อาชาตะโกนออกมาด้วยความขัดเคือง อาการดีใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหัวเสียไม่สบอารมณ์ฉับพลัน กวาดตามองหาสาวสวยที่ทิ้งไว้ในรถ ตอนนี้เหลือแค่ความว่างเปล่า คิ้วเข้มขมวดมุ่นพร้อมสายตากวาดไปทั่วบริเวณไหล่ทาง ในใจขอให้เห็นหล่อนยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งในบริเวณใกล้ ๆ นี้
“บ้าฉิบ! หายไปไหนของเธอ...”
สายตาคมเข้มสาดมองไม่เห็นแม้แต่เงา เอ่ยเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
หล่อนจะทำให้เขาคลั่งตายหรือไง! อาชาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฝัน ขยับกายเพื่อลงจากตัวรถด้วยอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน เริ่มหัวเสีย กระแทกประตูเปิดออกอีกครั้ง หัวใจเต้นตุบตับ ไม่เคยห่วงอะไรเท่านี้มาก่อน
“ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้ อย่าให้เจอ พ่อจะจับตบ ‘ด้วยริมฝีปาก’ ซะให้เข็ด”
ริมฝีปากหนา พร่ำบ่นงุบงิบไม่เลิก อีกทั้งหวั่นใจ เมื่อแสงทอประกายสีทอง เริ่มลาลับสู่ราตรีกาลอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า... คนที่ได้ยินทุกอย่างแม้จะไม่ได้เห็นอาการ แต่คำพูดในแต่ละประโยค ทำให้รู้ว่า เธอแกล้งเขาให้ประสาทเสียได้
“เสร็จธุระแล้วเหรอ”
เสียงหวานเอ่ยดังมาจากมุมหนึ่งด้านข้างของรถ คนที่ได้ยินแต่คำพูดตาเหลือกลาน รีบมองหาไปตามทิศทางของเสียง มองซ้ายแลขวา
อยู่ไหน... เขาร้องหาในใจเมื่อสายตายังมองไม่เห็นคนพูด
อาชาตัดสินใจเดินอ้อมไปอีกด้านของตัวรถ ก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าสีคราม ฝ่ามือข้างหนึ่งตบไปบนหน้าผากหนาของตัวเอง บ่งบอกอาการว่า ให้มันได้อย่างนี้สิ นั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่บอก ปล่อยให้คนอื่นเป็นห่วงแทบตาย!
แต่นั้นก็ทำให้อาการขุ่นเคืองหายไปหมดเกลี้ยง เมื่อมองเห็นคนที่ตนเองกำลังมองหา นั่งหมดท่า ขาเหยียดยาวไปตามพื้นถนนอย่างไม่ห่วงว่าชุดราตรีสีหวานยาวลึก จะเปรอะเปื้อน ในลักษณะ ด้านหลังพิงประตูรถ กระโปรงยาวถูกดึงกลบมาไว้บนหน้าขา เหมือนรำคาญความยาวของมันเต็มที
“เป็นอะไรถึงออกมานั่งตรงนี้” เขาถามเสียงฉุน สีหน้าไม่พอใจ
ตาคมภายใต้ขนตางอนงามหันขวับ ส่งสายตาดุตอบกลับไปแถมไม่คิดจะตอบคำถาม กับลุกขึ้น สะบัดก้นงอนงาม ที่นั่งบนพื้นลวกๆ เตรียมตัวเปิดประตูรถเพื่อกลับเข้าไปนั่ง
“ถามไม่ตอบ คิดจะเป็นใบ้ตอนนี้หรือไง” เสียงทุ้มถามกลับอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้คำตอบ
“ถามมา เรื่องของคุณ...ไม่ตอบ เรื่องของฉัน!” เธอสะบัดหน้าอีกครั้งไม่สนใจคำถาม
อาการของคนอวดดี เอาแต่ใจทำให้ชายหนุ่มเริ่มโมโหกรุ่น ๆ
“ผมถามไม่ตอบหาเรื่องกันใช่มั้ย”
“ใครหาเรื่องคุณมิทราบ”
ธาริณียอมปริปาก พยายามสะกดอารมณ์ที่เริ่มจับประเด็นของตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“คุณ! หากไม่หาเรื่องก็ตอบมาสิ ทำให้คนเป็นห่วงแล้วทำเป็นเล่นตัว”
