พระตำหนักบูรพา
พระตำหนักบูรพาเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของจอมมารชินซางหรือชินอ๋อง ซึ่งเฉินกงฮ่องเต้ทรงประทานให้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับตำหนักอื่นๆ ด้วยลักษณะของจอมมารที่มิค่อยมีรับสั่งและมีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบสุงสิงและความวุ่นวาย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด อีกทั้งภายในตำหนักมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ เทียบเท่ากับตำหนักประจิมขององค์ฮ่องเต้และมีพื้นที่สำหรับให้จอมมารฝึกปรือวิทยายุทธ์และฝึกฝนกองทหารส่วนพระองค์
ดังนั้นตำหนักบูรพาจึงเป็นตำหนักเดียวที่มีกองทหารส่วนพระองค์ของชินอ๋องคอยถวายอารักขาความปลอดภัย และคอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในยามที่พระองค์มิได้อยู่ประทับ นอกจากจะมีกองทหารส่วนพระองค์ ยังมีเหล่านางกำนัลและขันทีคอยดูแลตำหนักบูรพานับหลายสิบชีวิตตามพระบัญชาของอดีตฮ่องเต้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฟางหยางฮ่องเต้ ที่มีความริษยาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความชิงชังมากขึ้นไปอีกเมื่ออดีตฮ่องเต้ทรงมอบความไว้วางใจและทุ่มเทให้กับพระอนุชาพระองค์นี้ทุกอย่าง จนพระองค์มิสามารถทำอะไรได้เลยนอกจากทอดพระเนตรอยู่เฉยๆ ได้เพียงเท่านั้น
ดังนั้นจอมมารชินซางที่จับพลัดจับพลูกลายมาเป็นพระโอรสที่หายสาบสูญไปด้วยความบังเอิญ ครั้นได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นพระองค์ล่วงรู้แก่ใจดีว่าองค์รัชทายาทซึ่งก็คือฟางหยางต้องไม่พอพระทัยอย่างแน่นอน จึงมิเคยเสด็จมาประทับที่พระตำหนักบูรพาแต่อย่างใด เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเพราะเป้าหมายของพระองค์หาใช่การครอบครองบัลลังก์ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ในภพมนุษย์ แต่จอมมารมาเพื่อติดตามหาคู่ชะตาที่ถูกกำหนดให้เป็นของพระองค์
พระเนตรสีนิลกาฬทรงทอดพระเนตรม้วนไม้ไผ่อันเป็นพระราชสาสน์จากทางแคว้นซึ่งส่งข่าวสารมาให้ล่วงรู้ว่าได้จัดส่งเชื้อพระวงศ์หญิงมาแต่งงานตามสัญญาสงบศึก ที่เจ้ากรมพิธีการกำลังนำมายื่นถวายให้แก่พระองค์อยู่ในขณะนี้
“กราบทูลชินอ๋อง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำพระราชสาสน์ ซึ่งเป็นสองแคว้นสุดท้ายที่ขบวนเจ้าสาวยังเสด็จมาไม่ถึงนำมาให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมพิธีการกล่าวพร้อมยื่นพระราชสาสน์ที่อยู่ในถาดสัมฤทธิ์ให้ทรงทอดพระเนตร
จอมมารทรงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ โดยมิได้ใส่พระทัยหรือแม้แต่หันกลับมาทอดพระเนตรแม้แต่น้อย พระโอษฐ์ยกยิ้มออกมาบางๆ เมื่อการกระทำของฟางหยางฮ่องเต้ช่างเร่งรัดพระองค์เสียจริง
“วางเอาไว้!” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ
“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้ากรมพิธีการขานรับก่อนจะรีบวางถาดสัมฤทธิ์ไว้ลงบนโต๊ะทรงพระอักษร
“ตอนนี้องค์หญิงจากแคว้นเยว่ได้เสด็จมาถึงเมื่อช่วงบ่ายแล้วพ่ะย่ะค่ะ คงเหลือเพียงองค์หญิงจากแคว้นฉู่ที่ยังเสด็จมาไม่ถึง แต่ตรงพระพักตร์มีภาพเหมือนขององค์หญิงจากแคว้นเยว่ที่เสด็จมาถึงแล้วนำมาให้พระองค์ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมพิธีการพยายามอธิบายอย่างละเอียด
“หากข้าอยากรู้จะถามเองเจ้าไม่ต้องบอก” รับสั่งพร้อมหันพระพักตร์กลับไปทอดพระเนตรเจ้ากรมพิธีการเขม็ง สายพระเนตรที่ส่งมานั้นเล่นเอาขุนนางสูงวัยรีบก้มหน้ามองพื้นหลบสายพระเนตรของพระองค์ทันที
“เอาไว้องค์หญิงจากแคว้นฉู่เสด็จมาถึงแล้วนำเอกสารทั้งหมดและภาพเหมือนมาให้ข้า จะได้เสียเวลาดูทีเดียว ว่าแต่ที่ข้าอยากถามเจ้าก็คือ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงรับองค์หญิงต่างแคว้นเป็นพระสนมครั้งล่าสุดเมื่อใด” รับสั่งถามกลับไปในสิ่งที่พระองค์อยากรู้
เจ้ากรมพิธีการยืนนิ่งคิดไปชั่วขณะก่อนจะกราบทูลตอบกลับไป
“ครั้งล่าสุดที่รับพระสนมเมื่อแปดเดือนก่อนพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนั้นองค์หญิงจากต่างแคว้นมาพร้อมกันเกือบสามสิบพระองค์ฝ่าบาททรงรับไปบางส่วนและพระราชทานให้แก่องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์ชายสามไปตามลำดับ”
ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้น ทรงหวนคิดถึงภาพความฝันของคู่ชะตาสวมชุดเจ้าสาวสีขาวกำลังเดินทางไปเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับฟางหยางฮ่องเต้ พระขนงคมเข้มได้รูปสวยขมวดเข้าหากันโดยพลันเมื่อระยะเวลาไม่สอดคล้องกับความฝันของพระองค์แต่อย่างใด
“นางเพิ่งจะปรากฏตัว อีกทั้งข้าเพิ่งคลาดจากนางช่วงใกล้จะถึงเทียนฮุย เช่นนั้นแล้วเยว่วาวาเป็นองค์หญิงจากแคว้นใดเล่าที่มาเข้าพิธีอภิเษกกับฟางหยางฮ่องเต้” จอมมารรับสั่งอยู่ในพระทัยก่อนจะรับสั่งถามขึ้นมาอีกครา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าล่วงรู้หรือไม่ว่าองค์หญิงจากแคว้นใด ใช้แซ่เยว่”
ครั้นเจ้ากรมพิธีการได้ยินเช่นนั้นสายตามองไปยังถาดสัมฤทธิ์พร้อมชี้นิ้วไปยังพระราชสาสน์ดังกล่าวทันที
“องค์หญิงจากแคว้นเยว่พ่ะย่ะค่ะ พระนางทรงมีแซ่เยว่พระนามว่า เยว่วาวา”
ทันทีที่จอมมารทรงได้ยินเช่นนั้น พระหัตถ์ที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ในขณะนั้นรีบวางลงทันใดพร้อมรีบคว้าพระราชสาสน์ที่อยู่ในถาดสัมฤทธิ์คลี่ออกเพื่อทอดพระเนตรข้อความที่อยู่ภายในนั้น พระโอษฐ์คลี่ยิ้มกว้างออกมาโดยพลันด้วยความดีพระทัยอย่างยิ่งยวด
“ข้าพบเจ้าแล้วเยว่วาวาของข้า!” รับสั่งพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงของเจ้ากรมพิธีการเอ่ยกราบทูล
“นอกจากองค์หญิงจากแคว้นเยว่ที่ทรงใช้แซ่เยว่ ยังมีองค์หญิงจากแคว้นฉู่ที่ใช้แซ่เยว่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีฮ่องเต้เยว่ชิงอวิ้นส่งองค์หญิงเยว่ชิวหรงพระขนิษฐามาอภิเษกสมรส แต่จู่ๆ กลับทรงเปลี่ยนแปลงกะทันหันส่งพระขนิษฐาบุญธรรมมาอภิเษกสมรสแทน แล้วก็ทรง...” เจ้ากรมพิธีการกราบทูลยังไม่ทันจบสุรเสียงของจอมมารดังแทรกขึ้นมาทันที
