ตอนที่ 11 หัวใจดวงเดิม

1388 Words
เช้าวันต่อมา เมื่อคลี่คลายเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จึงออกเดินทางกลับสำนักของตนเอง หลิ่งอินหันมายิ้มและบอกลาเหลียนเฟินด้วยท่าทีสดใส “อาเฟิน เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ช่วยข้า” หลิ่งอินพูดจบแล้วก็รีบวิ่งตามศิษย์พี่ของเขากลับไป “อาเฟินหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อสะกิดแขนของเหลียนเฟิน ยิ้มมีเลศนัย “ทำไมหรือ” เหลียนเฟินยังคงไม่รู้ตัวว่านางต้องการสื่อสิ่งใด “อาเฟิน เขาเรียกเจ้าเช่นนี้ หมายความว่าอันใด” หลวนเล่อหรี่ตามองท่าทางคนตรงหน้า “เขาเรียกชื่อข้า ไม่เห็นมีอันใดแปลกนี่ขอรับ” เหลียนเฟินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่ศิษย์น้องที่รัก หน้าเจ้าแดงแล้วนะ ไม่แปลกจริงหรือ อีกอย่างเขาเรียกข้าว่าอะไรนะ ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อแห่งวังธาราเหมันต์ ชื่อข้าจะไม่ยาวไปหน่อยหรือ” นางยังคงจ้องมองศิษย์น้องจับพิรุธ “ไม่รู้สิขอรับ” เหลียนเฟินไม่อยากตกเป็นเป้านิ่งเดินหนีนางไปทางท่าเรือด้วยท่าทีรีบร้อน “อาเฟิน เจ้าเขินอายหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อตะโกนเสียงดังทำให้เหลียนเฟินรีบเดินจ้ำอ้าวกว่าเดิม หลิ่งอินผู้เป็นศิษย์สำนักเขาศิลาหยกอายุยี่สิบปีผู้นี้ มีรูปร่างสูงกว่าเหลียนเฟินอยู่หนึ่งคืบ ร่างกายภายนอกดูแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ภายในกลับอ่อนแอ เขาสอบผ่านเข้าสำนักเมื่ออายุห้าขวบ เริ่มฝึกวิชาและร่ำเรียนการต่อสู้เหมือนศิษย์สำนักคนอื่น ๆ ทั่วไป จู่ ๆ วันหนึ่งถูกไอของปราณมารหลั่งไหลเข้ามาจนทำร้ายร่างกายและอวัยวะภายในของเขาบอบช้ำ บิดามารดาของเขาเศร้าเสียใจอย่างหนักเพราะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ไม่อาจสูญเสียเขาไปได้ อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกเคยบอกบิดามารดาของเขาแล้วว่าการยืดอายุของเด็กน้อยผู้นี้มีแต่จะทำร้ายเขาเปล่า ๆ ทางที่ดีควรจะตัดใจแล้วให้เขาจากไปอย่างสงบเสียดีกว่า ทว่าเสียงร่ำไห้คร่ำครวญขอให้เอาชีวิตของตนไปแทนทำให้อาจารย์ต้องลองหาวิธีอื่นมาช่วยเหลือ “ท่านนักพรต โปรดช่วยลูกชายข้าด้วย ท่านอยากได้สิ่งใดข้าจะหามาให้ท่าน” บิดาของเขาอ้อนวอนคุกเข่าหน้าสำนักเขาศิลาหยกอยู่ทุกเช้าค่ำ “ร่างกายของเขาอ่อนแอนัก เวลานี้ข้าช่วยเขาได้ แต่วันดีคืนดีเขาอาจจะจากพวกเจ้าไปอีกครั้ง” อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกกล่าวกับทั้งสอง “ต่อให้ช่วยไปแล้วลูกชายข้ามีลมหายใจอีกเพียงแค่หนึ่งวันก็ตาม ข้าไม่สน ท่านนักพรตได้โปรดช่วยเขาด้วยเถิด อายุยังน้อยแท้ ๆ ข้าเพียงแค่อยากเห็นเขาเติบโตอย่างมีความสุขก็เพียงเท่านั้น” มารดาของเขาเอ่ยปากร้องไห้ฟูมฟาย “เอาเถอะ ๆ ข้าจะหาวิธี” อาจารย์รับปากจะช่วย คืนนั้นเขานั่งคิดอยู่ทั้งคืนว่าจะช่วยลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างไร ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจอยู่ใต้ฐานศิลาหยกของสำนัก “แปลกนัก ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วร่ายอาคมตรวจตราสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ พลันวิญญาณของคนทั้งสองปรากฏขึ้น “อาจารย์ขอรับ” เสียงเด็กน้อยผู้เป็นเจ้าของร่างเอ่ยปากเรียก “เสี่ยวหลิ่งอิน” อาจารย์เรียกเขาน้ำเสียงเอ็นดู “อาจารย์มาดูนี่เถิดขอรับ” หลิ่งอินเดินมาจูงมือเขาพาไปยังวิญญาณของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังหลับใหล “เจ้าพาอาจารย์มาที่นี่ทำไมหรือ” “ปลุกเขาเถิด” “แต่ว่าวิญญาณของเจ้าจะหายไปนะเสี่ยวหลิ่งอิน” อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกห้ามปราม เขารู้ว่าวิญญาณของคนที่หลับใหลนั้นมีความปรารถนาแรงกล้าซ่อนอยู่ แม้ตัวจะตายจากไปแล้วแต่ยังหลงเหลือสิ่งเหล่านี้เอาไว้ราวติดค้างคำสัญญาในภพนี้ เด็กน้อยยิ้มให้อาจารย์ของเขา “อาจารย์ ตัวข้าน้อยใกล้จะดับสูญอยู่แล้วขอรับ วาสนาคงมีอยู่เท่านี้ หากเป็นพี่ชายผู้นี้ อย่างน้อยก็ยังจะพอทำให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าน้อยไม่โศกเศร้านักไม่ใช่หรือขอรับ” “...” อาจารย์ของเขาไม่ตอบ เอามือลูบหัวศิษย์ตัวน้อย ความคิดความอ่านของเขามากมายเกินเด็กผู้หนึ่งจริง ๆ “ฝากดูแลท่านพ่อท่านแม่ข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ” หลิ่งอินยิ้มให้พลางทำหน้าตาอ้อนอาจารย์ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย “อื้ม ข้ารับปาก” “หากชาติหน้ามีจริง เจอกันใหม่นะขอรับ” เสียงและภาพของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป สีหน้ายิ้มแย้มสดใสเช่นนั้นคงจะไม่ได้เห็นอีกต่อไปแล้ว อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกร่ายอาคมปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น ก่อนจะใช้วิชาและสมุนไพรรักษาร่างกายของหลิ่งอินอย่างสุดความสามารถ เขาเคยลองทำเช่นนี้มาแล้ว แต่ทว่าร่างกายของเขาไม่ตอบสนอง ครั้งนี้จึงนำหัวใจของคนผู้นี้มาสับเปลี่ยน ยามที่วิญญาณของเขาลงมาประทับอยู่ในร่างของหลิ่งอิน ร่างกายเหมือนค่อย ๆ ฟื้นฟูตนเอง “หลิ่งอิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามคนที่กำลังนอนทำหน้ายู่ยี่เพราะเจ็บปวด “นอนพักก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะต้มยามาให้เจ้าดื่ม” รุ่งเช้า หลิ่งอินน้อยลืมตา มองรอบตัวเห็นสถานที่แปลกไป ครั้นได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันไปมอง “หลิ่งอิน เจ้าฟื้นแล้วหรือ” อาจารย์คนเดิมถามด้วยความแปลกใจ ก่อนรีบเข้าไปจับเส้นชีพจรและโคจรพลังปราณ “ท่านเป็นผู้ใด” เขาถามพลางขยี้ตา สีหน้างุนงง “จำไม่ได้หรือ อาจารย์ของเจ้าอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยปากแล้วยกถ้วยยามาให้หลิ่งอิน “ดื่มเถิด เจ้าไม่สบาย” “ขอรับ” หลิ่งอินรับถ้วยยามาอย่างว่าง่าย ผิวที่เคยซีดเผือดกลับมามีชีวิตชีวาบ้างแล้ว อาจารย์อย่างเขาจึงพอโล่งใจได้บ้างว่าอย่างน้อยก็ทำสิ่งที่หลิ่งอินน้อยฝากฝังไว้สำเร็จ หลักจากถามไถ่เรื่องราวเผื่อว่าหลิ่งอินคนใหม่นี้จะจำสิ่งใดเกี่ยวกับตนเองได้บ้าง กลับไม่พบคำตอบใด เจ้าตัวจำอะไรไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว ส่วนร่างกายที่เคยบาดเจ็บ เวลานี้ค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว หากแต่จะให้ฝึกวิชาหรือโคจรพลังปราณเหมือนศิษย์คนอื่น ๆ คงจะยากเอาการ ทันทีที่ได้ข่าวบุตรชาย บิดามารดาของเขาก็รีบมาเยี่ยมที่สำนักด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวหลิ่งอิน ลูกแม่” นางตะโกนเรียกเขา สีหน้ายินดี “...” หลิ่งอินที่จำความไม่ได้นิ่งเฉย แต่บิดาและมารดาก็เข้าใจได้ “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก เพียงแค่เจ้าฟื้นขึ้นมา ข้ากับแม่ของเจ้าก็ดีใจมากแล้ว เสี่ยวหลิ่งอิน” ทั้งสองคนสวมกอดบุตรของตนเองด้วยความคิดถึง หันมาขอบคุณอาจารย์ยกใหญ่ที่ช่วยเหลือ นับตั้งแต่นั้นมา หลิ่งอินผู้นี้ก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาเติบโตมาท่ามกลางความรักของอาจารย์และเพื่อนร่วมสำนัก คอยดูแลบิดามารดาอย่างดีจนทั้งสองจากไปเพราะโรคชรา “หลิ่งอิน เจ้าเบา ๆ หน่อย ฝืนร่างกายเกินไปจะแย่เอา” อาจารย์พยายามห้ามเขา “อาจารย์ ศิษย์ทนได้ขอรับ” รอยยิ้มกว้างของเขาทำให้อาจารย์ถอนหายใจ ครั้งนั้นเขายังคิดอยู่เลยว่าทำเช่นนี้จะดีหรือ แต่ในวันที่บิดามารดาของหลิ่งอินจากไป เขาเห็นคนทั้งสองพร้อมเสี่ยวหลิ่งอินในความฝันราวกับมาเพื่อบอกลาครั้งสุดท้าย “อาจารย์ คิดถึงท่านเหลือเกิน” เสี่ยวหลิงอินเดินมาหาเขา “ข้าไปจริง ๆ แล้วนะขอรับ” “ท่านนักพรต ขอบคุณมากขอรับสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา หลิ่งอินผู้นั้น หวังว่าเขาจะพบสิ่งที่รอคอยนะขอรับ” ทันทีที่พวกเขาพูดจบ ร่างของทั้งสามก็หายไปในม่านหมอก เสียงหัวเราะยินดียามได้หวนมาพบกันใหม่ของพ่อแม่ลูกทั้งสามคนยังคงก้องอยู่ในความคิดของเขา “ดีแล้ว ดีแล้ว ลาก่อนเสี่ยวหลิ่งอิน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD