ตอนที่ 1 ชีวิตใหม่

1458 Words
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงฝากฝังงานทุกอย่างไว้กับเจ้า เหลียนเฟิน” นางตบบ่าเขาแล้วส่ายหน้าปลงกับนิสัยไม่รู้จักโตของหลวนเล่อ เหลียนเฟิน ศิษย์วังธาราเหมันต์อายุสิบแปดปี กำลังยืนมองศิษย์พี่ศิษย์น้องของตนเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข พลางคิดถึงอาจารย์ของเขาที่ปิดด่านกักตนเมื่อปีที่แล้ว “คิดถึงอาจารย์หรือ” ศิษย์พี่หญิงซีหลิวถามเขา “กว่าอาจารย์จะออกด่าน เจ้าคงจะฝึกวิชาขั้นสูงผ่านแล้วกระมัง” “ใช่ ๆ อาจารย์ต้องภูมิใจในตัวเขามากแน่ ๆ” ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อพูดสมทบ แม้นางจะมีอายุมากกว่าเหลียนเฟินสองปี แต่นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องเก่งกาจกว่าเขา ในเมื่อมีคนเก่งทุกอย่างแทนนางแล้ว นางขอใช้ชีวิตสบาย ๆ จะดีกว่า ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกัน เสียงระฆังบอกเวลาย่ำค่ำก็ดังเหง่งหง่างก้องกังวาน “ใครแพ้ต้องสละถ้วยของหวาน” ซิ่นเฉิงหันมาท้าหลวนเล่ออย่างเคยก่อนจะออกตัววิ่งนำหน้านางไปหลายก้าว “เจ้าซิ่นเฉิง อย่ายุ่งกับถ้วยของหวานข้านะ” หลวนเล่อตะโกนตามหลัง เพราะรู้ว่าของหวานวันนี้เป็นของโปรดนาง ทำให้อีกสองคนที่เหลือได้แต่หัวเราะกับความสดใสของคนทั้งคู่ “สองคนนั้นเล่นได้ทุกเวลาจริง ๆ เลย เหลียนเฟิน” ซีหลิวเอ่ยปาก “ศิษย์พี่หลวนเล่อเล่นกับซิ่นเฉิงคนเดียวนี่ขอรับ กับผู้อื่นนางไม่ยอมให้ถึงเพียงนี้หรอก” เหลียนเฟินยิ้มให้เพราะรู้ว่าศิษย์พี่หญิงผู้นี้เอ็นดูซิ่นเฉิงมาก “ซิ่นเฉิง เจ้าระวังสะดุดล้ม” ทว่านางห้ามไม่ทันแล้ว เด็กน้อยหัวทิ่มพื้นน้ำแข็งจนหน้าผากปูดแดง ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ “อย่าเพิ่งร้อง!” หลวนเล่อตะโกนก้องพร้อมร่ายอาคมหนึ่งส่งมาทางซิ่นเฉิง พลันบาดแผลเยียวยาในพริบตา “ไม่เป็นไรแล้ว” “ไม่เจ็บแล้ว เดี๋ยวข้ายกของหวานมื้อนี้ให้ ดีหรือไม่” หลวนเล่อลูบศีรษะปลอบใจ “ศิษย์พี่...” เขามองหน้าศิษย์พี่ทั้งสามคน รู้สึกอบอุ่นใจเมื่ออยู่กับพวกเขา “วันนี้ข้ายอมให้เจ้าขี่หลัง มานี่สิ” เหลียนเฟินพูดแล้วนั่งลงข้าง ๆ เขา ด้านหน้าประตูสำนัก รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์อาผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาส่ายหัวปนเอ็นดูเหล่าลูกศิษย์ของตนเอง สายตามองไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบที่อยู่ไกลโพ้น “หมิงฮวา ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นลูกศิษย์ของเจ้าในเวลานี้จริง ๆ รีบออกด่านมาหาพวกเขาเถิด” นับตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายครั้งนั้น วังธาราเหมันต์ก็ปิดสำนักไม่ให้ผู้ใดได้เข้าใกล้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ หมิงฮวายังคงเศร้าเสียใจกับการจากไปของหนิงเกอ แต่นางไม่ปล่อยให้ตัวเองอาลัยอาวรณ์นานนักเพราะรู้ว่าโลหิตมารของหวังเยี่ยนหลงร้ายกาจเพียงใด วันหนึ่งคนผู้นั้นอาจหวนกลับมาที่แห่งนี้อีกก็เป็นได้ หมิงฮวาขออาจารย์แยกตัวไปฝึกวิชาและหาวิธีแก้ทางโลหิตมารของหวังเยี่ยนหลงในถ้ำน้ำแข็งตามลำพัง สุดท้ายแล้วจึงแน่ใจว่าดอกกล้วยไม้น้ำแข็งจะทำให้ร่างกายสามารถต้านทานความเจ็บปวดจากโลหิตมารได้ ทว่า หมิงฮวายังคงมีเรื่องหนึ่งที่ค้างในใจตลอดมา นางฝึกวิชาวันแล้ววันเล่าให้ตัวเองแข็งแกร่งจนเป็นมือหนึ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ หากวันข้างหน้ามีคนอย่างหวังเยี่ยนหลงบุกมาที่สำนักอีกครั้ง นางจะได้ปกป้องทุกคนไว้ได้ เวลาผ่านไปหลายปี ศิษย์ของนางเติบโตขึ้นมากจนนางไว้วางใจ ฝากภาระหน้าที่หลายอย่างได้ จึงขอกักตนปิดด่านเพียงลำพังอีกครั้งเพื่อหวนคำนึงคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ หลายวันต่อมา เหลียนเฟินและศิษย์รุ่นเดียวกันเข้าสนามประลองวิชาขั้นกลางเป็นวันสุดท้ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาไม่เคยกังวลแม้แต่น้อยเพราะรู้ว่าฝีมือของตนเองไม่เป็นรองใคร ทั้งยังได้อาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดอย่างหมิงฮวาพร่ำสอนเช้าจนค่ำ อดหลับอดนอนหลายวัน ไม่มีทางที่เขาจะสอบตกอย่างแน่นอน “ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อ ท่านว่าศิษย์พี่เหลียนเฟินจะผ่านด่านหรือไม่” ซิ่นเฉิงหันหน้าไปหานางพร้อมพนันว่าเขาจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย “เขาเป็นศิษย์อันดับสามของสำนักเรา เรื่องแค่นี้หลับตายังทำได้ ข้าพนันว่าผ่านแน่นอน” หลวนเล่อยิ้มอย่างมั่นใจ “ข้าพนันว่าผ่าน ท่านต้องบอกว่าไม่ผ่านสิ มิเช่นนั้นแล้วจะเอาของรางวัลจากผู้ใดกันเล่า” ซิ่นเฉิงทำหน้าครุ่นคิดพลางหันไปทางศิษย์พี่หญิงซีหลิวและศิษย์สำนักคนอื่น ๆ แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันส่งสายตาตอบเขาว่า “ผ่าน!” เหลียนเฟินเรียกกระบี่เงินสลักลายออกมา ตั้งท่ารอรับการโจมตีจากคู่ต่อสู้ สายตาเฉียบแหลมทำให้เขาหลบหลีกคมกระบี่ของอีกฝ่ายได้ทุกกระบวนท่า พลันร่ายอาคมไปที่กระบี่เงินของเขา ไอเย็นแผ่ออกมาตามด้วยลำแสงสีฟ้าพาดผ่านฉับไวเฉียดหน้าของคนตรงข้ามจนเจ้าตัวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เหลียนเฟิน เจ้าเกือบทำหน้าอันหล่อเหลาของข้าเสียโฉมแล้วนะ” เสียงของศิษย์ร่วมสำนักตะโกนบอกเขา “อาจารย์ ทำไมไม่มาประลองกับเขาเองเล่า ส่งข้ามาทำไมกัน” สวีเลี่ยงหรงหันไปพูดกับอาจารย์ของเขาที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด เจ้าศิษย์ผู้นี้ไม่ได้ห่วงว่าตนเองจะสอบตกแต่กลับห่วงหน้าตายิ่งกว่าอะไร “ข้าผิดเองที่คำนวณฝีมือเจ้าพลาดไป เช่นนั้นลดหนึ่งขั้นให้เจ้าฝึกกับศิษย์น้องอีกหนึ่งปีก็แล้วกัน” อาจารย์อาโบกมือพร้อมเรียกเหลียนเฟิน “มาประลองกับข้าอีกสักหนึ่งตา หากเจ้ายืนหยัดได้หนึ่งก้านธูป ข้าจะให้เจ้าสอบผ่าน” เหลียนเฟินโค้งคำนับกำกระบี่ไว้แน่นไม่หวาดหวั่น ด้านข้างมีศิษย์พี่ศิษย์น้องเริ่มวางเดิมพันกันอีกครั้ง เพราะเห็นว่าคู่ต่อสู้เป็นถึงอาจารย์อา “ศิษย์พี่หลวนเล่อ ครั้งนี้ข้าพนันว่าชนะ” ซิ่นเฉิงเอ่ยท้านางอีกรอบ แต่ศิษย์สำนักทุกคนกลับหันมาหาเขาพร้อมบอกอย่างพร้อมเพรียง “ข้าก็ด้วย ชนะแน่นอน” แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งตะโกนก้อง “เช่นนั้น ข้าพนันว่าเขาแพ้” ทุกคนจึงหันมามองยังต้นเสียง ผู้ใดกันมั่นใจนัก ไม่รู้หรือว่าเหลียนเฟินเก่งกาจเพียงใด ต่อให้หนึ่งชั่วยามก็สามารถยันพลังของอาจารย์อาได้ ครั้นพอได้เห็นต้นเสียง ซิ่นเฉิงก็โวยวายขึ้นมาในทันที “อาจารย์อา ท่านพนันเข้าข้างตนเองมากเกินไปแล้ว อยากต่อเวลาอีกสักนิดหรือไม่ขอรับ” “อาจารย์อา อย่าได้ฟังเสียงพวกนั้นนักเลยขอรับ ข้าพร้อมแล้ว” ฉับพลันสายตาของเหลียนเฟินก็เปลี่ยนไป หมิงฮวา ลูกศิษย์เจ้าช่างเหมือนเจ้าจริง ๆ เขาคิดในใจรู้ดีว่าเหลียนเฟินต้องทำได้อย่างแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD