“เจ้าบอกนางแล้วหรือเรื่องจะตบแต่งอนุ” ซูซื่อถามบุตรชาย ไม่คิดจะขัดขวางเพราะรู้ว่าดีโจวปิงหยูผูกใจรักกับลูกสาวคหบดีซุนฉาง แต่อย่างไรหลี่ช่านเย่ก็เป็นเมียแต่ง จะทำสิ่งใดล้วนควรปรึกษาบอกกล่าว ถือว่าเป็นการให้เกียรติซึ่งกัน
แต่งภรรยาเข้ามาเพิ่มก็ดี นางจะได้มีหลานให้เลี้ยงเยอะๆ ที่จวนนี้ค่อนข้างเงียบเหงาไร้สีสัน หากมีเด็กน้อยวิ่งเล่นในจวนคงคึกคักน่าดู คราวก่อนได้เชิญหมอเจิ้ง หมอประจำตระกูลมาตรวจร่างกายหลี่ช่านเย่แล้ว พบว่านางมดลูกเย็น อาจทำให้มีบุตรยาก ซูซื่อจึงอดกังวลไม่ได้ บุตรชายกำลังก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ภายภาคหน้าอาจมีตำแหน่งใหญ่โต ชื่อเสียงลาภยศก็จะตามมา พาให้ตระกูลโจวมั่งคั่ง ดังนั้นจึงควรมีบุตรไว้สืบสกุลให้มาก
“บอกแล้ว ที่เหลือฝากท่านแม่จัดการด้วย” โจวปิงหยูหมายถึงเรื่องเตรียมงานมงคล ส่วนเรือนอี้ถงต่อเติมเสร็จแล้ว เหลือก็เพียงตกแต่งอีกนิดหน่อยเท่านั้น
“ไม่เร็วไปหน่อยหรือเรื่องแต่งอนุ เหตุใดไม่รอให้เย่เอ๋อร์ตั้งครรภ์เสียก่อน” โจวหยวนกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ยกชาขึ้นจิบพลางเหลือบมองบุตรชายไปด้วย
“ช้าไปด้วยซ้ำ”
ซูซื่อมองหน้าสามีสลับมองหน้าบุตรชายแล้วถอนหายใจ ทั้งคู่เริ่มไม่ลงรอยกันตั้งแต่โจวปิงหยูยืนยันจะแต่งซุนซูหนิงเข้าจวนแล้ว โจวหยวนยังยืนยันความคิดเดิมว่าสะใภ้สกุลโจวต้องเป็นบุตรีขุนนางเท่านั้น ทั้งหมดก็เพื่ออำนาจบารมีทางการเมือง แม้สกุลหลี่ไม่ฝักใฝ่เรื่องการเมือง แต่การเกี่ยวดองกับสกุลหลี่ก็ทำให้คนเข้าหามาก ส่วนบุตรสาวพ่อค้าวาณิชย์จะมีประโยชน์อันใดกับเรื่องในราชสำนัก
ครั้งนั้นโจวหยวนทราบข่าวจากคนใกล้ชิดว่าฮ่องเต้จะเรียกบุตรชายเข้าเฝ้าเพื่อพระราชทานรางวัลสำหรับขุนนางดีเด่น จึงวานให้ฉีกงกงช่วยกราบทูลขอพระราชทานสมรสแก่บุตรตน ใครจะคิดว่าบุตรสาวของหลี่หลางจะมาเป็นลูกสะใภ้
โจวปิงหยูทราบเรื่องนี้เข้าก็โกรธบิดา มีปากมีเสียงทะเลาะกันใหญ่โต สุดท้ายก็หาทางออกร่วมกันได้ โจวปิงหยูยอมแต่งกับบุตรสาวสกุลหลี่แต่โดยดี แต่บิดาก็ต้องยอมให้เขาแต่งซุนซูหนิงเข้าจวนเช่นกัน แต่ก็มีข้อตกลงจากผู้เป็นบิดาอีกว่าต้องหลังจากแต่งหลี่ช่านเย่แล้วหกเดือน
“กลับบ้านเดิมคราวนี้ เจ้าก็ไปกับนางด้วย ไปไหว้พ่อตา ให้เขาเอ็นดูเจ้า” โจวหยวนมิสนคำประชดบุตรชาย
โจวปิงหยูได้ฟังแล้วแค่นหัวเราะ ก่อนจะขอตัว หากอยู่ต่อเกรงว่าจะต่อคำกันยืดยาว
ถึงวันกำหนดที่หลี่ช่านเย่ต้องเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม เดิมทีโจวปิงหยูจะไปด้วย แต่สุดท้ายก็มิอาจไปได้ เขาให้เหตุผลว่ามีงานด่วนต้องเร่งจัดการ หลี่ช่านเย่ก็เข้าใจแต่โดยดี
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงจวนสกุลหลี่ ป้ายจวนประดับทองเด่นสง่าเป็นที่คุ้นตา สตรีตรงหน้าก็เช่นกัน
“ท่านแม่” หลี่ช่านเย่รีบคำนับมารดา ใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข
“เย่เอ๋อร์ ลูกสาวข้า แม่คิดถึงเจ้ายิ่ง ไม่มีเจ้าแล้วที่จวนเงียบเหงานัก” หลิวซื่อระบายยิ้ม ทอดสายมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ยกมือลูบใบหน้านั้นด้วยความอาทร เห็นนางดูมีความสุขผู้เป็นแม่ก็สบายใจ
“เช่นนั้นข้าไม่กลับจวนสกุลโจวแล้วนะเจ้าคะ”
“อย่าพูดอย่างนั้น” แม้รู้ว่าบุตรสาวเย้าหยอกเล่น แต่ก็อดปรามไม่ได้ “แล้ว...”
“ท่านพี่มาด้วยไม่ได้ มีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการเจ้าค่ะ”
“อ้อ” หลิวซื่อพยักหน้า แล้วชวนบุตรสาวเข้าจวน ยังมีเรื่องพูดคุยกันอีกมาก
หลี่ช่านเย่มีพี่ชายอยู่หนึ่งคนนามว่า หลี่หลั่วอิน ตอนนี้เป็นเจ้าปกครองสำนักไท่จง สำนักศึกษาชื่อดังแห่งต้าลั่ว ตบแต่งภรรยาแล้วนามว่า เหอรั่วเยี่ยน มีบุตรด้วยกันสามคน
หลังพูดคุยกับมารดาจนบ่ายคล้อยจึงขอตัว หลี่ช่านเย่แวะไปหาพี่สะใภ้และหลานที่เรือน ซึ่งเป็นจังหวะที่เหอรั่วเยี่ยนกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี
“พี่รั่วเยี่ยน จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“อ้าว เย่เอ๋อร์ ข้าว่าจะไปดูผ้าที่หอเซวียนสือเสียหน่อย เอามาไว้ตัดชุดให้อาซื่อ ไม่นึกว่าเจ้าจะแวะมาตอนนี้” เหอรั่วเยี่ยนวางมือบนหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้น หลี่ช่านเย่จึงรู้ทันทีว่าพี่สะใภ้กำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สี่ พึ่งได้ข่าวพี่สะใภ้คลอดลูกเมื่อต้นปีนี้เอง พี่ชายนางช่างขยันเสียจริง
“กี่เดือนแล้วเจ้าคะ” หลี่ช่านเย่ถาม รู้สึกยินดียิ่งกับพี่ทั้งสอง
“สี่เดือนแล้ว ว่าแต่เจ้าเล่า เมื่อไรจะมีบ้าง”
รอยยิ้มบนหน้าค่อยๆ เจื่อนจาง นัยน์ตาหม่นแสงเศร้าสร้อย เหอรั่วเยี่ยนเห็นเช่นนั้นก็ทำสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองพูดสิ่งใดผิดไปหรือไม่ จึงตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง “หากเจ้าว่างก็ไปช่วยข้าเลือกผ้าหน่อยเป็นไร”
