5 วันผ่านไป
เมืองหลวงเทียนฮุย (เมืองหลวงตะวันออก)
รถม้าขนาดบรรจุคนได้ประมาณสามสี่คนกำลังยืนรอการตรวจค้นเพื่อผ่านเข้าประตูเมืองเทียนฮุย อันเป็นเมืองหลวงตะวันออกและเป็นเมืองหลวงเอกของแคว้นเทียนโจว เฉินวาวาในขณะนี้สวมบทบาทเป็นหญิงสามัญชนกำลังอุ้มท้องอายุครรภ์เจ็ดเดือนนั่งอยู่บนรถม้าพร้อมด้วยองครักษ์ลู่เหอซึ่งสวมบทบาทเป็นสามีจำเป็นของเธอ
ใบหน้าขององครักษ์ลู่เหอซึ่งติดหนวดปลอมนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับองค์หญิงของตน ในขณะที่เฉินวาวายังคงสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ตลอดเวลา
“เออ...องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมแสร้งเป็นพระสวามีหากฮ่องเต้ของเทียนโจวล่วงรู้หัวต้องหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ ทรงคิดอะไรอยู่... บอกได้ไหม” ลู่เหอบ่นรำพึงรำพัน
เฉินวาวาที่กำลังใช้พัดที่ถืออยู่ในมือโบกไปมาเพื่อคลายความร้อนในขณะนั้นอย่างสบายใจเฉิบ มีอันต้องหุบพัดดังกล่าวลงทันที
“เพียะ!” เสียงพัดกระทบเข้ากับหน้าขาขององครักษ์หนุ่มจนตัวลีบตัวงอเข้าหากันทันใดด้วยความกลัว
“ทำไมจะต้องคิดมากลู่เหอ! ข้าบอกให้ทำอะไรก็ทำตามคำสั่งก็พอแล้ว! พวกเราโดนอีตาอ๋องโรคจิตควบม้าไล่ตามหลังตลอดหลายวันที่ผ่านมา ดีนะที่ข้าไหวพริบดีทำให้ม้าของอีตาอ๋องนั่นได้รับบาดเจ็บหาไม่แล้ว พวกเราจะหลุดพ้นจากการไล่ตามแบบบ้าคลั่งออกมาได้อย่างนั้นเหรอ!” หญิงสาวเอ็ดองครักษ์ข้างกายเสียงดุ
“เรื่องนั้นกระหม่อมล่วงรู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ที่ถามคือเรื่องที่ให้แสร้งทำเป็นพระสวามีนี่แหละคือปัญหา หากมีผู้ใดล่วงรู้จะเสื่อมเสียพระเกียรติขององค์หญิงเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหอกราบทูลกลับไป
“ข้าไม่สน! สิ่งที่ข้าสนใจที่สุดนั่นก็คือหลุดพ้นจากการไล่ล่าของชินอ๋องผู้นั้นต่างหาก และการปลอมตัวเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะถ้าขืนไปในสภาพเช่นเดิมมีหวังโดนรวบทั้งหมดนี่แหละ เจ้ามีหน้าที่ทำให้แนบเนียนก็พอ เข้าใจไหมคำว่าเนียนๆ น่ะ” หญิงสาวพูดพลางทำท่าประกอบ
“กระหม่อมไม่เข้าใจหรอกพ่ะย่ะค่ะว่าพระนางทรงหมายถึงสิ่งใด แต่ละวันรับสั่งแต่คำแปลกประหลาดจากแคว้นเยว่จนตอนนี้กระหม่อมสับสนไปหมดแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมก็จะปฏิบัติตามรับสั่งให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลู่เหอกราบทูลกลับไป
“มันต้องให้ได้อย่างนี้สิลู่เหอ เจ้าสมแล้วที่เป็นองครักษ์ข้างกายข้าและไม่ต้องกลัวว่าคนอย่างข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้เพราะฉายาที่บ้านเมืองของข้าที่ได้รับบทบาทมาล่าสุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้รับฉายาว่าอะไร” หญิงสาวกล่าวพลางยกมือขึ้นกอดอกพร้อมเชิดใบหน้าขึ้นสูง
“ทรงมีฉายาว่ากระไรพ่ะย่ะค่ะ”ลู่เหอถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“นางมารร้ายตำหนักบูรพา! เป็นไงล่ะ… เจ๋งไหม!” หญิงสาวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ในขณะที่องครักษ์ลู่เหอถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อะ… เออ... แคว้นเยว่มอบฉายานี้ให้แก่องค์หญิงอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหอทูลถามกลับไป
“อือ… ประมาณนั้น” เธอตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิด
ครั้นองครักษ์ลู่เหอได้ยินเช่นนั้นมีอันต้องเงียบงันไปชั่วขณะก่อนจะกราบทูลกลับไป
“เรื่องฉายาขององค์หญิงที่ได้รับจากแคว้นเยว่อย่าทรงมีรับสั่งกับผู้ใดอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเฉินวาวาได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที
“ทำไมละลู่เหอ! ฉายาของข้าที่ได้รับมันไม่ดีอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้
องครักษ์หนุ่มส่ายหน้าไปมาติดๆ กันพร้อมเอ่ยขึ้น
“มิดีแก่พระนางอย่างยิ่งยวดเพราะฉายาที่ทรงได้รับนี้ หมายถึงปีศาจและเหล่ามารร้ายที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ คนโบราณเล่ากันว่ามีเทือกเขาซึ่งเรียกว่าหุบเขาปีศาจ เชื่อมต่อระหว่างดินแดนมนุษย์และดินแดนปีศาจ เป็นที่สถิตของจอมมาร ราชาปีศาจทั้งปวงซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ในหุบเขานั้น หากพระนางเป็นนางมารร้ายนั้นก็หมายถึงทรงเป็นราชินีปีศาจของจอมมารพระองค์นั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ลู่เหอกราบทูลอธิบายกลับไปอย่างละเอียด
และนั่นทำให้เฉินวาวานั่งงงเป็นไก่ตาแตกครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เฮ้ย! ล้อเล่นนะ… ไม่มีหรอกจอมมารหรือราชินีปีศาจ นิทานปรัมปราหลอกเด็ก ข้าไม่เชื่อหรอก”หญิงสาวกล่าวพร้อมส่ายหน้าไปมาติดๆ กัน
“กระหม่อมกราบทูลให้ทรงทราบเพื่อจะได้ระวังว่าอย่าทรงมีรับสั่งเช่นนี้ออกไปอีก เพราะแต่ละแคว้นเชื่อเรื่องนี้มากและมีบางแคว้นนับถือจอมมารเป็นเทพเจ้า พระนางอยู่ในฐานันดรที่สูงศักดิ์หากมีผู้ใดมาตีความแปรเปลี่ยนว่าทรงเป็นราชินีปีศาจของจอมมาร จะต้องถึงแก่พระชนม์ชีพเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้ย!”หญิงสาวอุทานออกมาทันที
“ทรงระมัดระวังด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง อย่าทรงได้เอ่ยอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”ลู่เหอกราบทูลกำชับ
เฉินวาวาพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ดะ... ได้ ข้าจะไม่พูดอีก! ไม่พูดอีกเลยรับรอง สัญญา” หญิงสาวกล่าวพร้อมชูมือลูกเสือขึ้นมาทันที
“ก๊อก! ก๊อก!” เสียงเคาะด้านข้างตัวรถม้าดังขึ้นมาโดยพลัน
เสียงเคาะสองครั้งเป็นสัญญาณที่องครักษ์อารักขาทั้งสี่นายที่อยู่ด้านนอกบอกว่าถึงคิวตรวจค้นแล้ว พร้อมองครักษ์อารักขาอีกสองนายเดินล่วงหน้าให้เข้าตรวจค้นเป็นรายบุคคลเพื่อแยกจำนวนออกจากหกให้เหลือเพียงสี่มิให้รวมตัวกัน เสียงองครักษ์ลู่เหอกราบทูลออกมาทันใด
“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มกล่าวพร้อมถวายคำนับ ก่อนจะรีบลุกจากที่นั่งของตนไปนั่งเคียงข้างเฉินวาวาเพื่อสวมบทบาทสามีที่ได้รับ พลางเปิดผ้าม่านเพื่อแอบสังเกตการณ์
“หยุด!!!” เสียงทหารหน้าประตูเมืองเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าเดินทางมาจากที่ใด” ทหารยามประตูเมืองเอ่ยถาม
“พวกข้ามาจากเมืองเทียนจิ้น นายท่านของข้าพาฮูหยินมาเยี่ยมน้องสาวที่แต่งงานมาอยู่ที่นี่ขอรับ” ทหารอารักขาที่อยู่ด้านนอกกล่าวอธิบาย
“แล้วนี่พวกเจ้ามากันกี่คน” ทหารคนดังกล่าวเอ่ยถามกลับมา
“มากันสี่คนขอรับ มีนายท่านและฮูหยินแล้วก็ข้าและเพื่อนของข้าซึ่งเป็นบ่าวคอยติดตามรับใช้”
ทหารหน้าประตูเมืองหันกลับมาถามเพื่อนทันที
“ข่าวจากด่านตรวจค้นเมืองเทียนจิ้นที่แจ้งมาบอกว่ากลุ่มคนต้องสงสัยที่ชินอ๋องทรงติดตามมีอยู่กี่คนนะ” ทหารที่คล้ายเป็นหัวหน้าเอ่ยถามลูกน้องของตน