“เรื่องขององค์หญิงจากแคว้นฉู่ข้าไม่สนใจ เพราะข้าพบคนที่ต้องการแล้ว” รับสั่งตอบกลับไป
“หะ... หา! พระองค์ทรงคัดเลือกพระชายาได้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมพิธีการเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจอย่างยิ่งยวดไม่คาดคิดว่าชินอ๋องจะทรงเลือกพระชายาได้รวดเร็วเช่นนี้
พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ ต่อกันเป็นการยอมรับพร้อมเอื้อมไปหยิบภาพเหมือนขององค์หญิงจากแคว้นเยว่คลี่ออกเพื่อทอดพระเนตร
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะรีบไปกราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบว่าพระองค์ทรงเลือกองค์หญิงจากแคว้นเยว่เป็นพระชายาได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อือ!” รับสั่งอยู่ในพระศอ
ครั้นเจ้ากรมพิธีการได้ยินเช่นนั้น ขุนนางสูงวัยรีบถวายคำนับพร้อมก้าวถอยหลังออกจากพระตำหนัก รีบจำอ้าวกลับไปกราบทูลองค์ฮ่องเต้อย่างว่องไว
ในขณะที่จอมมารทรงคลี่ภาพเหมือนขององค์หญิงจากแคว้นเยว่เพื่อทอดพระเนตร พระขนงคมเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อภาพเหมือนขององค์หญิงจากแคว้นเยว่ที่ปรากฏอยู่ตรงพระพักตร์ทำให้พระองค์รับสั่งออกมาทันใด
“จิตรกรแคว้นเย่ววาดภาพเหมือนของเจ้าเกินจริงถึงเพียงนี้เชียวรึ ใบหน้าอัปลักษณ์เพราะปานไฟอัคคีของข้าย้ายไปสถิตอยู่ที่กายของเจ้า รอยไฟอัคคีจึงปรากฏอยู่ทั่วกายใบหน้าต้องสวมหน้ากากปิดบังตลอดเวลาแต่เหตุไฉนภาพเหมือนของเจ้าจึงไร้สิ้นใบหน้าอัปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิง” รับสั่งด้วยความสงสัยพลางครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
“เห็นทีข้าต้องหาโอกาสพบเสี่ยววาวาเสียแล้วจะได้ล่วงรู้ว่าจิตรกรวาดภาพเกินจริงหรือไม่” รับสั่งพร้อมคลี่พระโอษฐ์กว้าง พระเนตรสีนิลกาฬวาววับขึ้นมาทันที
โรงเตี๊ยมจันพิสุทธิ์ดุจเมฆไหม
ร่างงามระหงของเฉินวาวากำลังนอนไขว่ห้างอยู่บนเตียงพลางกระดิกเท้าไปมาด้วยความสบายใจ เมื่อเธอได้ซ่อนตัวอยู่ภายในโรงเตี๊ยมมานานกว่าห้าวันแล้ว หญิงสาวมิยอมออกไปข้างนอกแต่อย่างใด ด้วยทหารทั้งเมืองกำลังตรวจค้นบุคคลที่มีลักษณะเช่นเดียวกับเธอ จึงได้แต่รอคอยขบวนเสด็จเจ้าสาวให้มาถึงภายในเร็ววันจวบจนกระทั่งประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมร่างของมู่อิงนางกำนัลคนสนิท ก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าว
“องค์หญิงเพคะ! หม่อมฉันมาแล้ว” นางกำนัลสาวรีบถลาเข้าไปหาองค์หญิงของตนด้วยความดีใจติดตามด้วยร่างสูงขององครักษ์ลู่เหอก้าวตามหลังมาติดๆ
“มู่อิง!” หญิงสาวเรียกชื่อนางกำนัลคนสนิทด้วยความดีใจก่อนจะโผเข้ากอดร่างของนาง ในขณะที่นางกำนัลคนสนิทกำลังตกตะลึงเมื่อเห็นองค์หญิงของตนปราศจากรอยอัปลักษณ์ดั่งที่เคยเป็น
“อะ... องค์หญิง... พระพักตร์มิเหลือรอยอัปลักษณ์แล้ว เหตุไฉนจึงทรงงดงามถึงเพียงนี้เพคะ งดงามมาก งดงามจริงๆ เลยเพคะองค์หญิง”
“แหม... มิต้องตาค้างขนาดนี้ก็ได้มู่อิง โชคดีที่ใบหน้าของข้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำให้รอดพ้นจากการถูกตามล่าตัวของชินอ๋องผู้นั้น” หญิงสาวกล่าวพร้อมเอียงคอมองนางกำนัลคนสนิทพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้าดีใจจังเลยที่เจ้ามาถึงเสียที รู้ไหมว่าข้าคิดถึงเจ้ามากเลยนะ อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนคุยเลย จะคุยกับลู่เหอรายนั้นก็ถามคำตอบคำ ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาเสียส่วนใหญ่” หญิงสาวพูดรัวเป็นปืนกลเลยทีเดียว
“เอ้า! กระหม่อมผิดอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” องครักษ์ลู่เหอกราบทูลกลับไปใบหน้าเจื่อนลงทันที
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าซะขนาดนั้นหรอกลู่เหอ! ข้าล้อเจ้าเล่น” หญิงสาวกล่าวพลางฉีกยิ้มกว้างและนั่นทำให้องครักษ์หนุ่มมีสีหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยกราบทูลองค์หญิงของตน
“ตอนนี้ขบวนเสด็จกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจค้นและรอทหารอารักขาจากวังหลวงนำขบวนเสด็จพาเข้าไปถึงราชสำนักด้านใน กระหม่อมจึงอาศัยจังหวะอ้างว่าองค์หญิงต้องการเข้าห้องน้ำชำระพระวรกายและเปลี่ยนฉลองพระองค์จึงแอบนำมู่อิงออกมา ทรงรีบเปลี่ยนฉลองพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ จะได้รีบเข้าวังเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดเดิมมากเลยทีเดียว
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น
“มู่อิงเจ้าเอาข้าวของส่วนตัวของข้ามาด้วยหรือเปล่า”หญิงสาวหันกลับไปถามนางกำนัลคนสนิท
“หม่อมฉันเตรียมมาพร้อมตามรับสั่งทุกประการเพคะองค์หญิง” มู่อิงกราบทูลกลับไปพร้อมรีบชูห่อผ้าขึ้นมาทันที ท่ามกลางความดีใจของหญิงสาว
“มาช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า ข้าจะแปลงโฉมให้กลายเป็นหญิงงามล่มเมืองชนิดที่ว่าไม่เหลือร่องรอยให้ชินอ๋องแกะร่องรอยติดตามข้าได้แม้แต่น้อย” เฉินวาวากล่าวด้วยความมั่นใจ
“โอ้โฮ! องค์หญิงเพคะ ขนาดนี้ก็ทรงงามล่มบ้านล่มเมืองไปทั่วทุกแคว้นแล้ว จะทรงให้ล่มไปถึงไหนอีกเพคะ ขนาดหม่อมฉันยังมองตาค้างแล้วตาค้างอีก” นางกำนัลมู่อิงกราบทูลพลางมององค์หญิงของตนด้วยความชื่นชม
“นี่คือหน้าสดของข้าเจ้ายังตาค้างขนาดนี้ แต่ถ้าเจ้าเห็นข้าใช้เครื่องประทินโฉมที่นำติดตัวมาด้วยเจ้าจะต้องตะลึง!” หญิงสาวกล่าวพร้อมดึงที่ปัดแก้มในยุคปัจจุบันออกมาจากห่อผ้าที่มู่อิงนำมาให้ทันที
หญิงสาวพูดพลางแกะห่อผ้าที่มู่อิงนำมาให้จนเผยให้เห็นเครื่องสำอางในยุคปัจจุบันปรากฏอยู่ตรงหน้า พร้อมเสื้อผ้าสำหรับเชื้อพระวงศ์หญิงระดับสูงนำมาให้เธอเปลี่ยน ก่อนจะลงมือแปลงโฉมของตัวเองทันที
เพียงไม่นานใบหน้าสวยของนางร้ายระดับแนวหน้าในยุคปัจจุบัน ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องประทินโฉมจากอนาคตจนเนรมิตใบหน้าที่สวยงามมากอยู่แล้วยิ่งงดงามมากขึ้นนับเท่าทวีคูณ
ขนตางอนยาวถูกดัดจนงามงอน ใบหน้าขาวนวลเนียนฉาบทับด้วยแป้งผัดหน้าจนนวลผ่องเป็นยองใย คิ้วเรียวสวยที่ได้รูปงามอยู่แล้วถูกเติมเต็มให้เข้าที่กว่าเดิม จมูกโด่งได้รูปสวยถูกไล้เฉดดิ้งจนขึ้นเงา พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อรับริมฝีปากอวบอิ่มฉาบด้วยลิปสติกสีกลีบบัว
บัดนี้เฉินวาวางดงามเฉิดฉายอย่างยิ่งยวด ดวงตากลมโตที่ถูกอายไลเนอร์กรีดจนคม เซ็กซี่น่ามองอย่างหลงใหล รับกับฉลองพระองค์สีขาวตัดเย็บจากผ้าไหมอย่างดี ทอแสงเงางามระยิบระยับ ปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความพอใจในฝีมือการแต่งตัวของเธอ สวยเป็นธรรมชาติน่ามองอย่างตื่นตะลึง
“โอ้โฮ! เทพธิดาชัดๆ!” มู่อิงที่นั่งอยู่กับพื้นมององค์หญิงของตนจนเคลิ้มไปเลยทีเดียว
“มู่อิง...น้ำลายไหลแล้ว!” หญิงสาวกระเซ้านางกำนัลคนสนิท
นางกำนัลสาวรีบปรับตัวให้เป็นปกติพร้อมเอ่ยขึ้น
“องค์หญิงงดงามจังเลยเพคะ... ทรงแน่พระทัยนะว่าเป็นมนุษย์ งามถึงเพียงนี้มีแต่เทพธิดาบนสรวงสวรรค์เท่านั้นแล้วเพคะ” มู่อิงกล่าวชื่นชมอย่างไม่ขาดปาก พลางมองปานรูปหยดน้ำที่ปรากฏอยู่ตรงกลางหน้าผากไม่วางตา ก่อนจะได้ยินสุรเสียงองค์หญิงของตนเอ่ยขึ้น
“ข้าเป็นคนเหมือนกับเจ้านั่นแหละไม่ได้เป็นเทพธิดาอะไรหรอก” หญิงสาวตอบกลับไปก่อนจะได้ยินมู่อิงกราบทูลถามกลับมา
“เออ... องค์หญิงเพคะ ตรงหน้าผากขององค์หญิงทำไมจู่ๆ ถึงมีลักษณะคล้ายหยดน้ำขึ้นมาคืออะไรหรือเพคะ เป็นปานหรือรอยแผลเป็น เมื่อก่อนไม่เห็นมีเลย” นางกำนัลสาวกราบทูลถามด้วยความสงสัย
เฉินวาวายกมือเรียวขึ้นสัมผัสรอยที่เกิดขึ้นกลางหน้าผากไปมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจู่ๆ ทำไมถึงมีรอยนี้ขึ้นมา แต่จะว่าไปก็สวยดีเนอะ แถมเป็นสีแดงด้วยถ้าหากไม่หายเป็นแบบนี้ติดตัวไปตลอดชีวิต ข้าก็ว่าดีเหมือนกันเพราะทำให้ข้าสวยขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย” เฉินวาวากล่าวพลางส่งเสียงหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ จนมู่อิงนางกำนัลคนสนิทต้องส่งเสียงห้าม
“จุ๊! จุ๊! เบาๆ เพคะองค์หญิง อย่าทรงหัวเราะดังไม่งามนะเพคะ” มู่อิงกราบทูลเตือนองค์หญิงของตน
“แหม! ก็แค่นานๆ ครั้งจะเป็นอะไรไปเล่า... ว่าแต่เสียเวลานานแล้ว รีบไปกันเถอะ!” หญิงสาวบอกคนสนิท
เฉินวาวาเอื้อมมือนำสร้อยระย้าทำจากหยกสีขาวสกัดเป็นก้อนกลมเล็กๆ ออกแบบเป็นที่บังหน้าของสตรีเชื้อพระวงศ์ประจำแคว้นฉู่นำขึ้นปิดบังใบหน้าเห็นเพียงแค่ดวงตากลมโตดั่งตากวางเท่านั้น
“ถึงเวลาต้องเข้าวังหลวงกันเสียทีแล้วมู่อิง!” หญิงสาวกล่าวพร้อมสวมบทบาทนางพญาทันที
มือเรียวสวยยื่นไปจับมือนางกำนัลคนสนิทพร้อมค่อยๆ ก้าวออกจากห้องเพื่อกลับไปขึ้นรถม้าพระที่นั่ง แปรเปลี่ยนเป็นองค์หญิงเยว่วาวาจากแคว้นฉู่ เพื่อเดินทางมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างแคว้นตามสัญญาสงบศึก