“เชี่ยยยยย! ไอ้ทินั่น มันคิดไรวะ ชอบเก็บสบู่หรือเปล่า”
จักจั่น สาวมาดทอมบอย หรือลูกสาวกำนันของกลุ่มทำทีเป็นลูบแขน แสดงท่าขนลุกอย่างสมจริง
“อ้าว ขุนคิดว่าไง กะทิเนี่ยเป็นไบฯ ไหม” กีกี้ถามบ้าง เธอเป็นมันสมองของกลุ่ม เรื่องการเรียนเป็นรองก็แค่ทิวา
“ไม่หรอก กูรับรองได้ อยู่กับมันมาจนจะครบเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นจับตูด ดูดปากกูสักที” ผมเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย เพื่อนในกลุ่มจึงทำหน้าเหวอได้ขนาดนั้น
“อี๋...ขุนพูดน่าเกลียดไป เราว่าทิวาคงไม่เล้าโลมหรอก น่าจะเป็นประเภทจับตีก้นป้าบๆ แล้วเสียบทะลุลำไส้เลยมากกว่า ฮ่าๆ ๆ”
ขนมปังว่าเสียงดัง ตามด้วยการหัวเราะชอบอกชอบใจ และผมก็เป็นไปกับมันด้วย กระทั่งมีมือใหญ่ๆ มาวางที่หัวไหล่แล้วออกแรงบีบนั่นแหละ ผมถึงสัมผัสได้ถึงความอำมหิตที่แผ่ซ่านอยู่ด้านหลัง
เหี้ยยยยยย ไอ้ทิมา...
“สนุกมากไหมมึง ทำไมอยากรู้เรื่องของกูไม่ถามกันตรงๆ วะ พูดมั่วแบบนี้อยากอมตีนหรือไง”
ทิวาเอ่ยเสียงเหี้ยม น้ำเสียงกับท่าทีมันทำให้กลุ่มที่นั่งนินทาอยู่ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนค่อยๆ สลายกันไป และเหลือแต่ผมคนเดียวที่ถูกรั้งตัวไว้
“มึงทำแบบนี้หมายความว่าไง สนุกมากสินะที่เอาเรื่องของกูมาเล่าให้คนอื่นฟัง”
ใบหน้าขาวอมชมพูของเพื่อนสุดหล่อตอนนี้กลายเป็นแดงจัด มันโกรธหนักมาก ไม่บอก ผมก็ดูออก
“ก็ไม่นะ กูแค่ปากเปราะ หลุดพูดเล่นมากไปหน่อย มึงก็รู้นิสัยกูเหี้ยแค่ไหน”
“เออ กูเข้าใจสันดานมึงดี แต่นี่มันไม่ใช่ความจริง แล้วมึงเสือกพูดให้คนอื่นแบบนี้ ไอ้หอกหักเอ๊ย มึงเนี่ยน่าถูกกระทืบฉิบหาย”
ทิวาเอ่ยจบก็คว้าคอเสื้อผม อีกมือนั้นเงื้อง่าตั้งท่าเตรียมส่งหมัดใส่หน้า แต่คงยั้งไว้ทันจึงหยุดและทำสิ่งน่าเกลียดด้วยการถุยน้ำลายลงพื้นแทน
“ไอ้กากขุน จำคำกูไว้ให้ดี มึงมันก็แค่เพื่อนเลวใจหมา”
คำที่หลุดออกจากปากทิวาทำให้ผมเสียใจมาก แต่ตอนนั้นมีสาย
ตาหลายคู่ที่มองมา ผมจึงทำได้แค่นั่งนิ่งๆ ไว้อาลัยความปากพล่อยของตัวเอง และมองทิวาที่กำลังเดินจากไปราวกับพายุหมุน
เมื่อถูกทิวาเท ผมก็สับสนอยู่หลายวัน กระทั่งมีสายเรียกเข้าที่มือถือ ผมจึงยิ้มหน้าบาน
ผมมีลูกพี่ลูกน้องญาติฝั่งพ่อเป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาสถาปัตย
กรรมศาสตร์ พี่เขาชื่อโจ หรือ ทรงกลด ดีกรีนักเรียนนอกที่สาวๆ ติดตรึม ด้วยมาดแมนและรวยมากแถมมีบริษัทออกแบบเป็นของตัวเอง
บางครั้ง พี่โจเรียกผมไปเลี้ยงข้าวบ้าง และชอบซื้อขนมปัง แยมผลไม้ เนยถั่วมาฝาก แต่พักหลังเขาติดงานออกแบบโปรเจ็กต์ใหญ่ นานๆ ทีผมถึงจะเห็นหน้าหล่อๆ และดวงตาที่มีประกายวิบวับของเขาให้ได้ชื่นใจ
“เป็นไงเรา การเรียนเข้าที่เข้าทางหรือยัง”
เสียงนุ่มๆ กับท่าทีสุภาพของเขาทำให้ผมเคลิ้มเสียทุกครั้ง นี่ถ้าเขาไม่มีแฟนผู้หญิงมาก่อน ผมคงเหมาว่าพี่โจเป็นเก้ง และเก้งที่พร้อมผสมพันธุ์ได้ทุกเมื่ออีกด้วย
“ก็เหมือนเดิม ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น ยกเว้นกิจกรรม Freshy Day & Night และเรื่องรับน้องครับ”
ผมบอกพี่โจ และอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะงานสนุกแบบนี้ ผมได้รับผิดชอบให้ช่วยในหลายๆ อย่าง
“เรื่องรับน้องถ้าไม่อยากไปก็ปฏิเสธเขาสิ ตอนนี้คณบดีออกกฎว่าให้เป็นความสมัครใจของน้องๆ ใครไม่พร้อมก็ไม่ต้องไป”
“อ่า ครับ...แต่พี่รหัสและรุ่นพี่ต้อนรับผมดีทุกคน” ผมแย้ง
ทุกคนดีกับผมจริงๆ แม้ผมจะชอบแสดงความเปิ่นเป๋อให้พวกเขาเห็น และนั่นก็เป็นสีสันที่ผมชอบมากเสียด้วย ชีวิตเหงาๆ เลยมีอะไรให้ตื่นเต้น
“พี่ก็แค่เป็นห่วง อานพฝากฝังไว้ ยังไงเราก็เป็นญาติกัน”
เขายิ้มกว้าง รอยยิ้มช่างเปิดเผย ดูจริงใจ และรอยยิ้มนี้ประทับอยู่ในใจผมตั้งแต่เป็นเด็ก พี่โจคือชายหนุ่มที่ใครๆ อยากอยู่ใกล้ ยิ่งในตอนนี้เขาเพียบพร้อมด้วยหน้าที่การงาน แถมมีเสน่ห์แรงมากเพราะกำลังโสด ตามที่ผมได้ยินจากปากเขา
“ขอบคุณครับพี่โจ” ผมยกมือไหว้
“เอาน่า ขาดเหลืออะไรบอกพี่ได้ อย่าปล่อยให้ผอมไปกว่านี้ เดี๋ยวไม่น่ารัก”
เขาว่าพร้อมกับยื่นมือมายีผมฟูเส้นเล็กของผม และทุกคนคงชอบมันมาก เวลาผมอยู่ใกล้ใครพวกเขามักจะอดไม่ได้ที่อยากสัมผัสมัน แต่มือใหญ่ๆ ของผู้ชายมันให้ความรู้สึกที่ประหลาด อบอุ่นและชวนให้ใจสั่น
“รู้ตัวไหมว่าผมเรานุ่มมาก”
“แหะๆ มันคือคุณสมบัติดีเด่นในตัวผมครับ ใครๆ ก็ว่างั้น”
พี่โจมองผมตาโต ก่อนหัวเราะพรืดใหญ่ “ยกหางไม่ได้เลยนะเจ้าขุนน้ำ”
“ก็ผมไม่หล่อเหมือนพี่นี่ครับ เวลาถูกชมต้องรีบรับเอาไว้ก่อน”
ผมว่าแล้วก็นึกเขินตัวเองและคนหล่อจัดตรงหน้ายิ้มกว้างจนคราวนี้ตาหยี
“เฮ้อ ถ้าพี่หล่อจริง ป่านนี้คงมีแฟนไปนานแล้วละ” เขาว่าเสียงเศร้าจนผมอยากสวมกอดเพื่อปลอบขวัญ
“ไม่หรอกมั้ง ผมได้ยินมาว่า สาวๆ ทั้งมหา’ลัย จ้องพี่ตาเป็นมัน แถมข้างนอกอีกใครเห็นก็ต้องอยากจับพี่ทั้งนั้น”
“เฮ้ย ‘จับ’ เลยหรือ พูดซะน่ากลัว พี่ไม่ใช่ตุ๊กตานะ จะได้ให้ใครอุ้มและจับไปปู้ยี้ปู้ยำได้ง่ายๆ แต่ที่โสดอยู่อย่างนี้ก็เพราะ...รอคนที่แอบรักเปิดใจอยู่”
ไม่รู้ว่าทำไมประโยคตอนท้ายของเขาเหมือนกำลังหยั่งเชิงทดสอบความรู้สึกผมพิกล กระนั้น ผมก็ได้แต่พยักหน้าตามที่พี่เขาพูด และไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดอีกด้วยใกล้ถึงเวลานัดกีกี้กับจักจั่นที่ใต้ตึกของคณะฯ
“ตั้งใจเรียนนะเรา และเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่าเพิ่งไปสนใจให้มาก เดี๋ยวอกหักขึ้นมามันจะกระทบการเรียนเสียเปล่าๆ อานพกำชับพี่นักหนาว่าขุนยังเด็กอยู่มากต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”
ที่เขาพูดหมายถึง คุณนพพร บิดาผม ทำให้ผมอายหน้าแดง
“หือ...พ่อเผาผมขนาดนี้ให้พี่ฟังเลยหรือ”
“เฮ้ย! อานพไม่ได้เผา แค่เล่าให้พี่ฟังและจากที่สังเกตเรา พี่ก็รู้ว่าเนื้อหอมมาก โดยเฉพาะกับ...” เขาหยุดไว้แค่นั้นราวกับจงใจให้ผมคิดหาคำตอบเอง
