สวมรอย/6

2920 Words
ภาพแผนผังป้องกันเมืองของแคว้นเทียนโจวถูกกางออกในมือของหญิงสาว ท่ามกลางเปลวเพลิงลุกท่วมห้องพร้อมเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในความทรงจำ “ข้าต้องการแผนผังป้องกันเมืองของแคว้นเทียนโจว! เพื่อแคว้นฉู่จะทำลายเทียนโจวให้พังพินาศมิเหลือสิ้น!” เสียงนั้นก้องอยู่ในโสตประสาท ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงติดต่อกันเมื่อจู่ๆ ก็ได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาจิตใต้สำนึกของเธอมั่นใจว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการแฝงตัวไปเป็นเจ้าสาวในครั้งนี้อย่างแน่นอนก่อนจะเอ่ยสำทับตามติดมา “ทั้งนี้ไม่ว่าจะทำงานลับสำคัญเพียงไหน ควรที่จะให้หม่อมฉันมีอำนาจอยู่ในมือที่สามารถสั่งการและจัดการได้ด้วยตัวเอง หากหม่อมฉันเดาไม่ผิดฝ่าบาทต้องการล่วงรู้แผนผังป้องกันเมืองของแคว้นเทียนโจวใช่หรือไม่เพคะ” ฮ่องเต้หนุ่มถึงกับลุกพรวดพราดทรงยืนขึ้นจากตั่งที่ประทับขึ้นมาทันที “นี่เจ้าล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการสิ่งนั้น! ทั้งๆ ที่ข้ายังมิได้เอ่ยกับผู้ใดทั้งสิ้นเพราะมันอยู่ในหัวของข้าตลอดเวลา” ชิงอวิ้นฮ่องเต้รับสั่งถามพร้อมทอดพระเนตรใบหน้าดั่งปีศาจของเฉินวาวาเขม็ง หญิงสาวแสยะยิ้มเหยียดครั้นได้ยินเช่นนั้น บทนางร้ายในละครที่ผ่านมาทำให้เธอกรีดจริตนางมารได้อย่างแนบเนียน แม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมถึงเห็นภาพนั้นแต่การคาดเดาไม่ผิดไปจากที่คิด ใบหน้าที่เคยงดงามลึกล้ำเชิดขึ้นสูงด้วยความเคยชินพร้อมกล่าวออกไป “ฝ่าบาทมิต้องถามหรอกเพคะว่าหม่อมฉันล่วงรู้ได้เช่นไร ขอเพียงล่วงรู้ว่าหม่อมฉันล่วงรู้ความคิดของพระองค์ก็เพียงพอแล้ว ทรงไม่คิดหรือว่าเหตุใดจึงพบหม่อมฉันในสภาพหมดสติและมีใบหน้าอัปลักษณ์เช่นนี้” หญิงสาวถามกลับไปพร้อมมองหน้าชิงอวิ้นฮ่องเต้เขม็งมิหลบสายพระเนตรของพระองค์แม้แต่น้อย “เจ้ากำลังจะบอกอะไรแก่ข้าเยว่วาวา” รับสั่งถามกลับไปทรงทอดพระเนตรสตรีตรงหน้าพระพักตร์เขม็งเช่นกัน หญิงสาวยกยิ้มที่มุมปากพร้อมเอ่ยขึ้น “หากแม้นมิใช่เพราะสิ่งที่หม่อมฉันหยั่งรู้มากเกินไป จึงสนองโทษกลายเป็นดาบสองคมทำให้เป็นองค์หญิงตกอับไร้สิ้นข้าทาสบริวาร แม้กระทั่งแผ่นดินที่จะซุกหัวนอนก็หามีไม่! โชคยังดีอยู่บ้างที่สวรรค์ทรงเมตตาจึงทำให้มีชีวิตรอดมาได้ พระองค์ก็คงทราบดีว่าหม่อมฉันมีฐานันดรศักดิ์เป็นองค์หญิงเช่นเดียวกัน หากจะทรงพระกรุณาหม่อมฉันอยากได้ฐานันดรของตนกลับคืนมาดั่งเดิม” หญิงสาวกล่าวพร้อมแสร้งตีหน้าเศร้าทิ้งคำถามเพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายกล่าวถ้อยคำที่เธออยากรู้ออกมาอีก “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่นึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดความวุ่นวายในแคว้นเยว่ จนสูญสิ้นราชวงศ์กว๋านเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวพันถึงเจ้าด้วย แต่เหตุใดเจ้าจึงถูกกวาดล้างไปด้วยเล่าในเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่มาจากตระกูลเยว่เช่นเดียวกับเจ้า และข้ากับเจ้าก็แซ่เยว่เช่นเดียวกัน” รับสั่งถามด้วยความสงสัย เฉินวาวานั่งนิ่งไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น ในเวลานี้สมองหมุนเป็นกลไกสับรางหาคำพูดดีๆ ออกมาให้ทันท่วงทีเพื่อให้สองคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “พะ... เพราะหม่อมฉันอยู่ฝ่ายทางราชวงศ์กว๋านเพคะ และเป็นเพราะรู้มากเกินไปจึงต้องถูกปิดปาก” หญิงสาวตอบกลับไปก่อนจะรีบเบี่ยงประเด็นเชือนแชไปทางอื่น “เช่นนั้นแล้วเมื่อฝ่าบาทไว้วางพระทัยมอบหมายงานสำคัญให้หม่อมฉัน สิ่งที่อยากได้ก็กราบทูลไปจนหมดสิ้นขอได้โปรดฝ่าบาททรงพิจารณาในสิ่งที่ร้องขอด้วยเถิดเพคะ” หญิงสาวเอ่ยย้ำในสิ่งที่ต้องการ ชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงยืนทอดพระเนตรหญิงสาวใบหน้าอัปลักษณ์ด้วยความชั่งใจ พลางครุ่นคิดกับสิ่งที่นางต้องการ แม้นางจะพูดออกมาไม่หมด แต่ก็ทรงมีความรู้สึกว่าสตรีผู้นี้มีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่เป็นแน่ “เหตุใดนางจึงล่วงรู้ความคิดของข้าเป็นไปได้อย่างไรที่จะล่วงรู้ความคิดหรืออ่านใจของผู้อื่นออก” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัยพร้อมทอดพระเนตรใบหน้าดุจปีศาจพลางชั่งพระทัยอยู่ชั่วขณะก่อนจะมีรับสั่งออกมา “เอาละ! ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นพระขนิษฐาบุญธรรม มีฐานันดรศักดิ์เทียบเท่าองค์หญิงชิวหรงทุกประการ และตั้งแต่นี้บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าก็คือองค์หญิงเยว่วาวา พระขนิษฐาบุญธรรมของข้าเจ้าผู้ครองแคว้นฉู่... เช่นนี้แล้วพอใจหรือไม่” รับสั่งถามกลับไป หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างเมื่อสามารถต่อรองได้เป็นผลสำเร็จ อย่างน้อยตำแหน่งองค์หญิงก็คุ้มครองเธอได้เป็นอย่างดีเพราะเธอชอบเป็นตัวจริงไม่ชอบสวมรอยแอบอ้างเป็นคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” เฉินวาวากราบทูลกลับไป “ลู่เหอคลายจุดที่เหลือซะ! บัดนี้นางคือองค์หญิงของเจ้าแล้ว และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจงติดตามทำหน้าเป็นองครักษ์คอยอารักขาองค์หญิงเยว่วาวา และคอยส่งข่าวจากองค์หญิงมาให้ข้ารู้อย่าให้ขาด ส่วนเจ้าวาวา” ประโยคสุดท้ายทรงหันกลับไปมีรับสั่งกับหญิงสาว “หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังในการไปแต่งงานครั้งนี้ แผนการขั้นต่อๆ ไปภายหลังเข้าไปอยู่ในวังหลวงเทียนโจวแล้ว ข้าจะส่งผ่านไปกับลู่เหอเพราะมิใช่แผนผังป้องกันเมืองของเทียนโจวเท่านั้นที่ข้าอยากได้ แต่ยังมีสิ่งที่ข้าต้องการมากไปกว่านั้น”รับสั่งลอดไรพระทนต์ พลางทอดพระเนตรใบหน้าหญิงสาวเขม็งและนั่นทำให้เฉินวาวาอดไม่ได้ที่จะถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ฝ่าบาททรงต้องการสิ่งอื่นนอกเหนือจากแผนผังป้องกันเมืองของเทียนโจว สิ่งที่ทรงอยากได้คืออะไรหรือเพคะ” พระนามโจวชินซาง หรือชินอ๋องแห่งแคว้นเทียนโจวผุดขึ้นในความรู้สึกของชิงอวิ้นฮ่องเต้โดยพลัน เพลิงแค้นที่สะสมมานานกว่าห้าปีไม่มีวันใดที่จะลืมเลือนไปได้ก่อนจะทอดพระเนตรสตรีใบหน้าดุจปีศาจพร้อมมีรับสั่ง “ข้าต้องการชีวิตโจวชินซาง!” รับสั่งพร้อมเสด็จพระดำเนินออกไปจากกระโจม ทันทีที่ได้ยินชื่อดังกล่าว ปานรูปหยดน้ำที่มองเห็นเพียงเลือนรางเนื่องจากถูกรอยไฟอัคคีบดบังสว่างวาบขึ้นมาทันที พร้อมภาพของบุรุษสูงใหญ่ทะมึน สวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เกศาสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาสีเลือดฉายแวววับปรากฏให้เธอเห็นขึ้นมาโดยพลัน ภาพนิมิตปรากฏให้เธอเห็นร่างงามในชุดเจ้าสาวสีขาวในยุคโบราณกำลังนั่งอยู่บนเตียงมีพัดทำจากขนห่านฟ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าสาวเอาไว้ บุรุษเกศาสีเงินยวงในชุดเจ้าบ่าวสีขาวเปิดประตูเข้ามาในห้องหอ ร่างสูงใหญ่ทะมึนเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมค่อยๆ เอื้อมหยิบพัดที่ปิดใบหน้าเจ้าสาวออกจากมือนาง เผยให้เห็นใบหน้าของเฉินวาวาเธอคือเจ้าสาวงดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดปรากฏอยู่ในห้องหอและในนิมิตดังกล่าว “เฮือกกก!!!” ร่างระหงลุกพรวดพราดขึ้นจากตั่งด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ เกิดเห็นภาพเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้นอนหลับหรือฝันแต่อย่างใด “ทะ... ทำไม... ฉันถึงเห็นตัวเองเป็นเจ้าสาวของเขา... ขะ... เขาจะตามหลอกหลอนฉันกันไปถึงไหน” เธอยืนบ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่คนเดียวในกระโจม “อ้าวอีตาฮ่องเต้เจ้าแผนการกับองครักษ์หน้าหงิกออกไปตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันถึงไม่ได้สังเกต” ทว่ายังมิทันขาดคำร่างสูงขององครักษ์ลู่เหอเดินเข้ามาภายในกระโจม พร้อมถือถาดที่ทำจากสัมฤทธิ์มีข้าวของวางอยู่ และมีนางกำนัลเดินตามหลังมาอีกหนึ่งคน ในมือถือถาดพร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอ “ฝ่าบาททรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ขอองค์หญิงเยว่วาวาทรงรับพระบรมราชโองการและออกเดินทางไปแคว้นเทียนโจวพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลู่เหอกล่าวพร้อมโค้งคำนับพร้อมยื่นถาดตรงหน้าให้หญิงสาว