมาบุกตียึดเมืองคืนอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้แคว้นฉางอันเองจึงต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดี
โดยหน้าที่ครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นแม่ทัพเสวี่ย เนื่องจากเขาเป็นแม่ทัพที่เดินทางขึ้นไปรบทางเหนือบ่อยที่สุด ทั้งยังรู้จักภูมิศาสตร์ของแคว้นสือเจ้าเป็นอย่างดี ทุกคนจึงลงความเห็นว่าต้องเป็นเขา
“ใช่ ๆ ข้าว่าท่านแม่ทัพเสวี่ยเหมาะสมที่สุดแล้ว” ซูม่อเยี่ย เจ้ากรมทะเบียนราษฎร์เอ่ยขึ้น
อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าแม่ทัพเสวี่ยจะทำอะไร ได้ผลงานกลับมาหรือไม่นั้น ซูม่อเยี่ยก็จะคอยเอ่ยวาจาสนับสนุนเขาตลอด เพราะอยากให้บุตรีของตนแต่งให้กับแม่ทัพผู้นี้ หากได้แม่ทัพหนุ่มผู้นี้มาเป็นบุตรเขย ภายภาคหน้าไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดก็จะสะดวกขึ้น อีกทั้งเสวี่ยช่างเจิ้นยังเป็นคนมีชื่อเสียง ไม่ว่าตระกูลไหนต่างก็หมายปองกันทั้งนั้น หากตระกูลซูของตนได้มาเป็นบุตรเขยก็จะมีอำนาจ และสามารถข่มตระกูลอื่นได้อีกมาก
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ขุนนางผู้อื่นกล่าวเสริม
เมื่อสิ้นเสียงขุนนางที่ต่างเริ่มจับกลุ่มสนทนาแล้วว ฮ่องเต้ก็ตรัสต่อว่า “แม่ทัพเสวี่ย เรื่องนี้เราให้อำนาจกับเจ้าเต็มที่ เจ้าฟังเพียงคำสั่งของเรากับแม่ทัพใหญ่เหยียนโหวเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนั้น หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดก็วางแผนกับเจ้ากรมการคลังได้เลย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” แม่ทัพเสวี่ยน้อมรับพระบัญชา
ณ จวนเจ้ากรมการคลัง
จ้าวเยว่นั่งมองปลาที่ตนเลี้ยงแหวกว่ายไปมาเฉกเช่นทุกวัน วันนี้ในบ่อปลามีปลาตายไปหนึ่งตัว นางเสียใจมากจนร้องไห้ฟูมฟาย
“ปลาพวกนี้เป็นเหมือนสหายของข้า มันตายไปตัวหนึ่งก็เหมือนกับว่าข้าเสียสหายไปผู้หนึ่ง” จ้าวเยว่เอ่ยไปก็ฟูมฟายไป
ผิงผิงที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอ่ยในสิ่งที่พอจะเอ่ยได้ออกมา “คุณหนูเจ้าคะ ปลาอย่างไรก็คือปลา พวกมันเอ่ยก็ไม่ได้ จะเป็นสหายของท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งเหมือนไปสะกิดให้จ้าวเยว่เสียใจมากขึ้นกว่าเดิม
“เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอกผิงผิง เจ้ามิใช่คนที่เกิดมาแล้วไม่มีแม้แต่สหายคนเดียวอย่างข้า”
“ก็เป็นเพราะว่าคุณหนูไม่ยอมคบผู้ใดเป็นสหายเองมิใช่หรือเจ้าคะ” ผิงผิงกล่าวอย่างจนใจ
“ผิงผิง เจ้าเลิกเอ่ยไปเลย ข้าไม่อยากฟัง” จ้าวเยว่งอนใส่สาวใช้ของตนเสียอย่างนั้น
จู่ ๆ ก็มีบ่าวคนหนึ่งวิ่งมาจากทางประตูจวน เขาวิ่งมาหยุดต่อหน้านายบ่าวทั้งสองก่อนที่จะรายงานว่า
“มีคนมาหาคุณหนูขอรับ ตอนนี้นางรออยู่ด้านนอกขอรับ”
“ใครกัน” จ้าวเยว่ถามอย่างสงสัย ชีวิตนางมีคนต้องการพบหน้าด้วยอย่างนั้นหรือ
“นางบอกว่าเป็นคุณหนูรองจากตระกูลซูขอรับ”
เป็นครั้งแรกที่มีคนมาหานางถึงที่จวน จ้าวเยว่ดีใจอย่างมาก ในที่สุดนางก็มีสหายกับเขาเสียที นางรู้ดีว่าซูหนิงคนนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องสาวของซูหลิงเจียวผู้ซึ่งไม่ชอบนางสักเท่าไร ทว่าพี่กับน้องคู่นี้ ว่าไปแล้วก็มีนิสัยแตกต่างกัน ซึ่งซูหนิงถือว่าไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง เป็นคนที่คบหาเป็นสหายได้
เสียดายที่วันนี้ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพี่ทั้งสอง ต่างก็ไม่อยู่จวน บิดาของนางมีประชุมที่ท้องพระโรง ในขณะที่มารดาไปซื้อของเข้าจวนเพื่อเตรียมการสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ส่วนพี่ชายทั้งสองไปทำงาน จ้าวเยว่จึงไม่รอช้าให้คนไปเชิญซูหนิงเข้ามาด้านใน
“อย่างนั้นนำพานางไปรอข้าที่ในสวน และให้คนดูแลนางเป็นอย่างดี อีกสักครู่ข้าจะตามไป” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“ขอรับคุณหนู” บ่าวคนนั้นรับคำสั่งแล้วรีบเดินจากไป
“สหายของคุณหนูหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามคุณหนูของนางอย่างแปลกใจ
“ใช่แล้ว” จ้าวเยว่ตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ความหม่นหมองเรื่องที่สหายปลาตายไปเมื่อครู่ หายวับไปกับตา
“ไว้ใจได้หรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะวันนี้ไม่มีใครอยู่ภายในจวนเลย หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็ยากที่นางจะจัดการอะไรได้
จ้าวเยว่จึงหันหน้ามาเอ่ยกับสาวใช้ของนาง
“เจ้าวางใจได้เลยผิงผิง สหายน้อยของข้าคนนี้ ถือว่าเป็นคนดีในระดับหนึ่ง เราไปต้อนรับสหายคนแรกของข้ากันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงจึงทำได้แต่รับคำและเดินตามไปก็เท่านั้น
ซูหนิงเดินตามบ่าวคนเดิมเข้ามาถึงสวนด้านหลังจวนอย่างอารมณ์ดี สายตานางสอดส่องดูทุกซอกทุกมุมของจวน ราวกับจะมาสืบอะไรสักอย่าง
“เจ้าจะมาสืบอะไรไปให้พี่สาวเจ้าอย่างนั้นหรือ” จ้าวเยว่แกล้งถามลองใจนางดู เมื่อเห็นท่าทางอย่างนั้นของซูหนิง
“ขะ...ขะ...ข้าเปล่า ข้าเพียงแต่มาหาท่าน” ซูหนิงตอบกลับอย่างตกใจที่ถูกเข้าใจผิด
จ้าวเยว่เห็นซูหนิงทำท่าทางตกใจ จึงยิ้มให้นางหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น เจ้ามาหาข้า วันนี้มีเรื่องอันใดหรือ”
“ข้าเพียงอยากจะมาสนทนากับท่าน” ซูหนิงตอบเบา ๆ ครั้งนี้นางทำสีหน้าจริงจัง
“พอดีเลย วันนี้ข้าอยู่จวนคนเดียวเหงาเป็นอย่างยิ่ง ว่าแต่เจ้ามีเรื่องอะไรถึงต้องจริงจังถึงเพียงนี้”
“ท่านพี่เยว่ ท่านแอบไปฝึกยุทธ์ที่สนามฝึกของกองทัพอยู่บ่อย ๆ ใช่หรือไม่” ซูหนิงกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา เหมือนกลัวว่าผู้ใดจะมาได้ยิน
เมื่อได้ยินคำถามจ้าวเยว่ก็ถึงกลับประหลาดใจ ว่าซูหนิงได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ทั้ง ๆ ที่นางเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด อีกทั้งเหล่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายนาง ก็ไว้ใจได้ทุกคน
“เจ้าไปได้ยินมาจากไหนกัน” จ้าวเยว่ถามออกไปอย่างตกใจ