ผมมองเขาเต็มสองตา ตั้งแต่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมสัมผัสได้ว่าพี่โจมุ้งมิ้งกับผมมากขึ้น บางที ผมอดเผลอไผลปิ๊งเขาไม่ได้ ก็พี่เขาหล่อ และหากผมไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมเชื่อว่าพี่เขาต้องให้ท่าผมอยู่แน่เลย
“เอ่อ...พี่โจครับ ผมมีนัดกับเพื่อน ยังไงขอบคุณมากๆ นะครับ สำหรับขนม ผลไม้ และเนยถั่ว”
ผมบอกเขาและยกมือไหว้อีกครั้ง คราวนี้ พี่โจรีบยื่นมือมากุมมือผมไว้ พร้อมเอ่ยว่า
“ถ้าไหว้บ่อยๆ แบบนี้ พี่คงกลายเป็นตาแก่แน่ๆ” เขาหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
ผมยิ้มตาม ก่อนที่หางตาจะเห็นร่างใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นตีนเป็ด ใบหน้าอีกฝ่ายยุ่งมาก คล้ายกับว่ามีเรื่องไม่พอใจอย่างหนัก
“เอ คนนั้นใช่เพื่อนเราไหม”
“อ๋อ ไอ้กะทิ คิงคองเผือกประจำภาควิชาผมเองครับพี่โจ”
ผมหันไปมองมันเพียงแวบเดียว เพียงแค่นั้นใจก็เต้นตึกตัก ไอ้ทิ
มันใส่กางเกงขาสั้นสีดำ และขายาวๆ ซึ่งมีผิวขาวอมชมพูของมันก็ตัดกับ
สีกางเกงชนิดที่อยู่ห่างเกือบห้าสิบเมตร ผมยังสัมผัสได้ถึงพลังคุกคามอย่างรุนแรงที่มันส่งต่อมาถึงหัวใจผม
“อื้อฮึ ตัวโตดี เออ...ยังไงพี่กลับคณะก่อน มีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกันวันหลัง”
ผมไม่ได้หันไปมองทิวาอีกครั้งด้วยใจยังโกรธมันอยู่ ก่อนหน้านี้ ผมเคยไปง้อแล้ว แต่กลับถูกด่าชุดใหญ่ แถมยังลงโทษผมอย่างหนักด้วยการไม่ให้ยืมสมุดเลกเชอร์และเทผม ไม่ยอมให้เข้ากลุ่มทำงานด้วย
“ถ้ามึงไม่อยากสอบตก ก็หัดใช้รอยหยักในสมองที่มีอยู่น้อยนิดทำเองเสียบ้าง”
ทิวาเกรี้ยวกราดใส่ผม ดวงตาคมๆ คล้ายส่งรังสีพิฆาตแผ่ขยายออกมา
“ได้! อย่าคิดว่ากูจะง้อ กูขอยืมคนอื่นก็ได้”
“ฮึ สมองมีแค่นี้สินะ มิน่าถึงคิดอะไรไม่เป็น”
“มึงจะปากดีไปแล้ว ดูถูกคนอื่นตลอด คิดหรือว่าทำตัวแบบนี้แล้วจะมีคนคบ”
“ไม่มีใครคบ กูไม่เดือดร้อนเหมือนมึง คนอะไร อยู่เฉยๆ ไม่เป็น ชอบ ‘แรด’ และเรียกร้องความสนใจ”
ผมอ้าปากค้าง ทิวามันเคยด่าผมอยู่หลายหน ด่าจนผมชินนั่นแหละ แต่คำว่า ‘แรด’ เมื่อครู่ทำให้ผมเจ็บจี๊ดที่หัวใจ จนน้ำตาตกใน
“ไอ้สัดทิ ทำไมมึงต้องว่ากูแรงๆ อย่างนั้นด้วย”
ผมเชิดหน้าสูง กลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้อย่างลำบาก กลัวเหลือเกินว่าน้ำตาจะไหลออกมา และถ้ามันเห็น ผมคงเป็นฝ่ายแพ้อย่างราบคาบ
“คนอย่างมึงถ้าไม่ใช้ไม้แข็งคงไม่สำนึก ถ้ายังคิดว่ากูเป็นเพื่อน
มึงก็เลิกขายกูให้คนอื่น และหัดจำเอาไว้ว่า มึงยังไม่รู้จักกูดีพอ”
ผมรู้ว่ามันโกรธมาก แต่ผมจะไม่เป็นฝ่ายไปง้อมันก่อนอีกแล้ว คิดว่าห่างกันสักพักเดี๋ยวไอ้กะทิน้ำข้นคงหายงอนเอง และผมสัญญาไว้แล้วว่า หากมันไม่ตามมาขอเกี่ยวก้อยก่อน ผมจะไม่มีวันเสียเหลี่ยมยอมเดินไปขอโทษมันแน่นอน