ตอนที่ 1 เพื่อนใหม่

1458 Words
เช้าวันหนึ่ง ณ โรงเรียนแสงตะวัน “นรินทร์ ตื่นได้แล้วลูก วันนี้เปิดเรียนวันแรกนะ” เสียงปลุกลูกชายตัวน้อยอายุเจ็ดขวบดังขึ้น คนเป็นแม่ยีผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาด้วยความเอ็นดู “...” คนถูกปลุกงัวเงีย ค่อย ๆ ลืมตามองหน้าแม่ของตนแล้วปิดตาหลับต่ออย่างง่ายดาย “ลูกจะไปสายตั้งแต่วันแรกไม่ได้นะ” คราวนี้คนเป็นพ่อเดินเข้ามาช่วยแกะร่างของลูกชายออกจากตุ๊กตาหมีตัวใหญ่แล้วบอกอีกว่า “ถ้าลูกไม่ไปเรียนวันนี้ ใบชาคงจะร้องไห้อยู่คนเดียวแน่เลย” ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างได้ นรินทร์ยิ้มน้อย ๆ ให้ผู้เป็นพ่อ “พ่อครับ ใบชาบอกว่าจะไม่ไปวันแรกเหมือนกัน” “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่าถ้าไม่ไปวันแรก ลูกก็จะเลือกนั่งตรงริมหน้าต่างไม่ได้นะ” แม่ของเขายังคงพยายามโน้มน้าวใจลูกชายตัวน้อยต่อ “วันนี้แม่เตรียมของว่างให้ด้วย ของโปรดลูกทั้งนั้นเลย แต่ถ้าลูกไม่ไปโรงเรียน วันนี้แม่จะให้กินแต่ผักทั้งวันนะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู” “แหยะ” นรินทร์ทำหน้าพะอืดพะอมส่ายหน้ายกใหญ่ ทำตาละห้อยแล้วรีบวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัวในทันที ครู่ต่อมาพ่อและแม่ก็ขับรถเก๋งสีดำคันใหญ่มาส่งนรินทร์ที่โรงเรียนเหมือนผู้ปกครองคนอื่น ๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งเสียงพูดคุยของคุณครูที่พยายามปลอบใจเด็กน้อยร้องไห้เพราะไม่อยากมาโรงเรียนและเสียงเจื้อยแจ้วของอีกหลายคนที่ได้เจอเพื่อนใหม่ เมื่อมาถึงห้องประจำชั้น นรินทร์มองเข้าไปด้านในตรงริมหน้าต่างแล้วโบกมือให้สาวน้อยคนหนึ่งอย่างอารมณ์ดี เขายืนยิ้มแป้นอยู่หน้าห้องเรียนเพราะเห็นว่าใบชากำลังนั่งรอเขาอยู่ข้างในจึงรีบหันไปบอกพ่อกับแม่ว่า “บ๊ายบาย” แล้วรีบวิ่งไปหาเพื่อนสนิทด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สงสัยวันนี้คงจะบอกว่าไม่ต้องรีบมารับกลับบ้านแล้วมั้งแบบนี้” เขาหันไปพูดกับภรรยาของตัวเองเพราะรู้นิสัยลูกชายเป็นอย่างดีพลางหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในโรงเรียนใหม่มากนักเพราะทั้งคู่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ขอแค่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างกัน การไปโรงเรียนก็สนุกมากที่สุดอยู่แล้ว นรินทร์และใบชาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล ตอนที่คิดว่าตัวเองต้องย้ายโรงเรียนก็โวยวายพ่อกับแม่เสียยกใหญ่ ประท้วงด้วยการไม่ยอมกินข้าวกินปลาเพราะไม่รู้ว่าเรียนจบอนุบาลสามแล้วต้องเข้าโรงเรียนชั้นประถมศึกษาต่อ “ให้ผมอยู่อนุบาลสามต่อไม่ได้เหรอครับ” นรินทร์ถามเสียงสั่นเครือ กระพริบตาปริบ ๆ น้ำตาคลอเบ้า “ไม่ใช่อย่างนั้นลูก” คนเป็นพ่อเป็นแม่จึงต้องใช้เวลาอยู่นานเพื่ออธิบายให้เขาเข้าใจ หลังจากนั้นอะไร ๆ ก็ง่ายไปหมด แม้นรินทร์และใบชาจะไม่มีปัญหาเรื่องย้ายโรงเรียนใหม่ แต่เด็กน้อยอีกหลายคนไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในขณะที่คู่เพื่อนซี้นั่งดูหนังสือนิทานภาพพลางหัวเราะสนุกสนาน เด็กชายตัวน้อยผมสีน้ำตาลกลับนั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียวเพราะยังปรับตัวไม่ได้ เย็นวันหนึ่ง นรินทร์รอพ่อของเขามารับอยู่ที่สนามเด็กเล่นคนเดียวเพราะใบชากลับไปก่อนหน้านั้นแล้ว เขาหันไปเห็นเด็กชายผมสีน้ำตาลท่าทางเศร้าสร้อยแล้วจำได้ว่าเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ในห้องเดียวกันจึงเดินเข้าไปหา แม้จะขยับตัวเข้าใกล้จนนั่งลงข้าง ๆ กันก็แล้ว เพื่อนร่วมห้องแสนโดดเดี่ยวคนนี้กลับไม่หันมามองเขาเลยสักนิด นรินทร์จึงหยิบลูกอมบ๊วยโบราณในกระเป๋ายื่นให้เขา “เด็กน้อย อย่ากินเยอะไปล่ะ เดี๋ยวฟันผุ” เขาพูดจบพลางยิ้มกว้างแล้วมองดวงตาของอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น “โอ๊ะ ตาสีทองนี่นา” “...” “ไม่ต้องร้องไห้นะ” เขาเอ่ยปากปลอบใจคนตรงหน้าแล้วยื่นลูกอมให้เพิ่มอีกเม็ดหนึ่ง “ไม่ได้ร้องไห้” สีหน้าคนถูกทักมองกลับอย่างไม่เข้าใจ ในที่สุด นรินทร์ก็ได้ยินเสียงของเขาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดเทอม พลันลูกอมเม็ดที่สามก็ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า “อย่าลืมนะ ห้ามกินเยอะ เดี๋ยวฟันผุ” “...” เด็กชายดวงตาสีทองขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำไมคนแปลกหน้าถึงได้ยื่นลูกอมให้เขามากมายถึงเพียงนี้ “พ่อมารับแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะ” เสียงเจื้อยแจ้วของนรินทร์มีความสุขไม่น้อยคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะเอาลูกอมมาให้เพื่อนร่วมห้องอีก อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ทำหน้าเศร้าแล้วก็พูดประโยคอื่นออกมาบ้าง “บ๊ายบาย” รอยยิ้มสดใสนั้นราวกับประทับในใจของอีกฝ่าย หลังจากนั้นเป็นต้นมา เด็กชายคนนี้จึงเริ่มสังเกตได้ว่าคนแปลกหน้าคือนักเรียนที่อยู่ห้องเดียวกันกับเขา แม้จะไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยด้วย แต่นรินทร์ก็มักจะเอาลูกอมมาให้วันละหนึ่งเม็ดอยู่บ่อย ๆ เวลานี้ เด็กชายผู้มีดวงตาสีทองเอาแต่แอบมองนรินทร์เพราะสงสัยหลายสิ่งหลายอย่างแต่ไม่กล้าเข้าไปหา จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อกับแม่ของนรินทร์ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงประจำปีของแวดวงคนดังจากหลากหลายอาชีพ เด็กชายจึงได้รู้ว่านรินทร์เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายแพทย์คนใหม่ที่จะเข้ามาดูแลสมาชิกในครอบครัวตัวเอง “นรินทร์ นี่เพื่อนลูกไม่ใช่เหรอ” พ่อของเขาพาลูกชายตัวน้อยไปทำความรู้จักกับประธานบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย เด็กชายคณิน เรืองคุณานนท์กำลังหลบอยู่ด้านหลังพ่อของเขา มีท่าทางเขินอายและกังวลยามต้องอยู่ท่ามกลางคนมากหน้าหลายตา “ไม่นึกเลยว่าลูกชายผมจะเรียนอยู่ที่เดียวกันกับลูกชายคุณหมอ” โฆษิตเอ่ยปากแล้วลูบศีรษะของนรินทร์พลางพูดว่า “ถ้าทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันก็น่าจะดีนะ” แล้วดันหลังลูกชายมาด้านหน้า “...” คณินยังคงนิ่งเฉยเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรจนนรินทร์เอ่ยปากชักชวน “ไปเล่นด้วยกันไหม” แล้วยื่นมือมาให้อีกฝ่ายจับ มือน้อย ๆ ขยุกขยิกด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สุดท้ายก็ยื่นออกไปหานรินทร์ ตลอดเวลาที่อยู่ในงานเลี้ยง เขาไม่ละสายตาจากเพื่อนใหม่พลันรู้สึกว่าอยู่กับนรินทร์ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก ครั้นถึงเวลาต้องไปโรงเรียน คณินรีบตื่นแต่เช้าไม่อิดออดคิดอยากซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอีกต่อไป แต่ละวันจะยืนรอนรินทร์อยู่หน้าห้อง นอกเหนือจากนั้นมักจะหาโอกาสเล็กน้อยไปเล่นที่บ้านของนรินทร์ในวันหยุด วิ่งเล่นกันตั้งแต่เช้าจนค่ำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่ยอมกลับบ้านเมื่อถึงเวลา นรินทร์ไม่ได้รู้เลยว่าความสนิทสนมระหว่างเขากับคณินจะทำให้ใบชาเริ่มห่างหายไปโดยไม่รู้ตัว เธอไม่ยอมพูดคุยกับนรินทร์เหมือนอย่างเคย ซ้ำยังงอแงไม่อยากนั่งใกล้เขาจนคุณครูต้องรีบเข้ามาช่วยปลอบและถามไถ่เรื่องราว หากแต่เด็กน้อยปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกเหตุผลใด ๆ ต่างคนต่างเว้นช่องว่างระหว่างกันไปเสียอย่างนั้น นรินทร์ได้แต่มองใบชาเล่นกับเพื่อนกลุ่มใหม่ ในขณะที่ตนเองเหงาหงอยคนเดียวจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ จากนั้นใครบางคนก็ลากกระเป๋านักเรียนของตัวเองมานั่งตรงที่ว่างข้างนรินทร์ กระซิบบอก “ไม่ต้องร้องไห้นะ” เขาเงยหน้าขึ้นมาเพราะจำเสียงที่คุ้นเคยได้เป็นอย่างดีเอ่ยพึมพำ “ไม่ได้ร้องสักหน่อย” “อือ อยู่ด้วยกัน ไม่ร้องนะ” คณินยื่นลูกอมให้อีกฝ่ายแล้วยิ้มให้นรินทร์เหมือนอย่างวันแรกที่ได้คุยกัน กลายเป็นว่าตั้งแต่นั้นมาทั้งสองคนจึงกลายเป็นคู่เพื่อนซี้คู่ใหม่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ใคร ๆ ต่างก็บอกว่ามีนรินทร์อยู่ที่ไหน ย่อมเห็นคณินอยู่ตรงนั้นด้วย แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนคอยตามติดใครกันแน่แต่เวลาที่เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันแล้วมักจะได้ยินเสียงหัวเราะและเห็นรอยยิ้มจากพวกเขาอยู่เสมอ

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD