วันนี้มณีธาราใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการเตรียมเก็บข้าวของต่าง ๆ ใส่กระเป๋าเดินทางสำหรับไปทำงานที่เชียงราย กระเป๋าใบใหญ่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว รวมทั้งกระเป๋าโน้ตบุ๊กและกระเป๋าเอกสารต่าง ๆ
แต่ไม่วายที่เธอจะต้องเหนื่อยใจที่จู่ ๆ ก็มีกระเป๋าอีก 1 ใบงอกมาจากสารพัดของกินของใช้ที่แม่ของเธอเตรียมให้เผื่ออาหารที่นั่นไม่ถูกปาก เผื่ออากาศจะหนาวเย็นเกินไปซึ่งเธอพยายามคัดค้านแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ดูจากข้าวของที่เตรียมไปในตอนนี้แล้ว มณีธารามีสภาพราวกับย้ายบ้านจริง ๆ
“ถ้าพี่ว่างจะขึ้นไปหาที่เชียงแสนนะ” รอยยิ้มน้อย ๆ ของเอกตะวันเต็มไปด้วยความรักและความเป็นห่วง
“ค่ะ”
“นี่ก็ดึกแล้ว เข้านอนได้เถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” ศศิธรเข้าไปกอดลูกสาวพร้อมหอมที่แก้มฟอดใหญ่
“พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่ไปส่งที่สนามบิน” เอกตะวันยีผมของน้องสาวด้วยความเอ็นดูก่อนเดินออกจากห้องไป
ครอบครัวกัลยรัตน์เต็มไปด้วยความรักและอบอุ่นเป็นที่ปลอดภัยสำหรับมณีธาราเสมอมา ถ้าจะมีเรื่องหนักใจก็คงจะเป็นเรื่องเดียวนี่แหละ ที่เธอต้องถูกจับคู่ให้หมั้นหมายกับคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ดีที่วันนี้มณีธารามัวแต่ยุ่งกับการเตรียมของทั้งวันกว่าจะเสร็จก็มืดค่ำทำให้เธอหลงลืมเรื่องของว่าที่คู่หมั้นไปชั่วขณะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จความง่วงเข้ามาแทนที่ ความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน หญิงสาวจึงทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วก็ผล็อยหลับไปในเวลาไม่กี่อึดใจ
มณีธารากำลังยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ท่ามกลางความมืดมิดปรากฏเป็นเงาสลัวเลือนรางแทบจะมองสิ่งใดรอบตัวไม่เห็น มีหมอกจาง ๆ เห็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ
บรรยากาศบริเวณนั้นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนที่ไหนสักแห่งที่เธอเคยไป แต่เธอพยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก สายตาของหญิงสาวสำรวจไปรอบตัวเผื่อจะเจอใครสักคน แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใด ๆ นอกจากเธอเพียงคนเดียวที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น จนกระทั่ง...
“น้องหญิง”
เสียงดังทุ้มนุ่มลึกก้องสะท้อนกลับไปมาในความมืดนั้น ทำให้หญิงสาวมีอาการหวาดผวา พยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น ส่วนมือก็จับก้อนหินข้างกายไว้แน่นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจในยามนี้
“ใคร? นั่นใคร?”
มณีธาราแข็งใจถามออกไปอย่างใจดีสู้เสือแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ความเงียบเข้ามาแทนที่เช่นเดิมจนเธอรู้สึกอึดอัด จนกระทั่ง...
“น้องหญิง”
“เจ้าธาราฯ ของพี่” อีกครั้งที่เธอรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว หวาดผวากับเสียงที่ไม่รู้ที่มาดังก้องสลับไปมาก่อนจะจางหายไปราวกับหมอกควัน
“เจ้าธาราฯ ใครคือเจ้าธาราฯ กัน?” มณีธารากลั้นใจตะโกนถามออกไป แต่ก็ไม่มีคำตอบจากเสียงนั้นอีกเช่นเคย หญิงสาวรู้สึกกลัวจนเย็นวาบเข้าไปในหัวใจ
มณีธาราพยายามมองหาทางหนทางออกจากบริเวณนั้น ทันใดนั้นสายตาของเธอก็มองเห็นเงาของร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ใครบางคนกำลังยืนหันหลังให้เธอ ห่างไปไม่ไกลมากนักท่ามกลางเงาสลัว ๆ หญิงสาวเพ่งมองเห็นร่างนั้นไม่ชัดเจน รับรู้เพียงว่าเขาคือผู้ชายร่างสูงใหญ่
“คุณคะ...คุณ”
เงียบไม่มีเสียบตอบใดจากคนผู้นั้น ตอนนี้การที่เธอพบใครสักคนทำให้หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่ว่า...เขาคือใครกันล่ะ? แล้วที่นี่คือที่ไหนกัน? มณีธาราไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอย่างในตอนแรก แต่หญิงสาวกลับรู้สึกแปลกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบเอาเสียเลย
“น้องหญิง พี่กำลังรอเจ้าอยู่...”
ในที่สุดน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับกำลังกระซิบบอกคนรักก็ดังออกมาจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า แต่ทว่าในตอนที่เธอเอื้อมมือออกไปจะไขว่คว้า ทันใดนั้นเองก็มีเสียงขัดจังหวะเสียก่อน
กริ๊ง กริ๊ง...
เสียงนาฬิกาปลุกที่หัวนอนดังขึ้น ปลุกให้เธอตื่นจากห้วงแห่งความฝัน นี่เธอฝันไปอีกแล้วเหรอ ฝันแบบนี้ทีไรเหมือนคนนอนหลับไม่พอทุกที แล้วผู้ชายคนนั้นกำลังบอกอะไรนะ ที่บอกว่า...
‘น้องหญิง...พี่กำลังรอเจ้าอยู่’ แล้วเขากำลังรอใครกันนะ ใครคือน้องหญิง? โธ่...ยัยน้ำเอ๊ย! แล้วก็ไม่ยอมฝันให้จบสักที เลยไม่รู้เลยว่าหมอนั่นกำลังรอใคร แล้วใครคือเจ้าธาราฯ ตื่นมาแบบค้าง ๆ คา ๆ อีกแล้ว
มณีธาราพยายามรวบรวมสติจากภาพความฝันที่ยังติดตาอยู่ ก่อนจะลุกจากที่นอนรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปสนามบินในเช้าวันนี้
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า เอกตะวันมาส่งหญิงสาวที่สนามบินดอนเมือง แต่กว่าจะออกจากบ้านมาได้เธอก็ต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมพ่อแม่อยู่พักใหญ่ว่าไม่ต้องไปส่งที่สนามบินหรอก แค่กรุงเทพฯ – เชียงราย ไปแค่เดือนเดียวไม่ต้องเป็นห่วง กว่าพ่อแม่ของเธอจะยอมทำตามที่เธอบอกก็เล่นเอาเสียน้ำลายไปเยอะ
สำหรับมณีธารา...เธอคิดว่าต่อให้เธออายุ 25 ปี ทำงานแล้ว แต่ในสายตาของพ่อแม่เธอคงเหมือนเด็กอายุ 5 ขวบที่ท่านคอยเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
เครื่องออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 9.50 น. มาถึงที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เวลาประมาณ 11.15 น. มณีธาราและจันทราเดินทางต่อโดยรถตู้ที่เช่าพร้อมคนขับ คนขับรถเจ้าถิ่นพาทั้งสองแวะทานอาหารกลางวันง่าย ๆ แบบพื้นเมือง ก่อนจะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังรีสอร์ทที่ริมแม่น้ำโขง อำเภอเชียงแสน ระยะทางประมาณ 74 กิโลเมตร โดยใช้เวลาราวชั่วโมงกว่า
การสนทนาภายในรถเป็นไปอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงียบเสียงลง จันทรานั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างมณีธารา ส่วนเธอนั้นนั่งอยู่ด้านหลังคนขับทอดสายตามองออกไปด้านนอกชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางไปเรื่อย ๆ ขณะที่รถตู้กำลังเคลื่อนตัวไปยังเชียงแสน เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ชื่นชมธรรมชาติอันอุดมไปด้วยป่าไม้เขียวขจีบนภูเขาลูกน้อยใหญ่ที่ขึ้นรายรอบสองข้าง ทางช่างแตกต่างกับทิวทัศน์ในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องเสียเหลือเกิน บางทีการได้ออกมาทำงานต่างจังหวัดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นการได้พักผ่อนไปในตัว
ครั้นเมื่อรถตู้แล่นเข้ามาใกล้ประตูเมืองเก่าเชียงแสน มีป้ายตัวโตด้านขวามือเขียนว่า ‘เมืองเชียงแสน’ ส่วนทางซ้ายมือ ‘ยินดีต้อนรับ’ หญิงสาวมองเข้าไปจากทางเข้าเมืองเชียงแสน บรรยากาศเต็มไปด้วยต้นไม้แผ่กิ่งใบร่มรื่นคอยให้ร่มเงา แต่ในความรู้สึกของหญิงสาวนั้นเธอกลับรู้สึกถึงความอึมครึมมืดครึ้มจากร่มเงานั้น
นี่สินะที่เรียกว่าเสน่ห์ของเมืองเก่าอย่างเชียงแสน
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวผ่านเข้าประตูกำแพงเมืองนั้นมา ทันใดนั้น มณีธารารู้สึกราวกับว่าเหมือนพลัดเข้ามาในอีกดินแดนหนึ่งที่แตกต่างออกไป ในหูของเธอแว่วเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ก้องกังวานใสราวกับเสียงของระฆังใบเล็กที่แขวนรอบโบสถ์ เสียงนั้นไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปราวกับสายลมพัดผ่าน
“น้องหญิงธาราฯ ของพี่...”
น้ำเสียงนั้นนุ่มทุ้มลึกนุ่มนวลอ่อนหวาน ครั้งนี้ไม่ได้เบาราวกับกระซิบหรือเป็นแค่ความฝันดังเช่นที่ผ่านมา หากเสียงเรียกนี้ดังชัดราวกลับว่าคนพูดมานั่งเรียกอยู่ข้างเธอนี่เอง ในขณะที่เธอยังลืมตาและมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ
“ใคร? ใครกัน?”
มณีธาราผวาสุดตัวตะโกนถามออกไป นั่นทำให้จันทราสะดุ้งหันมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ
“ใครเหรอคะพี่น้ำ?”
“คือ... เมื่อกี้นี้ พี่ได้ยินเสียงเรียกว่า...น้องหญิงธาราของพี่ จันทร์ได้ยินบ้างไหม?” หญิงสาวอ่อนวัยกว่ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าฉงนระคนแปลกใจ
“ไม่นะคะ น้ำไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงเพลงในรถที่เปิดดัง แล้วก็เป็นเพลงอังกฤษด้วยนะพี่ ไม่ใช่เพลงไทย พี่น้ำหูแว่วไปหรือเปล่าคะ”
“อ้าวเหรอ นั่นสินะ หูพี่อาจจะแว่วไปเองก็ได้”
เธอยอมรับง่าย ๆ ว่าอาจจะหูแว่วไป แต่ระยะหลังมานี้เธอได้ยินเสียงเรียกแบบนี้บ่อยครั้งกับประโยคเดิมซ้ำ ๆ ในขณะที่คนอื่นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หรือเธออาจจะหูแว่วไปจริง ๆ หรือไม่ก็เธออาจจะโหมงานหนักจนเครียดมากเกินไปทำให้นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นไปได้
แล้วทำไมนะ?...ก่อนหน้านี้เสียงเรียกนั้นดังราวกับกระซิบ บางครั้งก็เลือนรางแต่ก็พอจับใจความได้ว่าเรียกหาผู้หญิงสักคน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะได้ยินชัดเจนราวกลับว่าคนเรียกมานั่งพูดอยู่ ข้าง ๆ แบบครั้งนี้มาก่อน
จนกระทั่งรถตู้เข้าประตูเมืองเชียงแสนมาแล้วนี่แหละเธอถึงได้ยินเสียงนั้นชัดเจนแบบนี้
หรือว่า...เมืองเชียงแสนจะมีอะไรอย่างบางกำลังรอคอยเธออยู่ บางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็คาดไม่ถึง!