เฉินวาวาก็รู้งานรีบรับพระบรมราชโองการทันที ร่างระหงทรุดกายลงนั่งคุกเข่าพร้อมก้มคำนับลงพื้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมเงยหน้ายื่นมือรับพระบรมราชโองการจากองครักษ์ลู่เหอ ครั้นดวงตากลมโตเห็นหน้ากากครึ่งซีกทำมาจากทองคำแกะสลักลายดอกจวี๋ฮวา[1]ฝีมือช่างทำทองแกะสลักงดงามเป็นยิ่งนัก จนเฉินวาวายืนมองอยู่นาน “หน้ากากเอาไว้ทำอะไรอย่างนั้นเหรอท่านองครักษ์ลู่เหอ” หญิงสาวเรียกองครักษ์ที่ต้องถวายอารักขาซะเต็มยศ เล่นเอาเจ้าตัวรู้สึกชอบกลเมื่อถูกพระขนิษฐาบุญธรรมขององค์ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกเช่นนั้น “องค์หญิงรับสั่งแต่ชื่อของกระหม่อมก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงเรียกแบบนี้ฟังแล้วแลดูชอบกลนัก” ลู่เหอกราบทูลกลับไปตามความรู้สึกของตน “อ่อ! อย่างนั้นเหรอ... ถ้างั้นไม่เกรงใจละนะ แล้วหน้ากากเอามาไว้ทำอะไร สวยจังเลยฝีมือสลักลวดลายยอดฝีมือโคตรๆ เลยไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน” หญิงสาวเผลอหลุดใช้คำสมัยใหม่ออกไป ก่อนจะรู้สึกตัวว่าต้องใช้คำพูดย้อนยุค “อะ... เออ... ข้าหมายถึงช่างที่ทำมีฝีมือยอดเยี่ยมมากนะ” หญิงสาวกล่าวกลบเกลื่อนทันที “อ่อ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้นพร้อมกราบทูลกลับไป “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ช่างทองหลวงตีหน้ากากทองคำเพื่อนำมาปิดบังพระพักตร์ให้แก่องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการเดินทางและซ่อนเร้นพระพักตร์ที่ถูกพิษเอาไว้ภายใต้หน้ากากนี้” เฉินวาวายืนนิ่งงันไปทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น สองมือที่กำลังถือถาดรีบวางลงกับโต๊ะหนังสือพลางหยิบหน้ากากทองคำมาสวมเข้าที่ใบหน้าของเธอทันที ครั้นสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ลวดลายของหน้ากากที่สลักลายดอกจวี๋ฮวาขับใบหน้าด้านซ้ายที่มิมีรอยไฟอัคคีจนโดดเด่นสวยงามขึ้นมาอย่างน่าตื่นตะลึง เล่นเอาองครักษ์ลู่เหอถึงกับยืนนิ่งงันไปทันใด “สวยไหม!” เฉินวาวาเอ่ยถามองครักษ์หนุ่มตรงหน้าพลางส่องกระจกเห็นใบหน้าด้านซ้ายขาวนวลเนียนไร้ที่ติ ขับริมฝีปากอวบอิ่มอมชมพูจนน่าหลงใหลอย่างไม่คาดคิด ในขณะที่องครักษ์ลู่เหอก้มหน้ามองพื้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้นพลางรีบซ่อนเร้นดวงตาที่ชื่นชมสตรีที่ตนเคยเอ่ยปากว่านางมีใบหน้าดุจปีศาจ ก่อนจะได้ยินเสียงของนางถามกลับมา “แล้วนี่ถาดอะไร!” เฉินวาวาเอ่ยถามพร้อมเดินตรงไปหานางกำนัลที่กำลังถือถาดสัมฤทธิ์อยู่ในขณะนั้น ทว่านางกำนัลคนดังกล่าวเผลอตัวมองหญิงสาวหลังจากสวมหน้ากากทองคำปิดบังรอยไฟอัคคี เผยให้เห็นใบหน้าส่วนที่เหลือที่เต็มไปด้วยความงดงามชวนมองน่าหลงใหลอย่างยิ่งยวด จนเฉินวาวาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “มองอะไรอยู่เหรอ... ทำไมถามแล้วไม่ตอบ” ครั้นนางกำนัลคนดังกล่าวรู้สึกตัวว่าได้เผลอมององค์หญิงพระองค์ใหม่ด้วยความลืมตัว นางรีบทรุดกายลงคุกเข่าพร้อมรีบเอ่ยกราบทูลกลับไปทันที “หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เผลอตัวมององค์หญิงจนลืมทำหน้าที่ของตัวเองไป ได้โปรดพระราชทานอภัยให้แก่หม่อมฉันด้วยเพคะ”นางกำนัลคนดังกล่าวเอ่ยละล่ำละลัก เฉินวาวาถึงกับยืนงงไปชั่วขณะเมื่อเห็นอาการกลัวลนลานของนางกำนัลตรงหน้า “แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องกลัวลนลานถึงขนาดนี้เลยเหรอ แปลกจังเลย” หญิงสาวพึมพำอยู่ภายในใจ “เอาเถอะจ้ะ... เอาเถอะ... ลุกขึ้น! ... ลุกขึ้น!ไม่ต้องมากพิธี... เธอ... เอ้ย... เจ้าชื่ออะไรเหรอ” หญิงสาวถามกลับไป “หม่อมฉันชื่อมู่อิงเพคะ” นางกำนัลรายงานตัวเองกลับไปทันทีพร้อมเสียงองครักษ์ลู่เหอแทรกดังขึ้น “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้มู่อิงตามเสด็จองค์หญิงไปที่แคว้นเทียนโจวด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อคอยรับใช้อย่างใกล้ชิดและพรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็เคลื่อนขบวนเสด็จทันที เพราะตั้งค่ายอยู่ที่นี่นานกว่าสิบห้าวันแล้วต้องรีบเดินทางให้ทันตามกำหนดที่เคยแจ้งให้เทียนโจวรู้ล่วงหน้า” “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน “อือ... รู้แล้วถึงเวลาข้าจะเตรียมตัวให้พร้อม...” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันกลับไปสนใจถาดที่อยู่ในมือของนางกำนัลส่วนตัวที่มีผ้าสีเหลืองนวลคลุมอยู่ “ของใช้ส่วนพระองค์ที่ติดพระวรกายองค์หญิงมาเพคะ” นางกำนัลมู่อิงเอ่ยกราบทูลออกไป และนั่นทำให้เฉินวาวาเบิกตากว้างขึ้นมาทันทีพร้อมรีบเปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันอยู่บนถาดและเครื่องประดับหลายรายการที่ติดตัวเธอมารวมไปถึงมงกุฎหงส์ที่ทำจากทองคำแท้ “อร้ายยย!!! เครื่องสำอางของฉัน” หญิงสาวดีใจอย่างเห็นได้ชัดเธอรีบรับถาดจากมือของมู่อิงมาถือเอาไว้เสียเอง เฉินวาวาแสร้งทำเป็นให้ความสนใจกับถาดเครื่องใช้ส่วนตัว ครั้นเห็นร่างสูงขององค์รักษ์ลู่เหอก้าวพ้นไปจากกระโจม เธอรีบกวักมือเรียกนางกำนัลมู่อิงเข้ามาหาเพื่อสอบถามเรื่องราวทุกอย่างที่เธออยากรู้ ทันทีที่มู่อิงมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้า หญิงสาวคัดปิ่นปักผมที่ทำจากหยกชั้นดีซึ่งทำจากยุคปัจจุบันยื่นส่งให้นาง “ข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัลที่จะมาคอยดูแล” เฉินวาวากล่าวพร้อมทำท่าจะเสียบปิ่นปักผมให้แก่นาง