สวนสาธารณะดังกล่าว อยู่ห่างจากรั้วมหาวิทยาลัยราวๆ ครึ่งกิโลเมตร บรรยากาศร่มรื่น ผู้คนไม่พลุกพล่านสักเท่าไหร่ ด้วยส่วนมากชอบไปอยู่ศูนย์กีฬามากกว่า
“มึงไปที่สวนนั่นบ่อยเหรอ” ผมถาม
“อื้อฮึ เวลาที่มึงไม่ชวนไปไหน กูก็ไปที่นั่นประจำ” ทิวาหวานอยู่ประเดี๋ยวก็กวนโมโหผมอีก สรุปผมเป็นคนบงการชีวิตมันใช่ไหม
เราเดินมาจนถึงจักรยาน มันเป็นจักรยานแม่บ้านคันโตพอสมควร แต่เมื่อผู้ชายตัวสูงสองคนนั่งด้วยกันจึงดูตลก และหลายคนก็มองมาด้วยสายตาแปลกๆ
“มึงอายเหรอ ลงเดินก็ได้นะ แต่กูจะปั่น” มันบอกอย่างเห็นแก่ตัวมาก
“เปล่า แค่กลัวยางแตก” ผมว่าแล้วก็หัวเราะ
“ไอ้สาด มึงว่ากูอ้วน”
“แหะๆ มึงไม่ได้อ้วน มึงหุ่นดีจะตาย แบบนี้ละสวรรค์ของสาวๆ ดูดี และรวยมาก” ผมแซวทิวา
“ขอบใจ กูรวยจริงๆ รวยมากๆ มึงก็รู้”
คำว่ารวยของมัน ออกจะสองแง่สองง่ามไปหน่อย และหากผมฟังไม่ผิด มันจงใจเปลี่ยน ร.เรือ ให้เป็น ค.ควายด้วย
เมื่อไปถึงสวนด้านใน เราก็เดินเล่นชมต้นไม้ ชมดอกไม้ไปเรื่อยเปื่อย
“ถ้าพาสาวมาเดินเล่น คงจะแฮปปี้กว่านี้” ผมเปรยเพราะรู้สึกเขินยังไงไม่รู้
“ใช่...อาทิตย์ก่อน กูได้ข่าวว่ามีรุ่นพี่กับเด็กปีหนึ่งสถาปัตย์ฯ มาจู๋จี๋กันแถวนี้ แถมมีคลิปหลุดอีกต่างหาก”
“มึงก็พูดเว่อร์ไป ใครจะมาทำเรื่องอนาจารที่นี่ โรงแรมก็มี”
ผมฟังแล้วก็ใจเต้นตึกตักแต่ปากพูดไปอีกอย่าง “ฮ่าๆ ๆ มึงไม่รู้อะไร เรื่องเอาต์ดอร์น่ะ มันช่วยทำให้ถึงจุดสุดยอดยิ่งกว่าในที่ลับๆ” ทิวาลงท้ายเสียงหนักแน่น ก่อนเดินนำหน้าผมไป
“เดี๋ยวกูวิ่งสัก 5 รอบ มึงจะถีบรถจักรยานตามมาก็ได้” มันบอกผม
“เอางั้นหรือ”
ผมไม่ค่อยเห็นด้วย แค่มองไปข้างหน้าก็รู้สึกเหนื่อย เมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อยเพราะมีเรื่องให้เครียด เรื่องบ้าบอพวกนั้นล้วนมาจากทิวานั่นแหละ
สุดท้ายผมเลยเลือกปั่นจักรยานตามก้นของทิวาไป
แน่นอนว่าผมไม่ได้บ้าผู้ชาย แต่ก้นแน่นๆ ที่อยู่ตรงหน้าใต้ร่มผ้าสีดำมันวาวช่างดึงดูดสายตาผมเสียจริง ทิวาคงไม่รู้ตัวว่ามีเสน่ห์แค่ไหน
“เหลืออีกกี่รอบ กูไม่ไหวแล้ว”
ผมร้องโอดโอย หลังจากปั่นจักรยานขึ้นเนินและลงเนินหลายหน
“อีก 3 รอบ”
มันว่าแล้วก็บุ้ยใบ้ให้ผมไปซื้อน้ำดื่มให้ และผมทำตามอย่างว่าง่าย โดยปล่อยให้มันวิ่งออกกำลังกายให้หนำใจ
ผมซื้อน้ำเปล่าสำหรับทิวา ส่วนตัวเองเลือกอะไรที่มันซ่าๆ และเย็นๆ ก่อนหย่อนก้นผมนั่งเล่นที่ม้านั่งแถวนั้น สักพักจึงพบว่ามีสายตาใครคนหนึ่งมองมาที่ผม!!
