บทนำ
บ้านมหาดิเรกพงศ์พันธ์
เช้าวันเสาร์ เวลา 07.30 น. บนโต๊ะรับประทานอาหารไม้สักขัดเงา สมาชิกภายในบ้านมานั่งพร้อมเพรียงกัน หัวโต๊ะคือ คุณหญิงเดือนแข มหาดิเรกพงศ์พันธ์ เยื้องซ้ายมือคือบุตรชายคนโตอย่างธีร์ธวัช หรือธีร์ ชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปี ซึ่งรับหน้าที่ดูแลงานในไร่ทั้งหมด เยื้องขวามือคือบุตรชายคนเล็กอย่างคามินทร์ หรือคราม อายุอานามยี่สิบปลาย ซึ่งชายหนุ่มจะดูแลในส่วนของบริษัทส่งออกปาล์มน้ำมัน
ครั้นทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย นิลรดา อนาคินทร์ สาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดปี ก็ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารเช้าอย่างคล่องแคล่วเพราะเธอทำจนชิน เนื่องจากทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะต้องเข้าครัวทำอาหาร เสิร์ฟอาหาร ถูบ้าน ซักผ้า ทำทุกๆ อย่าง เพราะคุณๆ ทั้งหลายในบ้านหลังนี้เป็นผู้มีพระคุณต่อเธอและมารดา และแม้นว่าตอนนี้มารดาจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ว่าคุณๆก็ยังเมตตาเธอเสมอมา
และที่ได้เล่าเรียนจนถึงระดับอุดมศึกษาก็เพราะคุณท่านอุปการะ แต่ทว่าตอนนี้คุณท่านที่เธอเคารพรักไม่ต่างจากบุพการีก็ได้เสียชีวิตแล้ว แต่ในบ้านก็ยังมีคุณหญิงและคุณๆ ทั้งสองที่เธอต้องคอยรับใช้
นิลรดาตักข้าวต้มกุ้งใส่ชามคุณหญิงและคามินทร์เรียบร้อย จะเหลือก็แต่ชามของธีร์ธวัช หญิงสาวจึงเดินอ้อมมาหา ขณะเดียวกันพลันเผลอสายตามองสบตากับนัยน์ตาคู่คมของเขาเข้า และสิ่งที่ได้รับกลับมา คือ แววตาดุกระด้าง ที่เห็นแล้วเด็กสาวต้องก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้แล้วตักข้าวต้มให้
ด้านคนอารมณ์เสียแต่เช้าเพ่งสายตาคมจ้องมองเด็กสาวอย่างนึกรำคาญ เห็นใบหน้านวลงามเหมือนขยาดหวาดหวั่นตลอดเวลา ไหนจะเรือนกายที่สั่นระริก เห็นแล้วโคตรรำคาญตาชะมัด! ธีร์ธวัชชักสีหน้าใส่กอรปกับที่นิลรดาตักข้าวต้มใส่ชามเสร็จพอดี แต่มิรู้อะไรทำให้เธอซุ่มซ่าม มือเล็กเผลอปัดไปโดนชามข้าวต้มของเขาเข้าเต็มๆ
เพล้ง!
“ว้ายยย!” เสียงหวานของเด็กสาวหวีดร้องพร้อมรีบวางชามข้าวต้มที่ถืออยู่ในมือ ไว้บนโต๊ะข้างๆ ใบหน้านวลงามซีดเซียวเป็นสีกระดาษ
“เวรชิบ!” ธีร์ธวัชสบถดังลั่น! ลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูง ด้านคุณหญิงเดือนแขและคามินทร์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน รีบวางช้อนแล้วเข้ามาดู
“คุณธีร์คะ เดี๋ยวนิลไปเอาผ้ามาเช็ดให้นะคะ” มือเล็กหยิบผ้าผืนสีขาวสะอาดหมายจะเช็ดให้ ทว่าคนโมโหสุดขีดนี่สิ!
“ไม่ต้องมายุ่ง ยัยเด็กซุ่มซ่าม!” พูดจบเร่งสืบเท้าตรงไปยังบันไดมุ่งหน้าสู่ห้องส่วนตัวชั้นบน
เมื่อเป็นเช่นนั้นนิลรดาได้แต่หน้าเจื่อน เหงื่อไหลซิกๆ ด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธอโดนธีร์ธวัชดุตลอดมา จะมีก็แต่สี่ห้าปีคืนหลังที่เขาตีตัวออกห่าง พูดกับเธอนับคำได้ ตรงข้ามกับคามินทร์ที่ดูแลเอาใจใส่ คอยถามข่าวคราวเสมอ อาจจะเป็นเพราะว่าวัยของเธอและคามินทร์ใกล้เคียงกันกระมั้ง ไม่เหมือนกับอีกคนที่อายุห่างกันถึง 14 ปี!
เมื่อไม่รู้จะหันไปขอโทษใคร นิลรดาจึงเอี้ยวหน้ากลับมาทางคุณหญิงเดือนแขแล้วขยับเรียวปากกระจับขึ้นเอ่ย
“คุณหญิงคะ นิลขอโทษ นิลไม่ได้ตั้งใจนะคะ”
คุณหญิงเดือนแขไม่พูด เพียงแต่ปรายสายตามองแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ จะดุก็ดุไม่ลง ด้านนิลรดาเมื่อเห็นว่าคุณหญิงไม่กล่าวอะไร เด็กสาวจึงหันไปหาอีกคนพยายามขอโทษขอโพยและบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เธอไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น
“พี่ครามคะ นิลไม่ได้ตั้งใจ” หยดน้ำใสเอ่อคลอรอบเบ้า สาวเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเธอเป็นคนทำลายบรรยากาศยามเช้าบนโต๊ะอาหารนั่นเอง! ครั้นคุณหญิงและคามินทร์จะดุด่าว่ากล่าวสำทับอีกก็ไม่เป็นไร
ทางด้านคามินทร์ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงถอนหายใจ แล้วรั้งร่างบางสั่นระริกให้เดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร พร้อมบอกว่า “อืม พี่รู้ นิลมากินข้าวก่อนมา”
“แต่ว่า” เห็นเด็กสาวทำท่าจะดื้อ คุณหญิงเดือนแขจึงเอ่ยขึ้นบ้าง!
“นั่งลงแล้วกินข้าวซะ!”
“แต่นิล...” คนเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างดีรั้งแต่จะเอ่ยปฏิเสธ ทว่า...
“หรือว่าอยากให้ฉันดุเธอล่ะฮึ!” คุณหญิงเดือนแขทำขู่ ทว่าแท้จริงท่านก็เป็นห่วงเด็กนิลรดาเหมือนกัน ก็จะสาเหตุอันใดเล่าที่ทำให้เด็กสาวเกิดอาการอ่อนแรงเมื่อครู่ หน้าตาสะโหลสะเหลเหมือนคนอดหลับอดนอน ไม่บอกก็รู้ว่าแม่คุณอ่านหนังสือจนดึกดื่น ข้าวปลาไม่ยอมทาน แล้วจะให้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน!
และเมื่อหนหมดทางหลีกเลี่ยง นิลรดาจำต้องยอมทำตามที่คุณหญิงเดือนแขสั่ง “ค่ะ” ขานรับคำเบาๆ แล้วหย่อนสะโพกลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ คามินทร์
“พยอมตักข้าวต้มให้นิลรดาด้วย” สิ้นคำสั่ง พะยอมรีบทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว ทว่าคนดื้อไม่หยุดนี่สิ!
“นิลตักเองได้ค่ะ พี่พะยอมไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวนิล...” คุณหญิงวัยห้าสิบปลายได้ยินเช่นนั้นตวัดสายตาดุๆ ส่งให้ ตามมาด้วยคำสั่งห้วนจัด!
“อย่าดื้อนิลรดา”
“อะ เออ ค่ะ” นิลรดาน้อมรับคำอย่างว่าง่าย คามินทร์ที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ มารดาถึงกับยกมุมปากยิ้มเมื่อเห็นเด็กดื้อหมดลายพยศ ครั้นเจอคุณหญิงแห่งมหาดิเรกพงศ์พันธ์สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดและเอาจริง!
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยทั้งสามคนก็นั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน และครั้นเห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะชวนอึดอัด คุณหญิงเดือนแขจึงเอ่ยถามขึ้น
“แล้วสอบเมื่อไรล่ะนิลรดา เธอถึงได้อ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้” นั่นเพราะคุณหญิงรู้ดีว่านิลรดาเป็นเด็กขยัน ตั้งใจเรียน สมัยเป็นเด็กก็สอบได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนมาโดยตลอด พอช่วงมัธยมเด็กสาวก็สอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนดังในตัวจังหวัดได้ ทว่ามารดากลับไม่ยอมให้ไปเรียน เพราะไม่มีเงินส่งเสีย พอคุณท่านหรือคุณอธิกิจ สามีเธอรู้เข้า ท่านก็อุปการคุณ ส่งเสียให้นิลรดาได้เข้าเรียน โรงเรียนดังๆ จนกระทั่งสามารถสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของรัฐได้ แต่ว่ามารดาไม่ให้ไป นั่นเพราะว่าถ้านิลรดาไป ใครๆจะดูแลคุณท่านและคุณๆ เหตุผลข้อนี้ทำให้นิลรดาขัดมารดามิได้ สาวเจ้าจำต้องยอมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน แต่ว่าระบบการจัดการศึกษาก็เข้มข้นพอสมควร
“เริ่มสอบแล้วค่ะ” ตอบรับเบาๆ พลางก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตา เพราะกลัวจะโดนดุ ขณะเดียวกันกายบางก็ยังสั่นทุกครั้งที่คุณหญิงเอ่ยถาม ซึ่งอาการแบบนี้ทุกคนในบ้านจะเห็นจนชิน เพราะเป็นตั้งแต่เล็กจนโต
“แล้วคิดไว้บ้างหรือยัง... เรียนจบจะทำงานที่ไหน?” เอ่ยถามเสียงเรียบและติดห้วนกระด้างนิดๆ นิลรดาได้ยินคำถามแล้วคิดไปอีกมุมว่าเป็นคำถามเชิงไล่เธอออกจากบ้าน นั่นเพราะตอนนี้คุณท่านเองก็เสียแล้วจะมีใครมาสนใจ
เธอกับมารดาก็อาศัยชายคาบ้านหลังนี้มาร่วมยี่สิบกว่าปี และมารดาของเธอก็สิ้นบุญไปแล้วด้วย จึงไม่แปลกใจอะไรถ้าเจ้าของบ้านคนใหม่เขาจะถามเช่นนี้
และเธอเองก็เตรียมพร้อมรับมือแล้วเช่นกัน
“ก็มีคิดบ้างค่ะ แต่คุณหญิงไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้านิลเรียบจบนิลจะเก็บของย้ายออกไปแน่นอนค่ะ” ได้ยินคำตอบที่ออกมาจากเรียวปากเล็กรูปกระจับ คุณหญิงเดือนแขถึงกับฉุนกึก!
“ใครใช้ให้เธอพูดอย่างนั้นนิลรดา!” คุณหญิงแห่งมหาดิเรกพงศ์พันธ์ตวาดเสียงดังห้วนกร้าว ทำเอาสาวน้อยไหล่ห่อเข้าหากันตัวสั่นหน้าซีด กัดริมฝีปาก เตรียมพร้อมสำหรับการดุด่าว่ากล่าวหรือโดนลงโทษในครั้งนี้
“กะ ก็”
คุณหญิงถอนหายใจยาวพรืด พร้อมกับระงับความโมโหให้จมดิ่ง แล้วจึงขยับปากเอื้อนเอ่ยอย่างเด็ดขาด!
“ฉันไม่อนุญาตให้เธอออกไปไหนทั้งนั้น และถ้าเรียนจบก็เข้ามาทำงานที่บริษัทกับตาครามเขา ไม่ต้องไปสมัครงานให้เมื่อย เธอจำคำที่คุณท่านสั่งไว้ไม่ได้เหรอ”
“นิลจำได้ค่ะ แต่ว่า” ทำไมจะจำไม่ได้ในเมื่อคุณท่านสั่งเอาไว้ก่อนสิ้นใจ ว่าถ้าเธอเรียนจบให้มาทำงานที่บริษัทของท่าน ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกปาล์มน้ำมันขนาดใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ แต่จะให้เธออาศัยมหาดิเรกพงศ์พันธ์ไปตลอดชีวิตโดยไม่ขวนขวายอะไรเองน่ะหรือ...
คุณหญิงเดือนแขแลเห็นอาการของเด็กดื้อแล้วก็โมโหสุดๆ ไม่ได้ดังใจอะไรสักอย่าง จะว่านิลรดาเป็นเด็กพูดจาว่าง่าย เรียบร้อยฟังความก็จริง แต่ทว่าถ้าแม่คุณได้ดื้อรั้นขึ้นมาล่ะก็ หนักเอาการเช่นกัน พอเหลือบเห็นเด็กสาวทำท่าจะปฏิเสธ เสียงห้วนเด็ดขาดก็ตวาดตัดบทโดยทันที
“ไม่มีแต่! ถ้าเธอยังรักคุณท่าน และรักมหาดิเรกพงศ์พันธ์อยู่ล่ะก็ทำตามที่ฉันสั่งซะ!”
นิลรดาไม่แม้แต่จะอ้าปากขึ้นตอบ ไม่กล้าสบตา แม้กระทั่งหายใจแรงๆ ก็ยังยาก
“...”