“รายงานมาว่ามีทั้งหมดหกคนเป็นชายห้าหญิงหนึ่งขอรับ และรู้สึกว่าลักษณะเด่นของหญิงผู้นั้นจะสวมหน้ากากทองคำปิดบังใบหน้าครอบซีกขวาทั้งหมด” ทหารคนดังกล่าวเอ่ยตอบกลับไป
“อ่อ... ถ้าเช่นนั้นแค่ตรวจค้นธรรมดาก็พอไม่ต้องนำออกมาจากรถม้าตรวจเป็นรายบุคคลก็ได้”
ถ้อยคำของทหารหน้าประตูเมืองทำให้ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“อีตาอ๋องบ้าอำนาจรู้ได้ยังไงว่าเราสวมหน้ากากทองคำ! เป็นผู้วิเศษล่วงรู้ทุกอย่างเลยอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ
หน้ากากทองคำถูกปลดออกจากใบหน้าของเธออย่างรวดเร็วเมื่อผ้าม่านที่บังรถม้าถูกเปิดขึ้น พร้อมทหารรักษาการณ์ของประตูเมืองโผล่หน้าเข้ามาสำรวจก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสตรีสาวที่มีความงดงามผิดแปลกไปจากสตรีทั่วไปยิ่งนัก แต่กลับกำลังตั้งครรภ์ซึ่งมีขนาดใหญ่มากเลยทีเดียว นั่งอยู่บนรถม้าก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ รถคันดังกล่าวอีกครั้ง พร้อมเอ่ยขึ้น
“ฮูหยินของเจ้าตั้งครรภ์แฝดอย่างนั้นหรอกรึ!” ทหารหน้าประตูเมืองเอ่ยถามเมื่อเห็นส่วนท้องที่เฉินวาวานำหมอนมายัดใส่เอาไว้จนใหญ่ล้ำหน้าออกมามาก
ลู่เหอหันกลับไปมองส่วนที่ยื่นออกมาพลางยกมือสัมผัสลงบนท้องที่เป็นหมอนพลางลูบขึ้นลูบลง
“มิใช่ครรภ์แฝด ในท้องฮูหยินข้ามีเพียงคนเดียว แต่มิรู้เหตุใดจึงท้องใหญ่ยิ่งนัก” ลู่เหอตอบกลับไปอย่างแนบเนียน
“อ่อ... อย่างนั้นรึ” ทหารคนดังกล่าวเอ่ยออกมาเบาๆ
ในขณะที่เฉินวาวายกพัดขึ้นโบกไปมาเบาๆ พลางยกมือวางไว้บนหมอนที่ยัดไว้ในท้องราวสตรีครรภ์แก่ด้วยความสบายใจ มาดนางพญายังไม่ทิ้งไปไหนคงอยู่เช่นเดิม ใบหน้างามลึกล้ำเชิดขึ้นสูงพร้อมแย้มยิ้มออกมาบางๆ จนทหารยามคนดังกล่าวมีอาการกลัวเกรงกับการวางมาดของเธอ
ผ้าม่านถูกปิดลงตามเดิมพร้อมเสียงดังก้องตามติดมา
“ผ่าน!!!” เสียงอนุญาตให้รถม้าคันดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองเทียนฮุย ท่ามกลางความโล่งใจของทุกฝ่าย
“เฮ้อ!” เฉินวาวาถอนหายใจออกมาทันทีที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนผ่านเข้าประตูเมืองมาอย่างช้าๆ
องครักษ์ลู่เหอรีบลุกออกจากที่นั่งดังกล่าวทันทีพร้อมถวายคำนับองค์หญิงของตนเป็นการขออภัย
“ผ่านด่านแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ลู่เหอกล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงของตนทันที
แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาเห็นพระพักตร์งดงามลึกล้ำอย่างแปลกประหลาดขององค์หญิงเยว่วาวาไร้สิ้นรอยอัปลักษณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำแต่อย่างใดปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มได้แต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย จนเฉินวาวาผิดสังเกต
“ลู่เหอ! ลู่เหอ! นี่เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงจ้องหน้าข้าแบบนี้” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ
“นี่เจ้าอย่าบอกนะว่ายังไม่ชินกับรอยอัปลักษณ์ที่อยู่บนหน้าข้า อันที่จริงก็เห็นจนชินตาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงขององครักษ์ลู่เหอตอบกลับมา
“มะ... ไม่ชินพ่ะย่ะค่ะ… พระพักตร์ขององค์หญิงตอนนี้มะ... ไม่มีรอยอัปลักษณ์แล้ว”
“หา!” เฉินวาวาอุทานเสียงหลงขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น