สายตานั้นมีพลังมากพอให้ผมรู้สึกเสียวต้นคอวาบๆ ผมรีบติดกระดุมเสื้อจนถึงคอ ด้วยรู้สึกเหมือนถูกคุกคามทางเพศ และขาที่เคยนั่งอ้ากว้างพลันหุบฉับ
ใครคนนั้นเหมือนรู้ตัวว่าจ้องผมนานเกินไป จึงเสมองไปทางอื่น คราวนี้ผมภาวนาให้ทิวาวิ่งมาถึงที่นี่เสียที ไม่ได้ปอดแหกกลัวถูกทำมิดี
มิร้าย แต่ผมเริ่มปวดฉี่ หากมีมันเป็นเพื่อนผมคงอุ่นใจ
ผู้ชายคนนั้นเดินวนๆ อยู่แถวซุ้มขายน้ำ ไม่มีทีท่าจะไปไหน ส่วนผมก็ปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำเต็มแก่
เราเล่นสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่ กระทั่งผมไม่ได้แสดงทีท่าสนใจ เขาจึงเดินจากไป เมื่อเห็นว่าทางโล่ง ผมก็รีบปรี่เข้าไปในห้องน้ำเล็กๆ ทันที
ผมเลือกเข้าห้องส้วมเพื่อความสบายใจเหมือนทุกครั้ง แต่ห้องที่หนึ่งและสองมีกลิ่นเหม็นมาก และยังมีรูกลมขนาดเท่ากำปั้นเด็กทะลุเข้าได้ เหนือรูมีเบอร์โทร เบอร์ไลน์ และข้อความชวนสยิวไปในทางสัปดน
ห้องที่สามสภาพดีหน่อย แต่มันแย่ตรงที่ไม่ได้กดชัดโครก ทำให้ผมเกิดอาการคอแข็งวิ่งออกมาแทบไม่ทัน ส่วนห้องที่สี่และห้าล็อก
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมเลยต้องยืนฉี่ที่โถ แต่ปล่อยไปได้เพียงนิดเดียว ความสยิวตรงต้นคอก็เกิดขึ้น
...ลมหายใจอุ่นๆ พ่นรดต้นคอผม
ใช่...มันมาจากใครบางคนเป็นแน่ ไม่ใช่สายลมที่พัดเข้ามาในห้อง
น้ำหรอก จากลมอุ่นๆ ก็ตามด้วย มือใหญ่ที่บีบก้นผมหมับ บีบแบบเต็มไม้เต็มมือ พร้อมเสียงครางต่ำๆ ชวนให้ขวัญเสีย
“เฮ้ย!”
ผมร้องได้แค่นั้น ก่อนหยุดทำภารกิจส่วนตัวโดยอัตโนมัติ ร่างกายแข็งทื่อ สมองจินตนาการไปถึงภาพในวันวาน ภาพที่ฝังอยู่ในหัวผมมาโดยตลอด
ผมชอบออกกำลังกาย หากไม่เล่นบาสเกตบอลก็วิ่งรอบสนามกีฬาหรือไม่ก็ตามสวนสาธารณะ นานๆ ถึงจะเข้าฟิตเนส ผมชอบมีกล้ามแต่ไม่อยากได้แบบก้ามปู มันให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติสำหรับผม
หากช่วงไหนพุงออก ผมจะเน้นคาร์ดิโอหนักๆ ลดแป้ง ลดน้ำตาล จากนั้นก็ยกดัมเบล ซิตอัปบ้าง หรือไม่ก็พวกบอดีเวท ทั้งหมดนั้นได้ไอ้โฮม อดีตนักมวยไทยแชมป์ประจำภาคเหนือกับบุญเพิ่มช่วยสอน เพราะสองคนนั้นบ้าพลังมาก
ขณะที่ผมวิ่งได้รอบที่ 3 ความรู้สึกเหมือนถูกใครจ้องมองก็เล่นงาน ผมไม่มีปัญหากับการแอบมอง แต่ตอนนี้สายตาใครบางคนกำลังสร้างความอึดอัดให้ผม
กระทั่งผมหันมองไปทางซ้ายที ขวาที จึงพบใครคนนั้นเข้า เป็นชายแต่งชุดเสื้อบอล กางเกงขาสั้นสีขาวสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า
ผมรังเกียจคนที่มีพฤติกรรมแบบถ้ำมองมาก และตอนนี้กำลังหัวเสียสุดๆ แต่จะให้ไล่ตามไปซัดหน้าอีกฝ่ายก็ใช่ที่ เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแค่มองผมอยู่ห่างๆ เท่านั้น
กระทั่งผมวิ่งไปเกือบรอบที่ 4 ก็มีคนวิ่งมาทัก
“เฮ้ย เอเจ มึงมาวิ่งเหมือนกันหรือวะ”
เอเจยิ้มกว้าง และซอยเท้าตามผม สีหน้าสีตามันคล้ายมีเรื่องอยากคุยด้วย
“มึงวิ่งให้ช้ากว่านี้ได้ไหม กูอยากถามอะไรหน่อย”
ผมทำตามที่เอเจบอก มันเป็นเพื่อนผมตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมปลาย แต่เรื่องนี้น้อยคนจะรู้ เพราะผมไม่ค่อยได้ทักมันสักเท่าไหร่ อีกทั้งพักหลังเอเจทำตัวพิลึก มันสำอางมากขึ้นจนผมรู้สึกว่าคบด้วยแล้วไม่ค่อยสนิทใจ
“คือกูอยากได้เบอร์โทร.เด็กที่พักหอใน.กับมึง”
“คนไหน”
“ผมยาวไง เรียนสถาปัตย์ฯ”
“ไอ้ข้าวปั้นน่ะเหรอ”
ผมถามกลับ หากตาไม่ฝาดผมสังเกตได้ว่าแก้มเอเจมีสีแดงระเรื่อแต้มขึ้น เป็นเพียงแวบเดียวแต่บ่งบอกได้หลายสิ่ง ผมจึงขู่มัน
“คิดดีแล้วเหรอ นั่นมันหนุ่มฮอตนะโว้ย แถมรวยเว่อร์มากด้วย”
“เฮ้ย! ไม่ใช่แบบนั้น กูแค่อยากคุย เห็นเขาเรียนสถาปัตย์ฯ และที่บ้านก็ขายอุปกรณ์สำหรับงานทำโมเดลไง เผื่อจะได้ลูกค้าเพิ่ม อีกอย่าง ข้าวปั้นเล่นดนตรีด้วยไม่ใช่เหรอ เลยอยากชวนไปเล่นที่ร้าน”
ผมพยักหน้าเข้าใจ พี่ชายของเอเจเตรียมเปิดร้านอาหารแถวๆมหาวิทยาลัย เป็นร้านนั่งเล่น มีอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งในอนาคตข้างหน้าคงเป็นแหล่งนัดพบของนักศึกษาอย่างแน่นอน
“แผนสูงนี่หว่า เดี๋ยวกลับหอพัก กูจะบอกมันให้ เอาทั้งเบอร์โทร ไลน์ และเบอร์ถุงยางเลยไหม คิดว่า 54 มม. ได้มั้ง แต่น้อยกว่ากู 2 มม.”
เอเจได้ยินแบบนั้นเข้าก็แยกเขี้ยวขู่ผม ก่อนขอตัวจากไป
เมื่อผมวิ่งได้รอบที่ 5 ก็สังหรณ์ใจแปลกๆ รู้สึกเป็นห่วงไอ้ขุนเลยไปตามมันที่ซุ้มขายน้ำ แต่มองหาแล้วไม่พบ ผมแปลกใจนิดหน่อย ปกติมันไม่ใช่คนที่จะกลับก่อนผม ถึงงอนกันอยู่แต่มันมีเหตุผลพอ เมื่อไม่เห็นเพื่อน ผมเลยลองถามที่ซุ้มขายน้ำ เขาบอกว่ามีนักศึกษามาซื้อและเดินไปแถวห้องน้ำ ผมกล่าวขอบคุณและวิ่งเหยาะๆ ไป แต่เป็นจังหวะนั้นที่เอเจวิ่งกลับมาหาผมอีก
“เออ ทิวา กูขออะไรหน่อยสิ”
“อือฮึ มึงมีอะไรอีก ดูร่ำไรจังวะ”
“มึงก็รู้ว่ากูขี้อายแค่ไหน และความจริงกูแค่อยากให้ข้าวปั้นมาช่วยเล่นดนตรีที่ร้าน ไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักนิด ฉะนั้น เรื่องนี้อย่าเล่าให้ใครฟังนะ ถือเสียว่ากูขอร้อง”
ผมมองหน้าเอเจ ท่าทางมันดูมีพิรุธมาก “เออๆ กูจะไม่บอกใคร มึงสบายใจได้”
จบธุระจากเอเจ ผมก็ออกตามหาขุนน้ำ แต่ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหน บอกตามตรงผมโคตรเป็นห่วงไอ้แรดตัวจุ้นจริงๆ