เมื่อเห็นแม่คนดื้อหมดลายพยศ คุณหญิงเดือนแขจึงหันไปเอ่ยกับบุตรชายคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อ้อ! ตาครามอย่างไรแม่ก็ฝากเราดูตำแหน่งงานให้นิลรดาด้วยล่ะ”
“ครับ คุณแม่” ประธานบริษัทเอ็มพี(MP) กรุ๊ปจำกัด ขานรับ ก่อนจะหันมาเอ่ยถามกับเจ้าตัวเขาที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบเป็นหุ่นใบ้
“เราอยากทำงานตำแหน่งอะไรล่ะ” ตอนแรกกะว่าจะเงียบต่อ แต่พอเหลือบหางตาขึ้นมองดันปะทะเข้ากับแววตาดุๆ ของคุณหญิง ทำให้คนหวาดกลัวต้องขยับปากเรียวเล็กกระจับขึ้นเอ่ย
“ตำแหน่งอะไรก็ได้ค่ะ นิลทำได้หมดทุกอย่าง” ได้ยินคำตอบแม่คุณแล้ว ไมใช่คามินทร์ที่โมโห หากแต่เป็นคุณหญิงเดือนแขที่ปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าตอบเหมือนคนโง่สิ! อยากอยู่ตำแหน่งไหนก็บอกตาครามเขาไป ผลการเรียนเธอไม่ได้ยอดแย่มิใช่เหรอ!” ที่เธอพูดกับนิลรดาห้วนๆ นั่นเพราะว่าท่านไม่ชอบนิสัยขี้ขลาดขยาดกลัว อยากให้นิลรดาเป็นคนสู้คน ไม่ใช่คอยแต่ก้มหัวให้คนอื่น สิบปีก่อนเธอจำได้ว่านิลรดาโดนเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งมาโดยตลอด ใบหน้ากลมมีรอยข่วนตามประสาเด็ก จนกระทั่งเข้าเรียนประถม และคามินทร์เรียนมัธยม ทำให้มีคามินทร์คอยปกป้องเรื่อยมา
“ว่าไงล่ะ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถาม คนที่เขารักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง
“ให้นิลอยู่ฝ่ายบัญชีก็ได้ค่ะ” ก้มหน้าตอบอุบอิบ คามินทร์เห็นแล้วไม่อยากเซ้าซี้ให้มาก ประเดี๋ยวเธอจะโดนคุณหญิงแม่ของเขาดุจนไปแอบร้องไห้ขี้แยอยู่ในห้อง
“อืม เดี๋ยวพี่จะดูให้นะ”
“ขอบคุณค่ะ” ไม่เพียงพูดเปล่า หากแต่รีบยกมือเรียวกระพุ่มไหว้ขอบคุณทั้งคุณหญิงเดือนแขและคามินทร์
ในสายตาคุณหญิงนิลรดาเป็นเด็กน่ารัก แต่ติดจะอ่อนแอไปนิด ใครจะด่าจะว่าแม่คุณจำยอมทุกอย่าง สมัยเป็นเด็กเวลาอยู่บ้านจะถูกธีร์ธวัช ลูกชายคนโตของเธอดุเป็นประจำ แต่ดีหน่อยที่ธีร์ธวัชไปเรียนต่อเมืองนอกทำให้ช่วงนั้นนิลรดาไม่โดนดุและไม่ค่อยได้เจอกันหลายปี และเมื่อกลับมาเมืองไทยธีร์ธวัชเองก็ทำงานที่ไร่ประจำ จวบเหมาะกับช่วงนั้นที่นิลรดาดูแลคุณท่านธนกิจที่เริ่มไม่สบายเพราะอายุมากขึ้น ส่วนมารดาของเด็กสาวนั้นมาสิ้นบุญเมื่อตอนที่นิลรดาเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองด้วยโรคร้ายชนิดเฉียบพลัน อย่างที่ไม่มีใครตั้งตัว โดยเฉพาะนิลรดาที่เหงาและเศร้าซึมนานร่วมปี กว่าจะทำใจได้ และถัดจากนั้นประมาณปีเศษคุณท่านอธิกิจก็มาจากไปอีกคนด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน นิลรดาจากที่เป็นคนนิ่งเงียบอยู่แล้ว ก็แทบจะไม่ปริปากพูดคุยอะไรเลย เว้นแต่มีคนถาม แม่คุณถึงขยับปากเอ่ยตอบ
เมื่อเด็กดื้อสิ้นฤทธิ์คามินทร์มิวายหันมายิ้มให้กับมารดาซึ่งท่านเองก็ดูท่าจะพอใจ เมื่อนิลรดายอมทำตามที่เธอต้องการทุกอย่าง...