ความโมโหทำเอาชายหนุ่มลืมตัว เอ่ยในสิ่งที่คิดว่าจะไม่เอ่ยออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน
ห่วง ชิ! ใบหน้านวลเพ่งมองคนเอ่ย คิ้วเรียวห่อเข้าหากัน ก่อนจะคลายออก เมื่อประโยคหลังมันกลบสิ่งที่เอ่ยก่อนหน้าให้หมดความน่าสนใจไป
“คุณว่าใครเล่นตัวพูดให้ดี ๆ”
ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แขนเรียวงามยกขึ้นเท้าสะเอว ยืดอกชี้ตรงเด้งล้ำหน้าไปนิด มองคนตรงหน้าสายตาตำหนิ
“จะเป็นนางมารหรือไง ดูทำหน้าเข้า”
คนหล่อหน้าเคร่งเครียดไม่กลัว เพราะคนที่ทำให้เขากลัวได้คนเดียวคือแม่บังเกิดเกล้าเท่านั้น
“หากคิดว่าฉันเป็นนางมารก็เอาฉันกลับไปส่งสิ ลากติดรถมาด้วยทำไม” เสียงแหลมเอ่ยบอก แววตายังเต็มไปด้วยอารมณ์
นั่นสิ...เอาหล่อนติดรถมาด้วยทำไม หากตอนนี้ไม่มีหล่อนมาด้วยเขาคงได้ตามสาวสวยคนเมื่อกี้ไปแล้ว... คิดพลางอดเสียดายนิด ๆ
“ไม่ต้องกลัว เอากลับไปส่งแน่แต่ไม่ใช่เวลานี้” เขาเดินอ้อมมาหา
“ขึ้นรถ ได้เวลากันแล้วเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน”
เสียงห้วน ๆ เอ่ยบอกเหมือนรำคาญหญิงสาวข้างกายเต็มทน แต่ร่างบางสะบัดหน้า บ่นพึมพำก่นด่าอีกคน
“คนบ้า เห็นผู้หญิงไม่ได้ ลายกระรอกก็ออกทันที ชิ!”
“นี่ นี่ ผมได้ยินนะ”
คำเอ่ยดักของธาริณีก็ได้ผล เขาชะงักกึกหันมองใบหน้าหวานที่เชิดหน้าขึ้น อีกด้านของรถ
“มีที่ไหน เปรียบเป็นกระรอก...ยัยแม่ม้า”
อาชาไม่วายถลึงตามอง ตำหนิคำพูดอีกคน คำว่าบ้า พอให้อภัยแต่กับคำว่าเหมือนลายกระรอก มันไม่เหมาะกับเขา ลายเสือต่างหากที่เหมาะ... คนหัวเสียเอ่ยเปรียบเปรยให้ตัวเองก่อนจะผลุบหายเข้าไปประจำตำเหน่งของตนเอง
“ร้อนชะมัด!”
อาชาสบถออกมา รับรู้ถึงความร้อนอบอ้าว ภายในตัวรถ
“รู้ไว้ซะบ้าง ว่าในรถร้อนแค่ไหน”
ใบหน้าหวานได้รูปเหล่ตามองคนที่ทำหน้าเหยเก ปาดเหงื่อบนใบหน้าหล่อขาวของตัวเองที่เริ่มแดงก่ำ เพราะความร้อนที่ยังหลงเหลืออยู่
“...” อาชาที่ยังมึนกับความร้อนและอารมณ์บูดบึ้งทำให้คำถากถางของสาวสวยไม่มีความหมาย
“หากไม่ยืนเถียงเรื่องไร้สาระ รถคงไม่ร้อนขนาดนี้หรอก”
คนที่ยังไม่รู้ตัวว่าสาวสวยเหน็บแนมตนเอง ต่อว่าออกไป โดยลืมคำนึงถึงเรื่องก่อนหน้านั้น
“อ้อ...นี้ทั้งหมดหาว่าเพราะฉันอย่างงั้นสิ”
“ไม่ว่า.... แล้วจะให้ว่าใคร ยัยแม่ม้า”
“ผู้ชายบ้า หากไม่เห็นแก่ตัวเดินออกไปอี๋อ๋อกับสาว แล้วไม่ทิ้งฉันให้นอนอยู่ในรถที่ร้อนเหมือนตู้อบ ป่านนี้ก็ไม่ต้องมาบ่นว่าร้อนหรอก หน้ากระรอก!”
เสียงแหลมเอ่ยประชดประชัน ด้วยความโมโห
คนลืมจริง ๆ นึกไม่ถึง อึ้งเหมือนถูกตบ คำพูดของหล่อนเรียกความเป็นตัวตนของตัวเองกลับมา
...ใช่ เขาออกไปคุยกับผู้หญิงที่ชื่อกันตา ตั้งนานสองนาน ดับเครื่องยนต์ ลืมเสียสนิทว่าหล่อนนอนอยู่ในรถ...
“ไม่ทันแล้วละ”
เสียงหวานเอ่ยออกมาเบา ๆ อาชาเหลือบมองคนพูด ที่จงใจเอ่ยยั่วต่อมอารมณ์โมโหเขา