บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของครอบครัวคหบดีเล็กๆ ที่เพียงแค่มองผิวเผินอาจจะดูมีความสุขสงบดังเช่นกับครอบครัวอื่นทั่วๆ ไปแต่หากมองลึกลงไปแล้ว จะพบว่าก็ไม่แตกต่างจากความอิจฉาริษยาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวที่สามีมากภรรยา พวกนางล้วนแล้วแต่ต้องการความโปรดปรานจากผู้เป็นสามี เพื่อให้ตนเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
"หม่าอี้เหนียงช่วงนี้ใบหน้าของท่านดูไม่สดชื่นเลย มีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือไม่ ท่านสามารถปรึกษากับข้าได้"
"ข้าสบายดีอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้...ข...ข้า ต้องคอยดูแลปรนนิบัติท่านพี่ จึงทำให้ดูซีดเซียวไปสักเล็กน้อย แต่ก็มีความสุขดี หลัวอี้เหนียงไม่ต้องเป็นห่วง"
"หึ...เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ถึงอย่างไรท่านก็ควรที่จะดูแลตนเองให้ดี อย่าได้ล้มป่วยเป็นอันใดไป เพราะหน้าที่ในการดูแลปรนนิบัติท่านที่นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราอย่างแท้จริง"
"ขอบคุณหลัวอี้เหนียงมาก ที่ให้คำแนะนำ ข้าจะนำไปปฏิบัติเป็นอย่างดี" หลัวอี้เหนียงใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับ กำลังกรุ่นโกรธ ด้วยเข้าใจในวาจาเมื่อสักครู่นี้เป็นอย่างดี วาจาข่มขู่นี้ไหนเลยนางจะ ไม่เข้าใจในความหมาย ล้มป่วยกระนั้นหรือ เกรงว่าหม่าอี้เหนียงผู้นี้ คิดว่านางจะเป็นสตรีที่อ่อนแอ เช่นฮูหยินเอกกระนั้นหรือ ฝันไปเถิดผู้ใด มาดีนางก็ดีตอบ หากผู้ใดมาร้าย นางก็จะคอยห้ำหั่นอย่างไม่ลดละเช่นกัน
เมื่อกล่าวไปถึงฮูหยินเอกของผู้เป็นสามี นางก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความ แปลกใจ สตรีที่พูดน้อยอยู่แล้ว ยิ่งวันนี้นางกลับไม่สนใจกล่าวสิ่งใดเลยกระนั้นหรือ ฮูหยินเอกหานหลินปิง ยังคงตั้งใจคีบอาหารเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย โดยไม่ได้สนใจถึงบทสนทนาที่อยู่บนโต๊ะอาหารนั้นแต่อย่างใด
"ฮูหยินวันนี้เจ้าหิวมากเลยหรือ" จ้าวฝูหมิงผู้เป็นสามี ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ พร้อมกับกล่าวถามภรรยาของตนเองออกไปด้วยความสงสัย
ปกติแล้วนางมักจะคอยคีบอาหารดูแลเอาอกเอาใจเขาอย่างไม่ขาดตกไม่ใช่หรือ…? แล้วเหตุใดวันนี้นางถึงได้ ทำเหมือนกับมองไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ท่าทีที่ดูแปลกประหลาดไปเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อถูกเอ่ยถาม หานหลินปิงจึงได้เงยหน้าขึ้นมาจากอาหารหลากหลายอย่างที่นางกำลังให้ความสนใจ พร้อมกับจ้องมองไปที่ใบหน้าของสามีด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บุรุษผู้นี้คือสามีของนาง ไม่ใช่สิคือสามีของเจ้าของร่างนี้ต่างหาก บุรุษที่เจ้าของร่างนี้ยอมทิ้งความสุขทุกอย่างในชีวิต เพื่อที่จะมาใช้ชีวิตอยู่กับเขา ด้วยคิดว่าชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบแต่มันกลับโรยด้วยขวากหนาม ที่ผู้เป็นสามีหยิบยื่นให้อย่างเต็มใจ เมื่อคิดไปถึงความจริงข้อนี้ ศัลยแพทย์หญิงในยุคสมัยใหม่อย่างนาง จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก แต่จะทำเช่นไรได้ ในเมื่อนางมาอาศัยอยู่ในร่างนี้ และต่อจากนี้ ชีวิตของเจ้าของร่าง ก็คือชีวิตของนางด้วยเช่นกัน...
แต่เอาเถิด ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ ที่ทำให้นางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางจะไม่ยอมให้ชีวิตของเจ้าของร่างนี้ ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงเพราะบุรุษที่ไม่เห็นคุณค่าของนางผู้นี้อย่างแน่นอน นางจะทำให้ชีวิตของเจ้าของร่างนี้ มีชีวิตใหม่ ที่เรียกได้ว่าจากนรกให้กลายเป็นสวรรค์คอยดู
"ใช่เจ้าค่ะ ข้าหิวมาก ท่านพี่มีอะไรหรือ บนโต๊ะอาหารไม่ควรที่จะพูดคุยกันมิใช่หรือ" กล่าวได้เพียงเท่านั้น นางก็หันมาให้ความสนใจกับอาหารบนโต๊ะอีกครั้ง คล้ายกับว่าท่าทีและคำกล่าวที่เรียกร้องความสนใจของสามีเมื่อสักครู่นี้ ไม่สามารถทำสิ่งใดกับนางได้
จ้าวฝูหมิงถึงกับคิ้วกระตุกขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ก็ช่างเถอะ นางอาจจะหิวมากจริงๆ หากเขาจะดูแลเอาใจใส่ภรรยาสักนิด คงจะ ไม่แปลกอันใด เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงคีบของโปรดที่นางชอบกิน ไปใส่ไว้ในชามข้าวของนางอย่างเอาใจ
"ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ" หานหลินปิงกล่าวขอบคุณสามีด้วยรอยยิ้มที่จริงใจเต็มใบหน้า แต่แทนที่นางจะคีบอาหารชิ้นนั้นเข้าปาก นางกลับคีบมันออกไปไว้ด้านข้างเสียนี่ การกระทำที่ดูผิดแปลกไปเช่นนี้ ถึงกับทำให้ผู้เป็นสามีเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนไป เขาจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปเสียไม่ได้
"หลินเอ๋อร์ ไม่ชอบเต้าหู้กระนั้นหรือ แต่พี่จำได้ว่าเจ้ามักจะชอบทานเต้าหู้อยู่เสมอมิใช่หรือ"
"เคยชอบมากเจ้าค่ะ แต่ว่าตอนนี้ข้ารู้สึกว่ามันไม่อร่อยเหมือนอย่างเช่นที่เคยคิดไว้เสียแล้ว" คำตอบที่ดูไม่ใส่ใจนักของนาง ทำให้ผู้ฟังถึงกับหน้าเสีย เหตุใดคำตอบง่ายๆ เพียงเท่านี้ แต่มันเหมือนกับว่านางกำลังบอก ความนัยกับเขาบางอย่างอยู่
"เป็นเช่นนั้นหรือ"
"ท่านพี่แต่ข้ายังคง ชอบเต้าหู้อยู่เช่นเดิม แม้ว่าฮูหยินจะไม่ชอบแล้ว ท่านพี่ก็สามารถคีบมันให้ข้าได้" หม่าอี้เหนียงรีบกล่าวประจบเอาใจสามี เพราะนางเองก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนไปของหานหลินปิงเช่นกัน
"ข้าอิ่มแล้วเชิญพวกท่านรับสำรับต่อได้เลย เวลาแห่งครอบครัวสุขสันต์ได้จบลงแล้วใช่หรือไม่ ข้าอยากจะไปทำธุระของตนเองให้แล้วเสร็จเสียที" หานหลินปิง ยืดตัวขึ้นตรง พร้อมทั้งกวาดมองไปที่ใบหน้าของแต่ละคนด้วยความเฉยชา ถึงเวลาที่นางต้องประกาศให้คนพวกนี้ได้รับรู้เสียที ว่าตนเองนั้นคือผู้ใด นางมิใช่ลูกพลับอ่อนนิ่ม ที่พวกนางจะสามารถบีบขย้ำ ให้บอบช้ำคามือได้อย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว
หานหลินปิงเจ้าของร่างมีทั้งอำนาจวาสนา นางเป็นถึงท่านหญิง ธิดาเพียงองค์เดียวของหานอ๋องแคว้นถัง ที่เป็นถึงสตรีสูงศักดิ์ แต่ด้วยความคิดของสตรีในวัยแรกแย้ม ที่เมื่อพบเห็นบุรุษรูปงามก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับรูปโฉมนั้น ยอมทิ้งศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตนเอง ขัดคำสั่งบิดา เพื่อมาใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา กับบุรุษผู้นี้ แต่ด้วยความที่กลัวว่าจะมีปัญหาในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา จึงมิมีผู้ใดรู้ถึงสถานะของนาง แม้นแต่สามีที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาหลายปี
"หลินเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือไม่ เหตุใดท่าทีถึงได้ดูแปลกไปจากเดิมนักเล่า" จ้าวฝูหมิงผู้เป็นสามีแทบจะรักษากิริยาที่สุขุมของตนเองเอาไว้ไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีที่ดูเฉยชาของผู้เป็นภรรยา ที่มักจะโอนอ่อนผ่อนตาม ให้กับเขาอยู่เสมอ แต่ในวันนี้ นางได้มีท่าทีแข็งกร้าวและคล้ายกับคนแปลกหน้าเมื่อจ้องมองมาที่ตน
"ทำไมหรือ...ข้าก็เป็นเช่นนี้ หาได้มีความผิดปกติอันใด ท่านพี่คิดมากไปหรือไม่ เชิญท่านใช้เวลาอยู่กับอี้เหนียงของท่านตามสบายเถิด และครั้งหน้าข้าก็มิสะดวก ที่จะมารับสำรับพร้อมหน้ากันเช่นนี้ ข้าสะดวกที่จะอยู่ในเรือนของตนเองมากกว่า ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ"
หานหลินปิงกล่าวเพียงเท่านั้น ก็ได้สะบัดกายเดินจากมา แผ่นหลังของนางเหยียดตรงแน่วแน่คล้ายกับได้ตัดสินใจบางอย่างแล้วเช่นนั้น ท่าทีที่แสดงออกมาถึงกับทำให้ผู้เป็นสามีไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ เขาทอดมองไปที่แผ่นหลังเหยียดตรงของภรรยาอย่างรู้สึกเหน็บหนาวในหัวใจคล้ายกับได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปอย่างไม่มีวันกลับ…
เมื่อเดินมาได้สักพักหานหลินปิงก็ได้หยุดฝีเท้าของตนเองลง พร้อมกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "ข้าลืมบุคคลสำคัญไปเสียสนิทได้อย่างไร ข้าควรที่จะไป กล่าวทักทายกับสตรีผู้นั้นเสียหน่อยไม่ดีกว่าหรือ"
ใบหน้าของหญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเหล่าข้ารับใช้ และองครักษ์ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเสมอ ถึงกับขนลุกซู่เพราะรับรู้ได้ถึง แรงอาฆาตแค้นบางอย่าง ที่แผ่ออกมาจากร่างของผู้เป็นนาย
"ฮูหยินหมายถึงใครหรือเจ้าคะ"
"เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง" หญิงสาวกล่าวได้เพียงเท่านั้น ก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งทิศทางนี้ ถึงกับทำให้เหล่าข้ารับใช้ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะมันคือ ทิศทางที่อาศัยของฮูหยินผู้เฒ่า มารดาแท้ๆ ของจ้าวฝูหมิงนั่นเอง
…
"คารวะท่านแม่" หานหลินปิงย่อกายทำความเคารพผู้เป็นแม่สามี ด้วยความอ่อนช้อย และนอบน้อม แต่นัยน์ตาของนางกลับเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว พร้อมที่จะฟาดฟันกับศัตรู เมื่อจ้องมองไปที่ผู้เป็นแม่สามี
"เจ้ามาก็ดีแล้วข้ากำลัง จะให้คนไปตามเจ้ามาพบอยู่พอดี" หญิงชรายังคงมีท่าทีที่ดูเหนือกว่า เพื่อกดข่มลูกสะใภ้เช่นแม่สามีทั่วไป นางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าลูกสะใภ้ผู้นี้เสียด้วยซ้ำ หญิงชรากล่าวออกมาอย่างเนิบช้า ด้วยเสียงที่ดูแหบพร่าตามวัย
"ข้าจะให้หมิงเอ๋อร์รับฮูหยินรองเข้ามาในตระกูลอีกคน นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของข้าเอง แน่นอนว่านางมีความเพียบพร้อม สมเป็นกุลสตรีในทุกด้าน มิหนำซ้ำตระกูลของนาง ก็เป็นตระกูลเก่าแก่ของข้า ข้าจึงอยากจะให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ ฤกษ์งามยามดีนั้น ข้าได้หาไว้แล้ว อีก 3 เดือนต่อจากนี้ ถือว่าเป็นฤกษ์มงคล ให้เจ้าช่วยดูแลเตรียมการให้พร้อม"
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวกล่าวออกมาอย่างไม่มีขาดตก การบอกกล่าวให้นางได้รับทราบ ไม่ได้เป็นการขอความคิดเห็น เมื่อหานหลินปิงได้ยินถ้อยคำประโยคนั้น ถึงกับคิ้วกระตุกหากเป็นเช่นดังกาลก่อนเจ้าของร่างนี้ คงทําได้เพียงยิ้มรับอย่างขมขื่น มิกล้ากล่าวโต้แย้งสิ่งใดกับผู้เป็นแม่สามี ด้วยกลัวว่าจะผิดทำนองคลองธรรม ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาของลูกสะใภ้ที่ดีแต่มีหรือที่สตรีเช่นนางจะยินยอมโดยง่าย หญิงชราผู้นี้ควรที่จะได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง และนางเองนี่แหละที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่นั้น
"ไม่ทราบว่าท่านพี่ทราบเรื่องนี้หรือยัง" น้ำเสียงของนางกล่าวออกไปอย่าง ลื่นไหล ไม่สะดุดและเต็มไปด้วยความกดดันอยู่ 5 ส่วน อีก 5 ส่วนนั้นคล้ายกับเป็นเพียงแค่คำถามธรรมดา
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองที่ใบหน้าลูกสะใภ้ผู้หัวอ่อนของนางอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง น้ำเสียงเมื่อสักครู่นี้เป็นลูกสะใภ้ผู้นี้หรือที่กล่าวมันออกมาจริงๆ หรือหญิงชราแทบไม่อยากจะเชื่อหู นางจึงกล่าวถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ"
"ข้าอยากจะรู้ว่าท่านพี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง และเขามีความคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้บ้าง" หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว เมื่อต้องสบสายตากับผู้เป็นแม่สามีตรงๆ เช่นนี้ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวถึงกับเกิดความไม่พอใจขึ้นมาอย่างรุนแรง นางจึงได้ตวาดออกไปเสียงดังด้วยความกรุ่นโกรธ
"เขาจะกล่าวสิ่งใดได้หมิงเอ๋อร์เชื่อฟังข้ายิ่งนัก ข้าให้เขาทำเช่นใด เขาก็ต้องทำเช่นนั้น อีกอย่างทั้งสองคนก็รู้จักกันมาก่อน หากจะให้เขารับสตรีผู้นั้นเข้ามา จะมีอันใดได้ นอกจากความยินดีเสียด้วยซ้ำ หน้าที่ของฮูหยินเช่นเจ้า ควรที่จะเปิดรับสตรีอีกคนของสามีอย่างใจกว้างไม่ใช่หรือ ไม่ใช่มีท่าทีดื้อดึงเช่นนี้"