หลี่ช่านเย่รีบพยักหน้าตอบรับทันที
หลังจากเลือกซื้อผ้าเสร็จ ได้ผ้ากันมาหลายพับ เหอรั่วเยี่ยนชอบตัดชุดให้ลูกๆ เอง มีเยอะจนใส่ไม่หมด ส่วนหลี่ช่านเย่ก็เลือกผ้าไปฝากฮูหยินผู้เฒ่าและแม่สามีด้วยเช่นกัน ผ้าที่นี่มาจากตงฉิ่งคุณภาพดีทีเดียว
เหอรั่วเยี่ยนพาหลี่ช่านเย่แวะดื่มชาที่โรงเตี๊ยมหงเซ่อก่อนกลับจวน โชคดีที่ชั้นบนยังเหลือห้องว่าง
“เย่เอ๋อร์ เจ้าดูมีเรื่องกังวลใจ ระบายให้ฟังข้าได้นะ” เหอรั่วเยี่ยนแอบจับสังเกตสีหน้าน้องสาวมาตลอด นางดูไม่สดใสเท่าไร คล้ายมีเรื่องทุกข์กังวลใจ
“พี่รั่วเยี่ยน ตอนแต่งงานกับพี่ข้า ตอนนั้นท่านรู้สึกรักชอบเขาหรือไม่”
“ตอบตามจริงก็ไม่ แต่อยู่ด้วยกันไปก็รักกันเอง ชีวิตผู้หญิงก็แบบนี้ มีสิทธิ์เลือกอะไรเองได้บ้าง ที่ข้าแต่งกับหลั่วอินก็เพราะผู้ใหญ่เห็นชอบว่าเราเหมาะสมกัน ตัวข้านั้นนับว่าโชคดีที่สามีและครอบครัวสามีล้วนเป็นคนดี แต่ก็มีผู้หญิงอีกมากที่โชคร้าย ไม่เพราะสามีก็บ้านสามี อ้อ ไม่ก็ภรรยามากน้อยของสามี แล้วเจ้าเล่า พวกเขาไม่ดีกับเจ้าหรือ” คำถามของหลี่ช่านเย่ทำให้นางพอจะเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงดูเศร้าๆ
หลี่ช่านเย่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกเขาล้วนดีกับข้าเจ้าค่ะ”
เหอรั่วเยี่ยนพยักหน้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่อยากระบายทุกข์จึงไม่เซ้าซี้ ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกชาขึ้นชื่อและขนมอีกสองสามอย่างมาให้ ทั้งสองนั่งอยู่ไม่นานก็พากันกลับ เย็นมากแล้ว สามีและท่านพ่อคงกลับถึงจวนแล้ว
จังหวะที่เดินออกมารอขึ้นรถม้าที่หน้าโรงเตี๊ยม สายตาหลี่ช่านเย่ก็เหลือบไปเห็นพ่อบ้านจางกับชายแปลกหน้าอีกสองคน ชายสองคนนั้นแต่งตัวมอซอเสื้อผ้าขาดวิ่น ผู้ชายที่ตัวสูงกว่าใครดูคุ้นหน้ามาก หลี่ช่านเย่เพ่งมองแล้วมองอีกจนพวกเขารู้ตัว พ่อบ้านจางหันมาเห็นฮูหยินน้อยเข้า จึงจำต้องเดินเข้ามาทักทาย
“พ่อบ้านจางมาทำอะไรที่นี่” หลี่ช่านเย่ถามอย่างสงสัย มองเลยไปที่ผู้ชายสองคนข้างหลัง
“อ้อ ข้ามาซื้อทาส เดี๋ยวก็กลับแล้วขอรับ”
หลี่ช่านเย่กำลังจะถามว่าเหตุใดถึงมาซื้อไกลนัก แต่ยังมิทันได้เปิดปากถาม พี่สะใภ้ก็เรียกให้กลับกันได้แล้ว