3 - แผนการสวมรอย
ทิมเบอร์คิดมาสักพักหนึ่งแล้วว่าพวกเขาทั้งสองคนต้องเคยรู้จักกันมาก่อนเพราะผมเคยอยู่ในชีวิตพวกเขาเป็นอย่างดีมีเพียงพ่อแม่และคนสนิทของพวกเขาทั้งสองไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจว่าสนิทกันนานแค่ไหนบางเรื่องถึงไม่เคยถามไม่เคยรู้ ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพราะผมอยากช่วยพี่ของอย่างยุติธรรมให้พ้นจากเรื่องนี้
ผมทำอะไรสักอย่าง หยิบโทรศัพท์มาไล่หาแชทของเพื่อนผมคนหนึ่งเพื่อขอให้เขาเข้ามาช่วยในแผนการครั้งนี้ บางทีผมก็อาจจะเป็นมิจฉาชีพรวมหัวกับเพื่อนทำงานเป็นขบวนการ แต่ผมจำเป็นเพราะเรื่องนี้แปลกเกินว่านิยายสลับร่างทั่วไป เพราะนี่ตัวตนเดิมแต่ความทรงจำไม่เหมือนเดิม ผมรู้มาสักพักเอาเป็นว่าผมจะช่วยทำทุกอย่างเดินเรื่องไปในขณะที่ทุกอย่างเป็นปกติ จะไม่มีใครสงสัย ผมว่าเรื่องนี้มีกลิ่นความไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ
“ไอซ์แลนด์ ช่วยอะไรเราหน่อยได้ไหม”
“จะให้ไปสวมรอยเป็นมิจฉาชีพเหรอ เอาจริงเหรอวะทิมเบอร์ นี่มันโจรหน้าหล่อดี ๆ แบบพวกเราเลยนะ”
“อืม... ชอบฉายานี้ไหมล่ะ โจรหน้าหล่ออะ นายก็รู้จักพี่บอนไซนี่นา เรื่องแบบนี้ไม่น่าปฎิเสธนะ” ตอนนี้ผมกับไอซ์แลนด์แทบจะเป็นมิจฉาชีพในคราบคนหล่อเข้าไปทุกทีแล้ว แต่มันมีความจำเป็นผมถึงต้องทำแบบนี้ไง ไม่งั้นการฟื้นความจำของคนสองคนจะเป็นผลได้ยังไง ผมว่าเรื่องแบบนี้พูดง่ายทำยาก ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ผมกับพี่ชบาและทุกคนถึงต้องเสี่ยงกันสักตั้ง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ผมจะเดินหน้าแผนการอย่างดีที่สุด จนกว่าทุกอย่างเข้าที่ผมค่อยเฉลยให้ทุกคนฟังเองว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม
“ไม่ต้องถามอะไรมากนะ เสร็จงานเราแบ่งเงินกับฉ่ำ ๆ ละกัน” ผมรับจบไว้แค่นี้ก่อน ผมอยากให้ไอซ์แลนด์เข้ามาร่วมแผนการนี้เพราะเราก็รู้จักพี่บอนไซและเมธัส มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ใครไม่เคยเจอต้องคาดไม่ถึง การสลับความทรงจำแต่ไม่สลับร่าง นี่มันคือนิยายรูปแบบใหม่ในความคิดผมหรือเปล่า ผมว่าเรื่องนี้ผมต้องทำให้ความทรงจำของพวกเขากลับมาเหมือนเดิม ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน
“ผมช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วนะครับ...” ผมวางแผนไว้หลายเรื่องแล้ว แต่ยังไม่จัดการตอนนี้ ปล่อยให้เวลาที่มีเหลือมากให้ผมตัดสินใจคิดไปเรื่อย ๆ จนทุกอย่างเข้าที่แล้วความจริงจะเข้ามาเอง ผมสะพายกระเป๋าพร้อมหยิบกระเป๋าไวโอลินเพื่อออกไปซ้อมดนตรีตามเวลาว่างที่ผมวางตารางไว้อย่างดิบดี
ในคืนนั้น
บอนไซรู้สึกปวดหัวและอาการร่างกายตัวหนัก อาการของคนหลับไปตลอดคืนพร้อมจะตื่นแต่ร่างกายบังคับไม่ให้ลืมตา รู้สึกตัวแล้วแต่ไม่สามารถลืมตาหรือลุกขึ้นได้ เพราะเหมือนถูกอะไรบางอย่างหนักปิดกั้นทางเดินหายใจ อาการนี้คือการถูกอำ เป็นภาวะทางร่างกาย แต่ถ้าอธิบายแบบไสยศาสตร์คือวิญญาณถูกกระชาดออกจากร่างแล้วยังไม่สามารถกลับเข้าไปได้ ดวงจิตยังอยู่อีกนิมิต การกลับมาจึงยังไม่สมบูรณ์
“ช่วยผมด้วย อ๊ากก”
ผมตกใจกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว ราวกับความชั่วร้ายถาโถมเข้าทำร้ายตลอดการนอนทั้งคืน ผมอยากหลับและฝันไปอย่างมีความสุข ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพเหตุการณ์ก่อนที่ผมจะประสบอุบัติเหตุจะทำให้ทุกอย่างตามหลอกหลอนไม่หยุด ชีวิตผมถูกทำร้ายมามากพอแล้ว ผมขอให้การฝันร้ายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมต้องเจอมัน ผมตั้งสตินั่งพิงหมอนที่วางพิงตรงพนักเตียง ปิดตาร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เวลานี้กลางดึกไร้ผู้มาเยี่ยมเพราะพวกเขากลับไปหมดแล้ว
ฮึกกก ฮืออ...
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดดเด่นมากกว่าที่ควร เวลานี้ผมต้องการใครสักคนมาอยู่ให้กำลังใจและดูแลผมในวันที่โหดร้าย แต่เหมือนทุกคนกำลังท้งให้ผมอยู่ในภาวะสีเทาเพียงคนเดียว คนที่อยู่ในภาวะเศร้าคือคนที่ต้องการกำลังใจที่สุดตอนนี้ ว่าแต่คนที่ผมต้องการเขาอยู่ที่ไหน ผมต้องโหยหาร้องตะโกนดังแค่ไหน ความรู้สึกและเสียงของผมจะส่งไปถึงเขาได้ ผมเหมือนคนจมน้ำไร้หนทางกลับเข้าฝั่ง แรงว่ายไปเคลื่อนไปข้างหน้าผมยังไม่มีเลย แล้วแบบนี้ผมจะส่งตัวเองไปหาความจริงพร้อมความสุขได้ยังไง
ผมรู้สึกเศร้ามากเลยตอนนี้ ผมไม่รู้จะระบายกับใคร มองไปตรงหน้าต่างข้างขวาตรงผนัง ผมไม่เห็นอะไรนอกจากมุมเดิม ๆ ของอาคารตั้งถิ่นฐานไว้ที่เดิม ไม่แปลกที่จะเห็นอาคารฝั่งตรงข้ามมุมเดิมทุกวัน เพราะสิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกเคว้งคว้างกับอะไรเดิม ๆ รอบข้างมีแต่ห้องสี่เหลี่ยมที่ผมหนีออกไปไม่ได้ ไร้เรี่ยวแรง รอจนกว่าพลังกายจะกลับมา ผมต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ผมเริ่มโดดเดี่ยว หงุดหงิดมากกว่าเดิมปนความเศร้า อาการตอนนี้ผมปรับอารมณ์ไม่ทันแล้ว ผมควรทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากอยากออกไปและกลับไปใช้ชีวิตปกติกับคนที่ผมรักอีกครั้ง
เช้าวันต่อมา
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับบอนไซ ทิมเบอร์มักจะเข้ามาเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลอยู่เสมอ ผมซื้อของและอาหารหลายอย่างมาให้บอนไซ ถือว่าเป็นของบำรุงร่างกายและกำลังใจ ผมอยากให้เขาหายจากอาการเจ็บป่วย กลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้งคือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว ผมเห็นว่าพยาบาลให้เข้ามาเยี่ยมได้แล้ว ผมเข้าไปหาบอนไซเป็นอันดับแรก
“ทิมเบอร์...”
“หน้าตาผมจำไม่ยากหรอกครับ” ผมบอกกับพี่บอนไซเสมอว่าหน้าตาผมไม่ได้จำยาก เห็นแล้วสามารถบอกได้ทันทีว่าผมชื่ออะไร ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เขาเริ่มจดจำสิ่งง่าย ๆ อย่างใบหน้าและชื่อบุคคลได้ เขาถามผมว่าผมเป็นอะไรกับพี่เขา ผมบอกไปแล้วว่าผมเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ผมรู้จัก ผมมีเพื่อนชื่อไอซ์แลนด์ สนิทกันตัวติดกันเลย แต่วันนี้เขามีธุระไม่ได้มาด้วย เขารู้จักกันอยู่แล้วแต่ตอนนี้ผมเหมือนต้องแนะนำตัวเขาใหม่หมด ถือโอกาสดีที่จะได้ทำเหมือนเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่
“ทิมเบอร์ พี่เป็นอะไรไป”
“ผมว่าพี่เป็นอัลไซเมอร์แล้วเหรอเนี่ย” วันก่อนผมพูดไปหลายอย่างแต่คราวนี้เหมือนอาการเลวร้ายทางความทรงจำจะทำร้ายเขา ดูจากอาการผมคิดว่าพี่เขาฝันร้ายอีกตามเคย ตัวสั่นเมื่อความทรงจำจากเหตุการณ์ร้ายหลอกหลอนไม่หยุด ผมสงสารเขานะที่ต้องเจออะไรแบบนี้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผมต้องหาทางรับมือและทำให้ความทรงจำกลับมา
“พี่คิดถึงใครครับ”
“พี่คิดถึงแฟนพี่...”
ผมได้ยินชื่อของคน ๆ หนึ่งแม้จะไม่ระบุชื่อชัดเจนแต่ระบุสถานะชัดเจนว่าเขาต้องการหาคนรักที่รักกัน ผมจำได้ดีว่าความรักของพี่บอนไซกับเขาเป็นอดีตไปนานแล้ว แต่ถ้าความทรงจำยังเหลือให้กันอยู่ เรียกชื่อยังจำชื่อได้ดีแสดงว่าเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลืออยู่ ถูกปลุกขึ้นมาหลังจากเจอฝันร้ายไปหนึ่งระดับ
“แฟนพี่เหรอครับ ผมเข้าใจแล้ว...”
หลังจากนั้น
ทิมเบอร์เดินออกไปพักหนึ่ง โดยที่ผมไม่รู้ว่าผมสวนทางกับใครผ่านไป บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนของครอบครัวใครสักคนก็ได้ เพราะในขณะนั้นผมเห็นผู้หญิงคนนั้นถือรองเท้าผ้าใบสีดำข้างหนึ่งออกไป มันคุ้นตาผมเป็นอย่างดีเพราะนั่นคือรองเท้าของผม ผมยังไม่เข้าไปทักหรอกเพราะรองเท้าอีกข้างของผมคงจะอยู่ที่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิทของเมธัส
“รองเท้าคู่นี้มันเป็นของใครคะ” ริค้าถือรองเท้าออกมาจากห้องพักของบอนไซ ฉันสงสัยมาสักพักแล้วว่าเจ้าของรองเท้าคู่นี้เป็นของใคร ตอนแรกฉันยังไม่ย้ายมันเพราะคิดว่าเจ้าของจะกลับมาเอาเมื่อคิดได้ว่าลืมไว้ แต่ที่ไหนได้มันยังอยู่ที่เดิม มุมเดิม ฉันว่าฉันควรไปตามหาเจ้าของแล้วตอนนี้
“ผมไม่รู้อะ อาจจะเป็นเพื่อนของบอนไซก็ได้”
“เอ่อคุณครับ...”
ในขณะนั้นเองแฟนต้าเห็นรองเท้าคู่หนึ่งคุ้นตาเหมือนผมเคยเห็นมาก่อน ผมหยิบรองเท้าข้างที่ผมได้มันมาเทียบกันในมือของผู้หญิงตรงหน้า คาดว่าจะเป็นพ่อแม่ของครอบครัวใครสักคน ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ผมไม่รู้จักเขาแต่รองเท้าในมือมันสะดุดตาผม ผมถึงต้องหยิบออกมาเทียบ พบว่ามันคือรองเท้าแบบเดียวกัน ผมคิดว่าอีกข้างที่หายไปผมหาเจอแล้ว มันไปอยู่ที่พวกเขาได้ยังไง ผมต้องถามพวกเขาให้แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีสาเหตุจากอะไรถึงมีรองเท้าคนละข้างไปอยู่กับคนอีกกลุ่ม
“ขอถามหน่อยนะ ก่อนหน้านี้คุณเจออะไรผิดปกติมาก่อนไหม”
“มันเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ ผมงงไปหมดแล้ว”