“ข้าไม่ได้ได้ยินมาจากที่ใดหรอก เพียงแต่วันนั้นข้าแอบไปเที่ยวเล่นแถวค่ายทหารนอกเมือง แล้วเห็นท่านเดินออกมาจากค่าย พร้อมกับบุรุษสองคน มิหนำซ้ำ ท่านยังสะพายธนูไว้ที่ไหล่อีก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่านต้องมาฝึกยุทธ์เป็นแน่”
จ้าวเยว่ฟังแล้วก็พอจะดูออกว่าสหายน้อยผู้นี้ต้องการอะไร จึงถามกลับไปว่า “แล้วถ้าจะไปฝึกยุทธ์ แล้วทำไมหรือ”
“ท่านพี่เยว่ ท่านไม่เข้าใจจุดประสงค์ของข้า หรือว่าท่านคิดจะห้ามปรามข้ากันแน่” ซูหนิงเอ่ยพร้อมกับนิ่วหน้าอย่างขัดใจ
“ซูหนิง สนามฝึกในค่ายทหารนั้นอันตรายยิ่งนัก เจ้ายังเด็กไม่เหมาะที่จะไปฝึกที่นั่น” จ้าวเยว่ตอบออกไปตามตรง
“เหมาะสิ ถ้าหากท่านเต็มใจจะสอนให้ข้า ข้าจะต้องทำได้และไม่เกิดอันตรายแน่” ซูหนิงตอบกลับด้วยใบหน้าจริงจัง
“เจ้านี่มันดื้อจริง ๆ” จ้าวเยว่ส่ายหัวให้กับสหายคนแรกของนางที่มีแววตาดื้อดึงไม่น้อย
“ข้าจะไม่ดื้อกับท่านพี่เยว่แน่นอน หากท่านพี่เมตตาสอนการฝึกยุทธ์ให้กับข้า” ซูหนิลุกขึ้นและโค้งศีรษะให้จ้าวเยว่
“เรื่องนี้ข้ายังรับปากเจ้าไม่ได้ ข้าจะต้องปรึกษากับท่านพี่ทั้งสองของข้าก่อน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้า” จ้าวเยว่เอ่ยบอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับสหายดื้อของนาง
“ข้าขอบคุณท่านพี่เยว่อย่างมากเจ้าค่ะ” ซูหนิงยิ้มออกมาอย่างพอใจกับคำตอบ เพราะท่านพี่เยว่ไม่ได้ตอบปัดนางเสียทีเดียว
หลังจากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอยู่ราวสองชั่วยาม ซูหนิงจึงได้ขอตัวกลับ ทว่าจ้าวเยว่ยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะให้นางไปที่สนามฝึกในครั้งหน้าด้วยหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้นางก็คงต้องปรึกษากับจ้าวหลู่เจินก่อน
กลับมาที่พระราชวัง
“เอาล่ะเมื่อรายงานเรื่องการศึกและเครื่องบรรณาการต่าง ๆ แล้วประชุมกันมาจนครบทุกเรื่องแล้ว ถึงคราวที่เราจะต้องตกรางวัลให้ท่านแม่ทัพเสวี่ยเสียที” ฮ่องเต้ตรัสทิ้งท้ายก่อนจะสั่งให้เลิกประชุม
“แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้น รับราชโองการ”
หงกงกงผู้รู้หน้าที่ของตนดีก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกางม้วนผ้าในมือออก เพื่อเตรียมอ่านราชโองการ
แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้าพระที่นั่ง ในขณะที่หงกงกงเดินขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วอ่านประกาศต่อ
“แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นมีคุณงามความดี ครั้งนี้รบชนะชาวเจี๋ยยึดได้เมืองอวี้โจว และนำตราประทับของแม่ทัพใหญ่เหยียนโหว กลับมาได้ เป็นคุณต่อแผ่นดินฉางอันอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนหนุ่มที่มีความปราดเปรื่อง เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ สมควรที่จะได้รับการเคี่ยวกรำให้เติบโตไปในภายภาคหน้า จึงพระราชทานเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้ายแห่งฉางอัน อีกทั้งยังพระราชทานสมรส...”
เมื่อหงกงกงเอ่ยมาถึงตรงนี้ พวกขุนนางต่างก็พากันตกตะลึง เสวี่ยช่างเจิ้นเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
แต่มีผู้หนึ่งไม่เพียงแค่ตกตะลึงเท่านั้น เขากลับยังคาดหวังว่าผู้ที่จะได้พระราชทานสมรสคู่กับแม่ทัพเสวี่ยนั้น ต้องเป็นบุตรีของตนเป็นแน่ และคนผู้นั้นก็คือซูม่อเยี่ย เขาตั้งหน้าตั้งตารอฟังราชโองการที่หงกงกงจะประกาศต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
“...อีกทั้งยังพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้น และบุตรีตระกูลจ้าว จ้าวเยว่ โดยพิธีสมรสจะจัดขึ้นในเดือนหน้า”
“เสวี่ยช่างเจิ้น น้อมรับราชโองการ”
แม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นยื่นมือขึ้นไปรับม้วนราชโองการมาถือไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างองอาจ
“เป็นอย่างไร รางวัลที่เราให้เจ้า เจ้าพอใจหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามเสวี่ยช่างเจิ้นในตอนที่เขายืนอยู่ต่อหน้า
“กระหม่อมมิกล้า หากฝ่าบาทเห็นว่าดี กระหม่อมก็เห็นว่าดีพ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยช่างเจิ้นตอบกลับเรียบ ๆ
ฮ่องเต้มองหน้าเขาอย่างเอ็นดูแล้วตรัสอีกว่า
“เราเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ผ่านมาหลายปีจนโตป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีภรรยา แม้แต่อนุสักคนเจ้าก็ยังไม่มี เราเกรงว่าเจ้าจะผ่านหน้าหนาวปีนี้ไปด้วยความยากลำบาก จึงคิดหาภรรยาให้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าว่าดีหรือไม่” ประโยคสุดท้ายพระองค์หันไปถามความเห็นจากเหล่าขุนนางทั้งหลาย
“ดีพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางต่างขานรับความเห็นของเจ้าชีวิต
“ดีมาก” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างพอพระทัย จากนั้นจึงหันพระพักตร์ไปทางจ้าวฝู่ “บุตรีของท่านก็เหมือนกันเจ้ากรมการคลัง จ้าวเยว่นั้นนางเลยวัยปักปิ่นมาแล้วมิใช่หรือ ข้าว่าสมควรที่จะออกเรือนเสียที ท่านคงมิได้ขัดข้องกระมัง”
“กระหม่อมเห็นสมควรตามฝ่าบาททุกประการพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวฝู่ก้มศีรษะลงต่ำแล้วกล่าวน้อมรับพระบัญชาอย่างยินดี
“อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นวันนี้ก็มีแค่นี้ ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”
จากนั้นพระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์และกลับตำหนักหลวง
เมื่อฮ่องเต้เสด็จกลับพระตำหนักแล้ว ก็มีเสียงสนทนากันด้วยความยินดีดังไปทั่วท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างก็พากันมาแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นและท่านเจ้ากรมการคลังอย่างชื่นมื่น เว้นแต่เพียงเจ้ากรมทะเบียนราษฎร์ซูม่อเยี่ยเท่านั้นที่รู้สึกคับแค้นใจเป็นอย่างมาก
ทั้ง ๆ ที่เขาแสดงออกว่าสนับสนุนท่านแม่ทัพเสวี่ยขนาดนั้น แต่ว่าฮ่องเต้กลับพระราชทานสมรสให้กับจ้าวเยว่ แทนที่จะเป็นซูหลิงเจียวบุตรีของเขา
ใจของซูม่อเยี่ยเวลานี้คุกรุ่นด้วยโทสะ เขาจึงเดินสะบัดแขนเสื้อ และเดินออกจากท้องพระโรงไปเพียงผู้เดียว