ทว่านางกำนัลมู่อิงกลับปฏิเสธเป็นพัลวันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หม่อมฉันรับมิได้เพคะองค์หญิง ปิ่นนี้สูงค่ายิ่งนักเกินฐานะอันต่ำต้อยของหม่อมฉันที่จะรับเอาไว้” สิ้นเสียงของนางกำนัลคนสนิท เฉินวาวาจำต้องใช้แผนขู่ออกมาทันที “เจ้าเลือกเอาไว้จะรับปิ่นปักผมจากข้า หรือจะถูกโบยห้าสิบไม้! เลือกเอา” หญิงสาวทิ้งไม้ตายที่ใช้ที่ไรได้ผลทุกคราในยุคปัจจุบันและยังนำมาใช้ในเวลานี้ นางกำนัลมู่อิงรีบก้มคำนับลงพื้นทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “อย่าโบยหม่อมฉันเลยเพคะองค์หญิง รับแล้วเพคะ รับแล้ว” กล่าวพร้อมยกมือทั้งสองข้างรีบรับปิ่นหยกจากมือขององค์หญิงคนงามเอาไว้อย่างรวดเร็ว “มู่อิงขอบพระทัยเพคะที่เมตตาประทานปิ่นปักผมนี้ให้ นอกจากจะงดงามแล้วทรงมีพระเมตตายิ่งนัก” นางกำนัลมู่อิงกราบทูลกลับไป “โอ๊ยยย! ของมันแน่อยู่แล้วละ... ข้ารู้ว่าเกิดมาสวย ดังนั้นเมื่อเป็นหญิงก็ต้องคู่กับความงาม ข้าให้ปิ่นปักผมนี้แก่เจ้าเอาไว้ใช้นะไม่ได้ให้ไว้บูชากราบไหว้หรือเก็บไว้เฉยๆ รู้หรือเปล่า” หญิงสาวกล่าวกำชับ “อะ... เออเพคะองค์หญิง... แม้ว่ามู่อิงจะฟังรับสั่งรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็พอจะเข้าใจ คงเป็นเพราะโง่เขลาอับปัญญาความฉลาดมาน้อย ขอองค์หญิงได้โปรดขัดเกลาและสั่งสอนมู่อิงด้วยเพคะ” “โอ้โฮ! พูดซะสะเทือนใจตับไตใส้พุงหมดเลย” เฉินวาวาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำและอาการหวั่นเกรงของนางที่มีต่อเธออยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเริ่มใช้จิตวิทยากับนางกำนัลส่วนตัวของเธอ “เอาแบบนี้ข้าจะค่อยๆ สอนเจ้า และถ้าข้าอยากรู้อะไรก็ให้ตอบมาตามตรงและบอกให้ละเอียดไม่ต้องปิดบังอะไรทั้งนั้น แล้วข้าจะสั่งสอนเจ้าจนกลายเป็นสตรีที่ทั่วหล้าอยากได้เจ้าครอบครอง... เชื่อเฉิน... เอ้ย... เชื่อข้าแล้วจะดี ข้าถามแล้วเจ้าตอบตกลงไหม” หญิงสาวพูดพลางมองนางกำนัลส่วนตัวของเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงติดต่อกัน ยินยอมที่จะตอบคำถามที่เธออยากรู้ทุกอย่าง [1] ดอกจวี๋ฮวามีชื่อลาตินว่า Dendranthema morifolium หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Florists Chrysanthemum เป็นดอกไม้ที่มีสีสันสดใสและกลีบดอกหนาเป็นพุ่มสวยงาม ตรงเกสรมีกลิ่นหอม ในสมัยโบราณชาวจีนในราชสำนักนิยมปลูกดอกจวี๋ฮวากันมาก จนถึงกับมีเทศกาลชมดอกจวี๋ฮวา ดอกจวี๋ฮวานอกจากปลูกขึ้นเพื่อชมความงามแล้ว ยังสามารถเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อีกทั้งในประเทศจีน รวมไปถึงญี่ปุ่นและเกาหลี ต่างนิยมนำดอกจวี๋ฮวามาทำเป็นชาไว้ดื่มเพื่อดับกระหายยามอากาศร้อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD