หลังจากที่ท่านแม่เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ลี่อินก็เข้าใจได้ว่าหมู่บ้านชุนไห่ของนางอยู่ในเมืองที่มีชายฝั่งทะเลและมีท่าเรือขนาดใหญ่ ชาวต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามาพักในเมืองอีกด้วย และเมืองไห่หนานยังเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของแคว้นเสวี่ย ซึ่งแคว้นเสวี่ยเป็นแคว้นเดียวบนแผ่นดินนี้ที่มีพื้นที่อยู่ติดทะเล การค้าจึงคึกคักมากมีทั้งจากแคว้นข้างเคียงและคนต่างชาติ
การค้าที่ตอนแรกคิดว่าอาจจะยากเพราะความตั้งใจของลี่อินอยากจะเอาของกินในเกมมาขายเพื่อความแตกต่าง แต่เพราะเป็นของที่ผู้ผลิตเกมสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่พวกเขารู้จัก ของส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารต่างชาติ แต่ถ้าเป็นเช่นที่ท่านแม่เล่าให้ฟังนางก็อาจจะพอมีหนทางค้าขายแล้ว
"จริงสิท่านแม่ ท่านตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นหรือไม่เจ้าคะ" ลี่อินมองเห็นผ้าพับในคลังเก็บของจึงนึกได้ว่าเสื้อผ้าของทุกคนก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว
"เป็นสิ เจ้ามีผ้าเช่นนั้นหรือ" ปรกติเสื้อผ้าของคนในบ้านลี่ถิงก็เป็นคนตัดเย็บเพราะซื้อผ้าพับมาตัดเองมันถูกกว่าซื้อชุดสำเร็จ เพียงแต่หลังบุตรสาวล้มป่วยจึงต้องนำเงินไปจ่ายค่าหมอกับซื้อยาบำรุง เงินที่ไว้ใช้จ่ายในบ้านก็น้อยลง การที่จะซื้อผ้าสักผืนจึงเป็นเรื่องยาก เสื้อผ้าของคนในบ้านจึงทั้งเก่าและมีรอยปะชุนเต็มไปหมด แต่นางก็พยายามซักให้มันดูสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ
"เจ้าค่ะลูกมีผ้าพับแบบนี้แค่แบบเดียว ผ้าฝ้ายหกพับออกมา" ลี่อินจึงเรียกผ้าเพียงอย่างเดียวที่เครื่องผลิตมี ผ้าฝ้ายจำนวนหกพับออกมาวางเรียงกัน ซึ่งสีของผ้าก็เป็นสีพื้นทั่วไปคือสีน้ำตาล สีเทา และสีน้ำเงิน ความจริงในคลังมันก็มีเสื้อผ้าสำเร็จอยู่ด้วยหลายแบบ เพียงแต่นางไม่แน่ใจว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน เอาไว้รออยู่คนเดียวค่อยเรียกออกมาดูถ้าใช้ได้ค่อยเอาให้ทุกคนเพิ่ม
"อืม เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดีทอได้ละเอียดและยังนุ่มมือมากอีกด้วย สีผ้าไม่โดดเด่นเช่นนี้ครอบครัวเราตัดเย็บใส่ได้" ลี่ถิงเองตอนแรกก็กังวลว่าผ้าที่บุตรสาวนำออกมาจะดูดีเกินฐานะเหมือนพวกของอื่นๆ และพวกนางอาจจะนำมาสวมใส่ในตอนนี้ไม่ได้ แต่พอเห็นแล้วก็รู้สึกพอใจเพราะเป็นผ้าฝ้ายสีเรียบๆ เท่านั้น
"เอาล่ะเจ้านอนพักเถอะ แม่จะรีบตัดชุดมาให้เจ้าเป็นคนแรกเลย" ลี่ถิงพอเห็นผ้ามากมายเช่นนี้ก็อยากรีบตัดเย็บชุดให้ทุกคนใส่ เพราะมันก็นานมากแล้วที่ทุกคนไม่ได้สวมชุดใหม่เลย โดยเฉพาะสองแฝดที่ต้องสวมชุดเก่าของบุตรชายคนโตมาตลอด แต่ก็ยังไม่ลืมว่าต้องตัดให้บุตรสาวก่อนใคร
"ท่านแม่ถ้าอย่างไรตัดเผื่อให้ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยนะเจ้าคะ ตอนนี้พวกเราไม่อดอยากอีกต่อไปแล้ว และลูกก็จะทำให้ทุกคนไม่ต้องมีร่างกายผอมแห้งเช่นนี้อีก" ลี่อินบอกมารดาให้เผื่อขนาดขึ้นเพราะกลัวว่าถ้าตัดขนาดเดิมจะใส่ไม่ได้ เพราะต่อไปครอบครัวของนางทุกคนจะต้องได้กินอิ่มทุกมื้อ
"แม่เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะลี่อิน ขอบใจที่เจ้าฟื้นขึ้นมาและยังนำเรื่องดีๆ มาให้กับครอบครัวอีกด้วย" ลี่ถิงเองตอนแรกก็ลืมคิดถึงเรื่องเผื่อขนาดเสื้อผ้าไป พอบุตรสาวเอ่ยบอกจึงนึกได้ว่าต่อไปนี้ครอบครัวของนางไม่ต้องอดมื้อกินมื้อและไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอาหารกินอีกต่อไปแล้ว
"ท่านแม่ไม่ต้องขอบใจลูกหรอกเจ้าค่ะ เพราะเราคือครอบครัวเดียวกันนะเจ้าคะ" ตอนนี้ลี่อินเองก็รู้สึกว่าครอบครัวนี้คือครอบครัวของตนเองไปแล้ว และนางจะต้องทะนุถนอมและรักษาโอกาสที่ได้มาครั้งนี้เอาไว้ให้ดี
"ใช่แล้วเพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน เอาล่ะเจ้านอนพักเถอะบ่ายแล้ว" ลี่ถิงพยุงบุตรสาวให้นอนลงและห่มผ้าให้ ไม่รู้นางคิดไปเองหรือไม่ผ้าห่มที่บุตรสาวให้มาถ้าอากาศหนาวผ้าห่มจะอุ่น แต่ถ้าอากาศร้อนผ้าห่มจะเย็น ทำให้ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรนางก็ยังสามารถนอนห่มผ้าและหลับสนิทได้โดยไม่รู้สึกรำคาญเลย
"อาอินวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง" ตกเย็นหลังตงไห่กลับมาถึงบ้านเขาจะต้องแวะมาดูบุตรสาวก่อนทุกครั้ง และวันนี้พอเขามานั่งลงไม่นานบุตรสาวก็ตื่นขึ้น ทำให้เขารู้สึกโล่งใจเพราะเมื่อหลายวันก่อนเขาไม่เห็นนางตื่นขึ้นมาก็ให้รู้สึกหวาดกลัวว่าอาจจะสูญเสียนางไป
"ท่านพ่อท่านกลับมาแล้วเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ" ลี่อินเองก็รับรู้ได้ถึงความกังวลความห่วงใยจากบิดาผู้นี้ ในเมื่อตอนนี้นางเป็นบุตรสาวของเขาแล้ว การแสดงความห่วงใยต่ออีกฝ่ายนางจึงไม่ลังเลที่จะทำ
"ถึงพ่อจะเหนื่อยแค่ไหนกลับมาเจออาอินยิ้มให้เช่นนี้ทุกๆ วันพ่อก็หายเหนื่อยแล้ว ว่าแต่วันนี้พ่อได้กุ้งมาด้วยนะอาอินชอบกินใช่ไหม ตอนนี้แม่กำลังทำโจ๊กกุ้งให้อยู่ลูกรอก่อนนะ" ตงไห่ได้ยินคำถามห่วงใยและรอยยิ้มจากบุตรสาวก็ให้รู้สึกตื้นตันใจ ตอนนี้ครอบครัวได้กินอิ่ม กลางคืนนอนหลับสนิท บุตรสาวเพียงคนเดียวก็ร่างกายแข็งแรงขึ้นทั้งยังดูสดใส เขารู้สึกมีความสุขมากจริงๆ
"อิ อิ ยังเป็นท่านพ่อที่รู้ใจลูกที่สุด" ลี่อินก็พึ่งรู้ว่าเด็กน้อยลี่อินก็มีความชื่นชอบเหมือนกันกับตน อาหารโปรดของนางก็คือกุ้ง หรือถ้าในชาติก่อนนางเรียกตัวเองว่าเป็นพวกแพ้กุ้ง คือมีกุ้งที่ไหนนางพร้อมจะพุ่งไปฟาดเรียบทันทีนั่นเอง
"ก็พ่อรักอาอินมากที่สุดทำไมจะไม่รู้ละว่าลูกสาวของพ่อชอบกินอะไร เอาไว้รอเจ้าหายดี พ่อจะไปจับกุ้งมาทำกุ้งเผาแบบที่เจ้าชอบให้ดีหรือไม่" ตงไห่เห็นบุตรสาวออดอ้อนตนและยังสดใสมีชีวิตชีวาก็ให้รู้สึกดี
"ท่านพ่อดีที่สุด ลูกรักท่านพ่อที่สุดเลย" ลี่อินเองในเมื่อยอมรับว่าตอนนี้ตนเองคือเด็กน้อยลี่อินอายุแปดขวบ และคนคนนี้คือพ่อของตนเองก็ไม่คิดหวงคำพูดคำจาออดอ้อนอีกฝ่ายทันที
"อ่อ รักแต่พ่อคนเดียวไม่รักแม่แล้วสินะ" ลี่ถิงที่ยกข้าวเข้ามาให้บุตรสาว พอเห็นท่าทางของสองพ่อลูกก็ให้รู้สึกหมั่นไส้ปนเอ็นดูบุตรสาวของนางรู้จักออดอ้อนเช่นผู้อื่นแล้ว ไม่เอาแต่ทำหน้าตาเศร้าสร้อยไร้ชีวิตชีวาเช่นเมื่อก่อน
"ท่านแม่ลูกก็รักเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อจะทำกุ้งเผาให้ลูกกินจึงรักท่านพ่อมากกว่านิดหน่อย อิ" ลี่อินเองก็มิได้เก็บอาการของตนอีกต่อไป ตอนนี้นางเป็นเด็กน้อยอายุแปดขวบจะประจบประแจงออดอ้อนใครอย่างไรก็ได้และนี่ก็คือคนในครอบครัวของนางเอง
"มากินข้าวเถอะ ช่วงนี้เจ้ากินได้เยอะ นอนได้เยอะ และก็ดูแข็งแรงขึ้นมาก วันพรุ่งนี้แม่จะพาออกไปเดินเล่นที่ลานหน้าบ้านดีไหม" ลี่ถิงเองก็ชื่นชอบที่บุตรสาวเป็นเช่นนี้ จึงไม่คิดทำให้บรรยากาศดีๆ เช่นนี้เสียไป
"ดีเจ้าค่ะท่านแม่ของลูกดีที่สุด ลูกรักท่านแม่ที่สุด" ลี่อินเองก็ไม่คิดหวงคำหวานเช่นกัน
"อ้าวตอนนี้ท่านแม่ดีที่สุดเสียแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ตงไห่เองก็ชอบที่บุตรสาวดูแข็งแรงและร่าเริงสดใสขึ้นมากเช่นกัน
"พี่ใหญ่กับน้องๆ ล่ะเจ้าคะ ทำไมลูกไม่เห็นเลย" ลี่อินระหว่างที่ตักข้าวกินด้วยตนเอง เพราะไม่ยอมให้มารดาตักป้อนให้ก็เอ่ยถามถึงพี่น้องคนอื่นๆ
"กำลังกินข้าวกันอยู่ ประเดี๋ยวกินเสร็จก็คงมา" ลี่ถิงเป็นผู้เอ่ยตอบพร้อมกับคอยดูบุตรสาวที่ดื้อดึงจะกินข้าวด้วยตนเองและดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำได้ดีทีเดียว
"แล้วท่านพ่อกับท่านแม่กินข้าวแล้วหรือยังเจ้าคะ ถ้ายังก็ไปกินก่อนเถอะลูกกินเองได้" ลี่อินได้ฟังก็รู้ว่านี่เป็นเวลาอาหารเย็นของครอบครัวก็นึกเป็นห่วงพ่อกับแม่ขึ้นมา
"แม่กินแล้วเหลือแต่พ่อของเจ้านั่นแหละ" ลี่ถิงด้วยต้องเข้ามาดูแลบุตรสาวจึงกินอาหารก่อนคนอื่นๆ
"ถ้าอย่างนั้นพ่อไปกินข้าวก่อน ประเดี๋ยวพี่ชายกับน้องชายของเจ้าจะกินอาหารอร่อยๆ หมดเสียก่อน" ตงไห่เองเห็นบุตรสาวกินข้าวด้วยตนเองได้ก็วางใจ และออกไปกินข้าวพร้อมกับบุตรชายทั้งสาม
"อ้าว..อาหารใกล้จะหมดแล้วหรือเจ้าคะท่านแม่" ลี่อินได้ฟังบิดาบอกว่าอาหารจะหมดก็ให้ตกใจ
"ยังหรอก พ่อของเจ้าก็พูดไปเรื่อย อาหารมีมากขนาดที่เมื่อก่อนเรากินกันได้ทั้งสัปดาห์เสียอีก" ลี่ถิงได้แต่ขบขันกับอาการตกใจของบุตรสาว ของที่ได้มายังสามารถกินได้อีกหลายมื้อและมันก็มากกว่าที่เมื่อก่อนพวกนางใช้กินกันทั้งเดือนด้วยซ้ำไป
"เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอของลูกจึงทำให้เมื่อก่อนทุกคนต้องลำบากขนาดนี้" ลี่อินได้ยินก็โล่งใจเพราะร่างกายของนางทำให้เงินที่บิดาหามาได้หมดไปกับค่ารักษาและค่ายาของนาง ไม่เช่นนั้นครอบครัวนี้ก็คงไม่ยากจนขนาดนี้ และทุกคนยังยอมทนลำบากเพื่อให้นางได้แข็งแรงขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี คิดดูแล้วกันว่าพวกเขารักนางมากขนาดไหน
"ไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าเป็นลูกของพ่อกับแม่ต่อให้ต้องลำบากมากกว่านี้ ถ้าพ่อกับแม่สามารถทำอะไรให้เจ้าได้ พ่อกับแม่ก็เต็มใจที่จะทำ" ลี่ถิงดึงบุตรสาวเข้ามากอดและเอ่ยปลอบโยน
"อ้าวทำไมแม่ลูกพากันร้องไห้เสียแล้วล่ะ แค่พ่อออกไปกินข้าวครู่เดียวต้องเสียใจกันขนาดนี้เลยอย่างงั้นรึ" ตงไห่เองก็ได้ยินที่ทั้งสองพูดคุยกัน แต่เขาไม่อยากเห็นบรรยากาศอันเศร้าสร้อยอีกแล้ว ตอนนี้ครอบครัวของเขาทุกคนกำลังมีความสุขจึงเอ่ยหยอกล้อสองแม่ลูกไปให้คลายเศร้า
"ท่านพ่อทำไมถึงคิดเข้าข้างตัวเองได้เช่นนี้เจ้าคะ" ลี่อินเงยหน้าออกจากอ้อมกอดของมารดาก็เบ้ปากให้ความหลงตัวเองของบิดา ใครเขาจะมาร้องไห้แค่เพราะท่านออกไปกินข้าวกันล่ะ
"ฮ่า ฮ่า อาอินไม่ต้องคิดมากนะลูก เรื่องที่ลูกร่างกายไม่แข็งแรงเช่นนี้ ถ้าจะมีใครผิดก็เป็นพ่อเองที่ในตอนนั้นไม่ดูแลลูกให้ดี เพราะฉะนั้นลูกไม่ต้องคิดมากไม่ว่าอย่างไรพ่อก็รักอาอินที่สุดรู้ไหม" ตงไห่เองก็ให้ขบขันกับท่าทางของบุตรสาวไม่รู้นางไปเอาไอ้ท่าเบ้ปากนั่นมาจากไหน ช่างดูน่าหมั่นไส้นักแต่ก็ยังอดเอ่ยปลอบใจอีกฝ่ายไม่ได้
"ท่านพ่อ ทำไมท่านลำเอียงรักพี่รองมากกว่าล่ะขอรับ ท่านต้องรักข้ากับพี่สามและก็พี่ใหญ่ด้วย" ลี่คังที่เข้ามาได้ยินก็โวยวายเสียงดังท่านพ่อจะรักแต่พี่รองได้ยังไงต้องรักพวกเขาด้วย
"ฮ่า ฮ่า ได้ๆ พ่อรักลูกๆ ทุกคนเลย แต่ก็รักพี่รองของเจ้ามากกว่าอยู่ดี" ตงไห่อุ้มบุตรชายคนเล็กขึ้นมาหยอกล้อ เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นของเจ้าตัวเล็กและทุกคนในครอบครัว
"พี่รองขอรับวันนี้ข้าเป็นเด็กดีมากท่านลุงอี้ยังเอ่ยปากชม เพราะฉะนั้นข้าขอรางวัลเป็นขนมแบบเมื่อเช้าได้ไหมขอรับ" ลี่คังที่บิดายอมปล่อยให้ลงมายืนบนพื้นได้ก็รีบวิ่งไปเกาะเตียงของพี่สาวเอ่ยขอขนมตามที่ตนวางแผนไว้ทันที
"อ้าวอาคัง ถ้าเจ้าขยันเรียนจนได้รับคำชมก็ถือว่าถูกต้องแล้ว แต่ทำไมถึงมาขอรางวัลกับพี่รองอีกล่ะ และอีกอย่างไม่ใช่แค่เจ้าได้รับคำชมคนเดียวพี่ก็ได้เหมือนกันนะ" ลี่คุนที่เห็นน้องชายพูดชมแต่ตนเองก็ให้ขัดใจเขาก็อยากกินขนมของพี่รองเหมือนกัน
"พี่สามหรือท่านไม่อยากกินขนมของพี่รอง" ลี่คังมีหรือจะไม่รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดคิดอะไรก็เอ่ยดักทันที
"อยากกินสิ" ลี่คุนเองก็ไม่คิดเก็บอาการเอ่ยตอบรับเสียงดัง
"ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าแผนการนักนะน้องสาม น้องเล็ก ได้พี่รองเห็นแก่ที่เจ้าทั้งสองตั้งใจเรียนจนได้รับคำชม ถ้าอย่างงั้นพี่รองก็จะให้รางวัลดีไหม" ลี่อินเห็นท่าทางของสองแฝดก็ให้รู้สึกเอ็นดู พวกเขาเป็นเด็กฉลาดทีเดียวถ้าได้รับการบำรุงอีกไม่นานคงน่าเอ็นดูมากกว่านี้
"ดีขอรับ/ดีขอรับ" ทั้งสองตอบรับเสียงดังพร้อมกัน